Data Loading...
13 มารยาทชาวพุทธ Flipbook PDF
13 มารยาทชาวพุทธ
107 Views
74 Downloads
FLIP PDF 756.68KB
๒. มารยาทชาวพุทธ
มารยาทชาวพุทธ
มารยาทชาวพุทธ มารยาทชาวพุท ธ หมายถึ ง กิ ริ ย าวาจาที่ ถื อ ว่ าสุ ภ าพเรี ย บร้ อ ยและงดงามที่ ช าวพุ ท ธ พึ ง ประพฤติปฏิบัติต่อกัน เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธคนหนึ่งควรศึกษาเรื่อง มารยาทชาวพุทธ ให้เข้าใจ เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติต่อกันด้วยมารยาทที่ดีงามทั้งทางกายและทางวาจา มารยาทชาวพุทธที่เราควรฝึกปฏิบัติให้เคยชินจนติดเป็นนิสัยนั้นมีอยู่มากมาย ในชั้นนี้ เรา เรี ย นรู้ แ ละฝึ ก ปฏิบั ติใ นเรื่ อ ง การต้อ นรั บ ตามหลั ก ปฏิ สัน ถาร ๒ การปฏิ บั ติ ตนต่ อ พระสงฆ์ และ มารยาทในการแต่งกาย ๑. การต้อนรับตามหลักปฏิสันถาร ๒ การต้อนรับหรือที่เรียกว่า ปฏิสันถาร เป็นการแสดงความเอื้อเฟื้อของผู้เป็นเจ้าของบ้าน ต่อผู้ที่มาเยี่ยมเยียนที่เราเรียกว่า แขก สามารถทาได้ ๒ วิธี คือ ๑. การต้อนรับด้วยวัตถุสิ่งของ (อามิสปฏิสันถาร) เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ขนม ผลไม้ ตาม ความเหมาะสมของแขกผู้มาเยี่ยมเยียนและผู้เป็นเจ้าของบ้านที่สามารถจะกระทาได้ คนไทย ส่วนมาก มีลักษณะนิสัยดังกล่าว ดังคากลอนที่ว่า ธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชาน ต้อง ต้อนรับ หมายความว่า เวลามีใครมาหาถึงบ้านเจ้าของบ้ านจะนาน้า ขนม ผลไม้ หมากพลู มา ต้อนรับ พร้อมทั้งสนทนาไต่ถามทุกข์สุขกันด้วยไมตรี ถ้าเป็นญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่สนิทกันมาก ก็จะ ชวนกันรับประทานอาหาร หากผู้มาหาเดินทางมาจากสถานที่ไกล ๆ ไม่สามารถเดินทางกลับบ้าน ได้ก็ ชวนให้ค้างคืนที่บ้าน อันนี้เป็นธรรมเนียมที่คนไทยปฏิบัติกันมานานแทบทุกถิ่นฐาน โดยเฉพาะ ตาม หมู่บ้านในชนบท
การต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยวัตถุสิ่งของจัดเป็นอามิสปฏิสันถาร
ตัวอย่างที่แสดงออกถึงความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลของ ผู้ เป็นเจ้ าของบ้านมิใ ช่มีให้ แต่เฉพาะผู้ม าเยี่ยมเยียนเท่านั้ น บางบ้านบางสถานที่ยังได้สร้างที่พัก ศาลา และตั้งภาชนะ ใส่น้าไว้หน้าบ้าน เพื่อให้ผู้ ที่สัญจรไปมาได้แวะพักและดื่ม ม น้า แก้กระหาย ตามหมู่บ้านในชนบทจะมีการตั้งน้้าดื่มมไว้ ให้ผู้ที่สัญจรไปมาได้ดื่มแก้กระหาย
๒. การต้อนรับด้วยธรรม (ธรรมปฏิสันถาร) คือ การต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมเยียนด้วย การกล่าว ธรรมให้ฟังหรือแนะนากันในทางธรรมด้วยคาพูดที่น่ารัก น่าฟัง ฟังแล้วเกิดความสบายใจ ทาให้เกิดความยินดีแก่ผู้ที่เป็นแขก ถือว่าเป็นอุบายหนึ่งที่ใช้ยึดเหนี่ยวน้าใจของผู้ที่เป็นแขกไว้ได้ มารยาทของผู้ที่เป็นแขก เมื่อเราไปเป็นแขกของญาติพี่น้อง เพื่อน หรือของใครก็ตาม ควรมีมารยาทดังนี้ ๑. ไม่สร้างความลาบากให้แก่เจ้าของบ้าน ๒. แม้จะเป็นญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิท ไม่ควรอยู่นานหลาย ๆ วัน โดยไม่เคย เสนอ ความช่วยเหลือแก่เจ้าของบ้านเลย ๓. ไม่ควรไปเพิ่มภาระโดยพาเด็ก ๆ หรือสัตว์เลี้ยง หรือชวนเพื่อนไป โดยทาง ฝุายเจ้าของบ้าน ไม่ได้เชื้อเชิญ ๔. ควรปฏิบัติต่อเจ้าของบ้านด้วยความเกรงใจและขอบคุณที่มุ่งให้บางสิ่ง บางอย่างตอบแทน เช่น ความอบอุ่น ความเป็นเพื่อนที่ช่วยให้เกิดความสบายใจ ๕. ถ้าเป็นไปได้ควรนาของขวัญที่เหมาะสมไปให้ แต่ทั้งนี้ต้องแล้วแต่โอกาส ๖. เมื่อได้เวลาควรลากลับ ไม่ควรอยู่นาน จนเจ้าของบ้านเกิดความอึดอัดใจ และเมื่อกล่าว อาลาควรกล่าวคาขอบคุณที่ได้ให้การต้อนรับด้วย ๒. การปฏิบัติตนต่อพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องกันมา เป็นผู้ที่ปฏิบัติตนดี ละถูกต้องตามพระธรรมวินัย เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณงามความดีทั้งปวง เป็นแบบอย่างที่ดีในการ ดาเนินชีวิตของคนในสังคม ชาวพุทธจึงควรปฏิบัติตนให้ถูกต้องเหมาะสมต่อพระสงฆ์ การปฏิบัตินต่อ
พระสงฆ์ที่กาหนดให้ศึกษาในชั้นนี้ ได้แก่ การลุกขึ้นยืนรับ การให้ที่นั่ง การเดินสวนทาง การสนทนา และการรับสิ่งของจากพระสงฆ์
พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีและปฏิบัติชอบ เราเป็นชาวพุทธควรปฏิบัติต่อท่านให้ถูกต้องเหมาะสม
๑. การลุกขึ้นยืนรับพระสงฆ์ เป็นการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์วิธีหนึ่ง ในกรณีที่ มีงานพิธีเมื่อพระสงฆ์เดินทางมาถึงงานพิธีนั้น ๆ ชาวพุทธที่อยู่ ณ สถานที่นั้น ๆ ควรปฏิบัติตนดังนี้ ๑) ถ้านั่งเก้าอี้ ให้ลุกขึ้นยืนรับ เมื่อพระสงฆ์เดินมาถึงตรงหน้าให้น้อมตัวลงยกมือ ไหว้ เมื่อท่านนั่งที่อาสนะเรียบร้อยแล้ว จึงนั่งลงตามเดิม ๒) ถ้านั่งอยู่กับพื้น ไม่ต้องลุกขึ้นยืนรับ เมื่อพระสงฆ์เดินมาถึงตรงหน้าให้ยกมือไหว้ หรือกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมของสถานที่นั้น ๆ ๒. การให้ที่นั่งแด่พระสงฆ์ เป็นการแสดงความเคารพและเอื้อเฟื้อต่อท่าน ชาวพุทธ ควรปฏิบัติตนดังนี้ ๑) เมื่อพระสงฆ์มาในงานพิธีเพื่อร่วมงาน ถ้างานพิธีนั้นจัดให้นั่งเก้าอี้ ชาวพุทธควร ลุกขึ้นให้พระสงฆ์นั่งเก้าอี้แถวหน้า แต่ถ้างานพิธีนั้นจัดให้นั่งกับพื้น ควรจัดอาสนะ (ที่นั่งพระสงฆ์) แยกไว้ เป็ นอี กส่ว นหนึ่งต่างหาก ถ้ามีพ รมผื นใหญ่ ปูเต็มห้ อง ต้ องปูอาสนะเล็ก บนพรมผืน ใหญ่อี ก ชั้นหนึ่งสาหรับพระสงฆ์แต่ละรูป ๒) ถ้าต้องนั่งเก้าอี้แถวเดียวกับพระสงฆ์ ในกรณีจาเป็นและที่นั่งไม่พอ ถ้าเป็นชาย ควรนั่งเก้าอี้ด้านซ้ายมือของพระสงฆ์ ส่วนหญิงไม่ควรนั่งเก้าอี้แถวเดียวกับท่าน ยกเว้นมีชายนั่งคั่น ระหว่างกลาง ๓. การเดินสวนทางกับพระสงฆ์ ในกรณีเดินสวนทางกับพระสงฆ์ ชาวพุทธควรปฏิบัติ ตนดังนี้ ๑) หลีกชิดเข้าข้างทางด้านซ้ายมือของพระสงฆ์
๒) ยืนตรงเท้าชิด มือทั้งสองกุมประสานไว้ข้างหน้า แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ ๓) เมื่ อพระสงฆ์เดิน มาถึงตรงหน้า ให้น้อ มตัวลงยกมือไหว้ ถ้าท่านพูด ด้วยควร ประนมมือ ครับท่าน ถ้าท่านไม่พูดด้วย เมื่อยกมือไหว้แล้ว ให้ ลดมือกุมประสานไว้ข้างหน้า เมื่อท่าน เดิน ผ่านไปแล้วจึงเดินตามปกติ
การปฏิบัติตนเมื่อพระสงฆ์เดินสวนทางมา
๔. การสนทนากับพระสงฆ์ ชาวพุทธควรปฏิบัติตนดังนี้ ๑) ถ้าพระสงฆ์เป็นพระเถระผู้ใหญ่ควรประนมมือ พูดและรับคาพูดของท่าน ๒) ไม่ ค วรพู ด ล้ อ เล่ น พู ด ค าหยาบ ไม่ น าเรื่ อ ง ส่วนตัวไปเล่าให้ท่านฟัง ไม่ยกตนเสมอท่าน คล้ายเพื่อนเล่น ๓) หากจะนิมนต์ท่านไปเจริญ พระพุทธมนต์หรือ ประกอบพิธีอย่างใด อย่างหนึ่ง ควรใช้คาว่า นิมนต์ แทน เชิญ ๔) สาหรับผู้หญิงแม้จะเป็นญาติ กับพระสงฆ์รูปนั้น การสนทนากับพระสงฆ์ควรประนมมือพูด ก็ ไ ม่ ควรสนทนา กั บ ท่ านสองต่ อ สองทั้ งภายในห้ อ งและ และไม่ควรพูดล้อเล่นหรือนาเรื่องส่วนตัว ภายนอกห้อง ทั้งในที่ลับหลับตาและในที่แจ้ง มาเล่าให้ท่านฟัง ๕) เมื่อเสร็จธุระแล้วรีบลาท่านกลับ โดยนั่งคุกเข่า กราบแบบเบญจางคะ ประดิษฐ์แล้วเดินเข่าออกไป ๕. การรับสิ่งของจากพระสงฆ์ ชาวพุทธควรปฏิบัติตนดังนี้ ๑) ถ้าพระสงฆ์ยืนหรือนั่งอยู่บนที่สูง ควรปฏิบัติดังนี้
(๑) เดินเข้าไปหาพระสงฆ์ด้วยอาการสารวม เมื่อใกล้พอสมควร พอที่จะ ยื่น มือ เข้าไปรั บสิ่ งของได้ให้ ยืน ตรง น้อ มตั ว ลงไหว้ แล้ วยื่ นมื อ ทั้ง ๒ ข้างเข้ าไปรับ พร้ อมน้ อมตัว เล็กน้อย สาหรับชายให้รับของจากมือพระสงฆ์โดยตรงได้ สาหรับหญิงให้สืบเท้าขวาไปข้างหน้า แล้ว แบมือ ทั้ง ๒ ข้าง ชิดกันคอยรับสิ่งของที่พระสงฆ์จะปล่อยลงใส่ในมือ หรือให้หยิบสิ่งของที่พระสงฆ์ วางไว้ตรงหน้า
การรับสิ่งของจากพระสงฆ์ของชายและหญิงในกรณีที่ท่ายืน (๒) เมื่อรับแล้ว ถ้าสิ่งของนั้นเล็ก ให้น้อมตัวลงยกมือไหว้พร้อมกับสิ่งของ ในมือ แต่ถ้าสิ่งของใหญ่หรือหนัก ไม่ต้องยกมือไหว้อีก เพียงแต่ชักเท้าขวามาชิด (สาหรับหญิง) แล้วชัก เท้าขวา ถอยหลัง ๑ ก้าว ชักเท้าซ้ายมาชิด หันหลังกลับ และเดินไปตามปกติ ๒) ถ้าพระสงฆ์นั่งเก้าอี้ ควรปฏิบัติดังนี้ (๑) สาหรับชาย ให้เดินเข้าไปหาด้วยอาการสารวม เมื่อเข้าใกล้ราว ๒ ศอก ยืนตรง ก้าวเท้าขวาออกไป ๑ ก้าว คุกเข่าซ้ายลง ชันเข่าขวาขึ้น น้อมตัวลงยกมือไหว้ แล้วยื่นมือ ทั้ง ๒ ข้าง ออกรับสิ่งของ เมื่อรับแล้ว ถ้าสิ่งของนั้นเล็กก็น้อมตัวลงยกมือไหว้พร้อมกับสิ่งของในมือ ถ้า สิ่งของ ใหญ่หรือหนัก คุกเข่า วางสิ่งของนั้นไว้ข้างตัวทางซ้ายมือ น้อมตัวลงไหว้ แล้วยกสิ่งของนั้น ด้วยมือทั้ง ๒ ข้าง ประคองยกยืนขึ้น ชักเท้าขวากลับมายืนตรง ก้าวเท้าซ้ายถอยหลังไป ๑ ก้าว และ ชักเท้าขวามาชิด หันหลังกลับ และเดินไปตามปกติ (๒) สาหรับหญิง ให้ชันเข่า น้อมตัวลงไหว้เช่นเดียวกับชาย แล้วแบบมือ รอรับสิ่งของที่พระสงฆ์จะปล่อยลงใส่มือ เมื่อรับแล้ว ให้นั่งในท่าราบ วางสิ่งของไว้ทางซ้าย ยกมือไหว้
ถ้าสิ่งของใหญ่หรือหนัก พระสงฆ์จะวางไว้ข้างหน้า ให้หยิบสิ่งของนั้นด้วยมือทั้งสอง วางสิ่งของไว้ทาง ซ้ายมือ แล้วยกมือไหว้ จากนั้นปฏิบัติเช่นเดียวกับชาย
การแสดงความเคารพและการรับสิ่งของจากพระสงฆ์ของชายและหญิงในกรณีที่ท่านนั่งเก้าอี้ ๓) ถ้าพระสงฆ์นั่งกับพื้น ควรปฏิบัติดังนี้ (๑) ให้เดินเข้าไปหาด้วยอาการสารวม เมื่อเข้าใกล้อาสนะที่พระสงฆ์นั่งอยู่ พอสมควร นั่งคุกเข่าลง แล้วเดินเข่าหรือคลานลงมือจนใกล้ประมาณ ๑ ศอก สาหรับชายให้นั่งคุกเข่า สาหรับหญิงให้นั่งท่าราบ กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง แล้วยื่นมือทั้งสองออกไปรับ ชายรับ จาก มือพระสงฆ์โดยตรงได้ ส่วนหญิงให้แบมือรอรับ (๒) เมื่อรับแล้ว ให้วางสิ่งของนั้นไว้ทางซ้ายมือ กราบแบบเบญจางคประ ดิษฐ์ ๓ ครั้ง จากนั้นหยิบสิ่งของด้วยมือทั้งสองประคองขึ้น เดินเข่าถอยหลังกลับไปจนสุดอาสนะที่ ปลาดไว้ จึงลุกขึ้นยืน หันหลังกลับ และเดินไปตามปกติ
การเดินเข่าและการกราบก่อนรับสิ่งของจากพระสงฆ์ของชายและหญิงในกรณีที่ท่านนั่งกับพืน้
3. มารยาทในการแต่งกาย การแต่งกายเป็นมารยาทประการหนึ่งที่เราควรปฏิบัติให้ถูกต้องตามกาลเทศะ ๑. การแต่งกายไปวัด วัดเป็นสถานที่อยู่ของพระภิกษุสามเณร เป็นสถานที่ประกอบ พิธีกรรมทาบุญของชาวบ้าน เป็นสถานที่อบรมสั่งสอนและขัดเกลาคนให้ทาความดี ละเว้นความชั่ว และทาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่มาของศิลปวัฒนธรรมและประเพณีที่แสดงถึง ความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยอีกด้วย ดังนั้น วัดจึงเป็นสถานที่สงบและสะอาด ชาวพุทธจึงควร ปฏิบัติตนต่อวัดด้วยความเคารพ สุภาพ และสารวม ชาวพุทธคนใดที่ไม่มีมารยาท ประพฤติตนไม่ เหมาะสมในบริ เ วณวั ด นอกจากจะเป็ น การเสื่ อ มเสี ย ตนเองแล้ ว ยั ง มี ผ ลกระทบต่ อ ผู้ อื่ น และ พระพุทธศาสนาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ เมื่อชาวพุทธไปวัดจึงควรปฏิบัติตนให้ถูกต้องเหมาะสมดังนี้ ๑) เสื้อผ้าที่จะสวมใส่ควรใช้สีอ่อน ไม่ควรใช้สีฉูดฉาด ถ้ามีลายก็ควรเป็นลาย เรียบ ๆ เนื้อผ้าต้องไม่บางเกินไป ๒) ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูป ควรสมใส่เสื้อผ้าหลวมพอควร เพื่อความสะดวก ในการกราบพระ ไหว้พระ และทาสมาธิ ๓) หญิงไม่ควรนุ่งกระโปรงสั้น ควรนุ่งกระโปรงยาวพอสมควร ไม่ควรแต่งตัว แต่งหน้า ทาผมจนเกินงาม ปละไม่ควรใส่น้าหอมที่มีกลิ่นรุนแรงเพราะอาจจะทาให้ผู้ที่ ได้กลิ่นเกิด ความฟุูงซ่านได้ ๔) ชายควรแต่ง กายเรี ย บร้ อ ยไม่ ป ลอยชายเสื้ อ ทรงผมควรตั ด สั้ น หรื อ หวี เรียบร้อย น้ามันใส่ผมถ้าจาเป็นต้องใช้ควรใช้ที่มีกลิ่นอ่อนที่สุดจะได้ไม่รบกวนผู้อื่น ๒. การแต่งกายไปงานมงคล งานมงคล คือ งานที่ทาโดยปรารภเหตุที่ดี ทาเพื่อให้ เกิดความสุข ความเจริญแก่ตนเองและครอบครัว เช่น งานทาบุญวันเกิด งานทาบุญขึ้นบ้านใหม่ งาน มงคลสมรส เมื่อชาวพุทธไปร่วมงานดังกล่าวควรแต่งกายให้ถูกต้องเหมาะสม โดยปฏิบัติดังนี้
การแต่งกายไปร่วมงานมงคลจะต้องยึดหลักความสุภาพเรียบร้อย และความเหมาะสมกับงาน
๑) ชายต้องสวมกางเกงขายาว ถ้าเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวต้องติดกระดุมที่แขน เสื้อ เสื้อที่ใส่ควรเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวหรือแขนสั้น ใส่ชายเสื้อไว้ในกางเกง คาดเข็มขัด สีของเสื้อผ้า เป็นสีเรียบ ๆ ไม่ฉูดฉาด สวมถุงเท้า รองเท้าหุ้มส้นแบบสุภาพ ๒) หญิงควรสวมกระโปรง ไม่ควรสวมกางเกง ไม่ควรนุ่งสั้น เพราะจะทาให้ลุก นั่งไม่สะดวกและไม่สุภาพ กระโปรงนิยมยาวเสมอเข่าหรือคลุมเข่า เสื้อเป็นแบบตามทันสมัย แต่คอ เสื้อต้องไม่ลึก แขนสั่นหรือยาวก็ได้ เสื้อไม่มีแขนถือว่าไม่สุภาพไม่ควรสวมใส่ สีเสื้อควรเป็นสีที่สุภาพ การแต่งเครื่องแบบราชการ เครื่องแบบนักเรียน และชุ ดพระราชทาน เป็ น เครื่องแต่งกายที่สุภาพเหมาะสมทุกโอกาส
การแต่งการไปร่วมงานอวมงคล นิยมแต่งชุดสีดาหรือสีขาว
๓. การแต่งกายไปร่วมงานอวมงคล งานอวมงคล คือ งานที่ทาในโอกาสที่ประสบสิ่ง ที่ไม่ปรารถนาหรือปรารภเหตุที่ไม่ดี เช่น งานสวดพระอภิธรรมศพ งานเผาศพ งานทาบุญอัฐิ งาน ทาบุญครบรอบวันตาย การแต่งการไปร่วมงานอวมงคลดังกล่าวนี้ นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดาหรือสี ขาว ถ้าจาเป็นต้องแต่งสีก็ควรจะเป็นสีที่สุภาพไม่ใช้วัตถุแวววาวหรือเป็นเงินทอง ไม่ประดับอารมณ์ มากเกินควร ชายและหญิงปฏิบัติแตกต่างกันดังนี้ ๑) ชายถ้าแต่งเครื่องแบบปกติขาว หรือใส่เสื้อนอกต้องติดปลอกแขนไว้ทุกข์ โดยติ ด ไว้ ที่ แขนเสื้ อ ข้ างซ้ายเหนื อ ข้ อศอก กางเกงขายาวสี เข้ม เชิ้ ต ขาว เนกไทสี ด าเงื่ อ นกะลาสี รองเท้าหนังสีดา ถุงเท้าดา หรือถ้าแต่งกายชุดไทยพระราชทานให้ใช้เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงสีขาว หรือดาหรือสีดาทั้งชุด ไม่ต้องติดปลอกแขนไว้ทุกข์ ๒) หญิงนุ่งผ้าแบบซิ่นยาวประมาณครึ่งน่อง หรือสวมกระโปรงตามสมัยนิยม สวมรองเท้าหุ้มส้นสีดา เสื้อแบบเรียบไม่เปิดคอกว้าง ไม่ใส่เสื้อไม่สีไหล่ กระเป๋าถือควรเป็นสีดา เครื่องแบบราชการ เครื่องแบบ เครื่องแบบนักเรียน และชุดพระราชทาน สามารถใช้ แต่งไปงานอวมงคลได้