Data Loading...

สติปัฏฐาน 4 Flipbook PDF

สติปัฏฐาน 4


113 Views
67 Downloads
FLIP PDF 239.87KB

DOWNLOAD FLIP

REPORT DMCA

บทความเชิงวิชาการ เรื อง สติปัฏฐาน กับการพัฒนาตนในชีวติ ประจําวัน

เสนอ พระอาจารย์ วิรุฬชิต นริสฺสโร

จัดทําโดย พระรุ่ งโรจน์ สิริสาโร คณะครุศาสตร์ สาขาการสอนภาษาไทย ชันปี ที ๑

บทความเชิงวิชาการนี เป็ นส่ วนหนึงของรายวิชาธรรมนิเทศ ภาคเรียนที ๑ ปี การศึกษา ๒๕๖๓ วิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย

สติปัฏฐาน กับการพัฒนาตนในชีวิตประจําวัน พระรุ่ งโรจน์ สิริสาโร/ชาวสวน นิสิตชันปี ที ปี การศึกษา คณะครุ ศาสตร์ เอกการสอนภาษาไทย วิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย บทคัดย่อ การมี ส ติ เข้าไประลึ กรู ้ ในสิ งต่างๆ ทีเกิดขึนกับ ตนเอง โดยมีส ติเป็ นประธานหรื อการตังสติเข้า ไป พิจารณาสิ งทังหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็ นจริ ง การมีสติกาํ กับดูสิงต่างๆ และความเป็ นไปทังหลายให้ รู ้เท่าทันตามสภาวะของสิ งนันๆ ไม่ถูกครอบงําด้วยความยินดี ยินร้ ายที ทําให้ม องเห็ นเพียงไปตามอํา นาจ กิเลส การเจริ ญสติโดยใช้หลักสติปัฏฐาน นีเป็ นเครื องชําระใจให้บริ สุทธิ ทําให้เราทังหลายเข้าใจคําว่า รู ป นาม และไตรลักษณ์ได้ดียงขึ ิ น รู ้จกั วิธีดาํ เนิ นชีวิตทีถูกต้องไม่หลง ไม่มวั เมา และเป็ นคนมีเมตตากรุ ณา ไม่ เบี ยดเบียน หรื อเอารัดเอาเปรี ยบกัน เป็ นคนว่าง่ายสอนง่าย ไม่มีมานะทิฏฐิ ไม่ถือตัว มีกายวาจาใจบริ สุทธิ และสามารถควบคุมตัวเองได้ในทุกสถานการณ์ ทําให้เราอยูใ่ นสังคมได้อย่างเป็ นสุ ข

คําสํ าคัญ : สติปัฏฐาน , การพัฒนาชีวิต

บทนํา ในชีวิตประจําวันของมนุษย์ตอ้ งอาศัยสติในการดําเนินชีวิตในกิจการต่าง ๆ นับตังแต่ ตืนนอนมาจนถึง เวลาเข้านอน ทุกคนต้องใช้สติอยู่โดยไม่รู้ว่าตนเองได้ใช้สติของตนมากน้อยเป็ น อย่างไร หรื อทีควรจะใช้ มันให้เป็ นไปอย่างไร อาจกล่าวได้ว่าหากขาดสติ เสี ยแล้ว กิ จกรรมต่าง ๆ ของ มนุ ษย์ก็จะไม่สําเร็ จผลไป ด้วยดี การดําเนิ นชีวิตของมนุษย์ในยามปกติอยู่อย่างสบาย เมือทํางานแล้ว ก็หาความสุ ขและเพลิดเพลินไป กับความสุขสบายไปวัน ๆ โดยไม่ได้เตรี ยมรับกับความเสื อมความทุกข์ทีอาจมาถึงโดยเห็นว่ายังมีสิงอืนควร ทํา ก่ อนนอน แต่ เ มื อมี ทุก ข์ม าบี บ คันมาถึ ง ตัว แล้ว จึง ดิ นรน แก้ปั ญหาซึ งอาจจะแก้ไ ขไม่ไ ด้ห รื อ ไม่ ท ัน เหตุการณ์เท่าทีควร สิ งเหล่านี เรี ยกว่า ความประมาทในการ ดําเนิ นชีวิต ความไม่ประมาทในการดําเนิ นชีวิต คือ การมีสติประครองชี วิตให้เป็ นไปด้วยความไม่ ประมาทมีการไตร่ ตรองพิจารณาสิ งทังปวงตามทีเป็ นอยู่ จริ งมีอยู่จริ ง เพราะสิ งทังปวงแม้แต่ชีวิต ตนเองก็จะเสื อมสลายไป ชีวิตของตนเองไม่ยืนยาวอยู่ได้ไม่นานก็ ต้องตายภายใน 100 ปี แต่อยูถ่ ึง 100 ปี ก็ตอ้ งตายเพราะความแก่ชรานันเอง การพัฒนาสติเป็ นการพัฒนาชีวติ อย่างมีคุณค่า ทีสามารถทําได้ตลอดเวลาทียังมีลม หายใจอยู่ ด้วยการมี สติ รับรู ้ และเอาใจใส่ อยู่กับสิ งที กํา ลังกระทํา อยู่ ด้วยความผ่อยคลายเรี ยกว่า การอยู่กับปั จจุบนั ขณะ การ พัฒนาสติไม่ใช่เป็ นสิ งทีจะทําเมือมีเวลาว่าง แต่เป็ นสิ งทีเป็ นสาระสําคัญของชีวิตโดยความผาสุ ข จิตสามารถ พัฒนาได้ดว้ ยตัวของมันเอง โดยสิ งแรกทีต้องทํา คือ การชําระจิต ของตนให้ขาวสะอาดไม่ใช่ทาํ เพียงวันละ 1-2 ครังเท่านัน เหมือนการชําระล้างร่ างกาย แต่ตอ้ งทําอยู่ ตลอดเวลาทีตืนขึนมา และต้องรู ้ว่าจะทําอย่างไร (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), 2545) ท่านได้กล่าวว่า “การพัฒนาสติตอ้ งพัฒนาด้วยปั ญญาตามหลัก สติปัฏฐานหรื อวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่หลักการทีจํากัดว่าจะต้องปลีกตัวไปปฏิบตั ิ อยู่นอกสังคม ท่านจึง นําเอาหลักสติปัฏฐานมาปฏิบตั ิ ในชีวิตประจําวัน การปฏิบตั ิธรรม คือ การนําเอาหลักธรรมมาปฏิบตั ิใช้ใน ชีวิตประจําวันให้เกิด ประโยชน์แก่ชีวิตของเรานันเอง” การปฏิบตั ิธรรมตามหลักธรรมชาติทาํ ให้ได้บรรลุ มรรคผลด้วยการ ปฏิบตั ิตามแนวสติปัฏฐาน 4 หรื อตามแนววิปัสสนากรรมฐาน ตามที (หลวงพ่อพุทธทาส ภิกขุ,2531) ท่านได้กล่าวไว้ว่า “สมาธิ และวิปัสสนากรรมฐานตามธรรมชาตินีทําให้บุคคลได้บรรลุมรรคผล กันในที พระพักตร์ ของพระพุทธเจ้าเป็ นวิธีทีเหมาะสําหรับบุคคลทีอาศัยบนรากฐานแห่ งการพิจารณาตาม ความเป็ นจริ งทีว่า ไม่มีสิงไหนอทีน่าเข้าไปยึดมันเอาไว้ และไม่มีอะไรทีน่าเป็ นอยูใ่ นชี วิตประจําวัน ของเรา ทังหลายเลย”

สติปัฏฐาน 4 กับการปฏิบัติธรรมในชีวิต หลักสติปัฏฐาน 4 นี เป็ นวิธีการพัฒนาสติของมนุ ษย์เพือให้มนุษย์พน้ จากความทุกข์ใน ระดับต่าง ๆ จนถึงความพ้นทุกข์โดยสิ นเชิง สติปัฏฐาน 4 เป็ นหลักการพัฒนาตนของมนุ ษย์จากความ เป็ นปุถุชนไปสู่ ความเป็ นพระอริ ยะ ดังทีพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทงหลาย ั สติปัฏฐาน 4 เหล่านี อันภิกษุเจริ ญ

แล้ว กระทําให้มากแล้ว เป็ นอริ ยะเป็ นนิ ยานิ กะ เป็ นเครื องนําสัตว์ออกไปจาก กองทุกข์ ย่อมนําไปเพือความ สิ นทุกข์โดยชอบแก่ผกู ้ ระทําตามสติปัฏฐาน 4” (ส.ม. (ไทย) 19/753/183) มีหลักสําคัญของการปฏิ บตั ิ คือ มี ความเพียร มี สติ และมี สัมปชัญญะ ในการปฏิ บ ัติ วิปัส สนากรรมฐานจะให้ได้ผลและถูกต้องอยู่ทีหลัก สําคัญของการปฏิบตั ิมี 3 ประการ คือ 1) อาตาปี มีความเพียรทัว ได้แก่ การตังใจจริ งในการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานทีตนเอง ตังใจเอาไว้ไม่ ย่อหย่อนต่อการปฏิบตั ินนั 2) สติมา มีสติระลึกได้ก่อนทํา ก่อนพูด ก่อนคิด หรื ออยูก่ บั ปัจจุบนั ทีกําลังปฏิบตั ินนั 3) สัมปชาโน มีสัมปชัญญะ คือ มีความรู ้สึกตัวกําหนดอยู่ทุกขณะในการปฏิบ ตั ิธ รรมและ การปฏิ บตั ิ ธรรมต้องมี สติระลึ กรู ้ธ รรมชาติถึ งสิ งที กําลัง เป็ นไปในตัวเองด้วยความพยายามอดทนคื อ เพียงแต่เฝ้ า ดู สังเกตติดตามอยู่ทุกช่วงขณะไม่ว่าจะเดิน หรื อนัง หรื อเข้าห้องน้าอยู่ โดยไม่ตอ้ งกังวล ว่าจะต้องอยู่น าน เท่าใดให้เรามีสติระลึกอยูใ่ นช่วงทุกอิริยาบถนันๆ ในองค์ประกอบของการรู ้ความ จริ งนัน พระพุทธองค์ได้แสดงหลักฐานไว้ในสติปัฏฐาน 4 ทีปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตร (ที.ม.(ไทย) 10/375/304) มี ท ังส่ ว นที เป็ นสมถะและวิ ปั ส สนาซึ งผู ้เ ขี ย นได้เ ลื อ กศึ ก ษาเฉพาะส่ ว นที เป็ นวิ ปั ส สนา ดังต่อไปนี 1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การมีสติตงมั ั นในการพิจารณากายในกาย หมายถึง การประชุมแห่งรู ป เป็ นการใช้สติระลึกรู ้ในรู ปนามปัจจุบนั ว่าไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็ น เพียงแต่ธาตุทงั 4 คือ ดิน น้า ลม ไฟ มาประกอบกันอยูใ่ ห้รู้วา่ เป็ นอิริยาบถใหญ่ทีให้ผปู้ ฏิบตั ิได้รู้ได้ เข้าใจในการปฏิบตั ิให้รู้เท่าทันว่า 1.1 อิริยาบถปัพพะ หมายถึง อิริยาบถใหญ่มี 4 ได้แก่ เดิน ยืน นัง และนอน เมือกายอยู่ ในอาการใดๆ ก็รู้ ชัดว่า กายทียืนอยูใ่ นอาการนัน ๆ ดังนี (1) อิริยาบถเดิน หรื อการเดินจงกรม เป็ นการเดินกําหนดให้รู้ว่า “เมือเราเดินอยู่ก็รู้ ว่าเรากําลังเดินอยู่” มี พระบาลีรับรองว่า “คจุฉนโต วา คจฉามีติ ปชานาติ” (ที.ม.(บาลี) 10/375/260) (2) อิริยาบถยืน เป็ นการกําหนดรู ้ให้เรารู ้ว่า “เมือเรายืนอยู่ก็กาํ หนดรู ้ว่าเรากําลังยืน อยู่” มีพระบาลีว่า “ฐิ โต วา ฐิโตมหิติ ปชานาติ” ในอิริยาบถยืนเกิดขึน เมือจิตต้องการจะยืนจึงเกิด การไหวตัวของธาตุลม ทําให้ กายตังขึนตังแต่พืนเท้าขึนมา เมือกําลังยืนให้มีสติรู้ว่าเรากําลัง ยืน เมือ กําลังไหวให้มีการกําหนดรู ้ว่ากําลัง ไหว เมือกายนิงให้มีสติกาํ หนดรู ้วา่ กายนิง เราก็กาํ หนอรู ้อยูว่ า่ กายนิงอยู่ (3) อิริยาบถนังเป็ นการกําหนดรู ้ทีว่า “เมือเรานังอยู่ก็กาํ หนดรู ้ว่าเรากําลังนังอยู่” โดยนังคู่บลั ลังก์ตงกาย ั ให้ตรงดํารงสติไว้ให้มนมี ั พระบาลีรับรองว่า “นิ สีทติ ปลุลงก์ อาภุชิตวา อุชุ กาย ปณิ ธาย ปริ มุข์ สตี อุปฎฐ เปตวา” ในอิริยาบถนังเกิดขึน เมือจิตต้องการจะนังทําให้เกิดการไหว ตัวของธาตุลม ขับเคลือนให้คู่กายท่อน ล่างลงแล้วตังกายท่อนบนขึนอยู่

(4) อิริยาบถนอนเป็ นการกําหนดรู ้ทีว่า “เมือเรานอนอยูก่ ็กาํ หนดรู ้วา่ เรากําลังนอน อยู่” มีพระบาลีรับรอง ว่า “สยาโน วา สยาโนมทีติ ปชานาติ” ในอิริยาบถนอนเกิดขึน เมือจิตต้องการ จะนอนทําให้เกิดการไหวตัว ของธาตุลมขับเคลือนร่ างกายให้เหยียดเป็ นทางยาวอยู่แล้วค่อยนอนแบบ มีสติ หรื อนอนตะแคงขวาแบบสี ห ไสยยาสน์ หรื อนอนแบบราชสีห์นอน 1.2 สัมปชัญญะปั พพะ หมายถึ ง อิริยาบถย่อย ได้แก่ การทําความรู ้สึกตัวในอาการก้ม เงยคู่เหยียดล้าง หน้าแปรงฟั นรับประทานอาหารเคียวดืมลิมรส ส่วนคําว่า สัมปชัญญะ ได้แก่ ความเป็ นผูร้ ู ้สึกตัวชอบอย่าง บริ บูรณ์เป็ นปัญญาทีรู ้พระไตรลักษณ์ให้ผปู ้ ฏิบตั ิตามรู ้อาการต่าง ๆ ของ กายว่า กายดํารงอยูใ่ นอาการใด ๆ ก็ รู ้ชดั ในอาการนัน ๆ ในร่ างกายของเรานันเอง 3) ธาตุมนสิ การปั พพะ หมายถึง การพิจารณากายในหมวดธาตุดว้ ยการพิจารณาให้เห็น ว่า ร่ างกายมีธาตุ ทัง 4 คือ ดิน นํา ลม ไฟประกอบกันอยูเ่ ท่านันด้วยการรู ้ชดั ของร่ างกายของเรา สรุ ปกายานุ ปัสสนาสติปัฏฐานเป็ นการพิจารณาให้เห็นว่าร่ างกายนัน คือ กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา เป็ นเพียงแต่วา่ กายเท่านัน ไม่ควรเข้าไปยึดมันถือมัน 2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การมีสติกาํ หนดรู ้เวทนาในเวทนาเป็ นการเสวยอารมณ์ ความรู ้สึกสุ ข ทุกข์ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ในตัวเอง หมายถึง การใช้สติกาํ หนดรู ้อาการของเวทนาเป็ นการ พิจารณาเห็นธรรม อันเป็ นเหตุเกิดหรื อดับในเวทนาและมีสติปรากฏอยูเ่ ฉพาะหน้าว่า “เวทนามีอยู”่ ก็เพียงเพืออาศัยการเจริ ญสติ เท่านัน สรุ ปเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็ นการพิจารณาให้เห็นว่า เวทนาสักว่าเวทนาไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน เราเขา เป็ นเพียงแต่วา่ เวทนาเท่านันไม่ควรเข้ายึดมันถือมัน 1.3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การพิจารณาจิตในจิตเป็ นการพิจารณาเห็นเหตุเกิด หรื อดับในจิตเป็ นการ ใช้สติกาํ หนดรู ้อาการทีปรากฏทางวิญญาณขันธ์ โดยการกําหนดรู ้ ว่า จิตกําลังมี อารมณ์ราคะโทสะโมหะ ความหดหู่ความฟุ้งซ่านก็รู้ชดั ว่า จิตมีอารมณ์อย่างนัน ๆ สรุ ปจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็ นการพิจารณาให้เห็นว่า จิตสักว่าจิตไม่ใช่เขา หรื อเรา เป็ นเพียงแต่ว่า จิตเท่านัน ไม่ควรเข้ายึดมันถือมันให้ตงมั ั นอยู่ในปัจจุบนั ธรรม คือ เมือเห็นก็หยุดอยู่ เพียงนี คือ เพียงสักแต่ ว่าเห็นไม่ให้พิจารณาต่อไปว่า สวยหรื อไม่สวยดีหรื อไม่ดี จิตจึงมีความแน่วแน่ ไม่หวันไหวซึงจะทําให้จิตมี สมาธิเข้มแข็งขึน การทีมีจิตแน่วแน่เช่นนีเรี ยกว่า ได้ถึงซึงจิตตวิสุทธิ คือ จิตมีหมดจดโดยลําดับ 1.4. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การใช้สติกาํ หนดรู ้ธรรมในธรรม พระพุทธองค์ทรง สอนให้พิจารณา ธรรม 5 หมวด คือ นิวรณ์ ขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์และสัจจะ ดังนี 1.4.1 นิวรณ์ 5 หมายถึง ธรรมทีกันจิตไม่ให้บรรลุความดีสิงทีขัดขวางจิตไม่ให้กา้ วหน้าใน คุณธรรมมี 5 อย่างดังนี กามฉันทะ คือ ความพอใจในกาม พยาบาท คือ ความคิดร้าย ถีนมิทธะ คือ ความหดหูและเซื องซึม

อุทธัจจะกุ กกุ จจะ คือ ความฟุ้งซ่ าน วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย โดยพิจารณาว่า เมื อนิ วรณ์ใดเกิด ขึนก็ กําหนดรู ้นิวรณ์นนโดยไม่ ั เข้าไปยึดมันถือมันนันเอง 1.4.2 อุปาทานขันธ์ 5 หมายถึง กองอันเป็ นอารมณ์แห่ งความถื อมันประกอบด้วยรู ปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ โดยพิจารณาถึงความเกิ ดและความดับของ อุปาทานขันธ์ 5 ไป ตามลําดับ 1.4.3 อายตนะ 12 หมายถึง ที ติดต่อเครื องติด ต่อ แดนต่อความรู ้ เครื องรู ้ และสิ งที รู ้กัน ประกอบด้วย อายตนะภายใน 6 คือ ตา หู จมูก ลิน กายและใจ อายตนะภายนอก 6 คือ รู ปเสี ยงกลินรส โผฏฐพพะและ ธรรมารมณ์ โดยพิจารณาว่า เมืออายตนะภายในและอายตนะภายนอกกระทบกัน แล้วสังโยชน์ใดเกิดขึนก็รู้ ชัดว่า สังโยชน์นนเกิ ั ดขึนแล้วดับไป 1.4.4 โพชฌงค์ 7 หมายถึง ธรรมทีเป็ นองค์แห่ งการตรัส รู ้ หรื อองค์ของผูต้ รั ส รู ้ อนั ประกอบด้ว ยสติ สั ม โพชฌงค์ ธัม มวิจยสัม โพชฌงค์ วิริย สั ม โพชฌงค์ ปี ติสัม โพชฌงค์ ปั ส สัท ธิ สัม โพชฌงค์ สมาธิ สัม โพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ 1.4.5 อริ ยสัจ 4 (พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุ รเตโช), 2556 : 1327) พระพุทธองค์ทรง สอนให้พิจารณา อริ ยสัจ 4 ด้วยการรู ้ชดั ว่าทุกข อริ ยสัจ ความจริ ง คือ ทุกข์ ทุกขสมุทยอริ ยสัจ ความจริ ง คือ เหตุเกิ ด ทุกขนิ โรธอริ ยสัจ ความจริ ง คือ ความดับทุกข์ ทุกขนิโรธคามินีอริ ยสัจ ความ จริ ง คือ ทางดับทุกข์ สรุ ปธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็ นการพิจารณาให้เห็นว่า ธรรมสักว่าธรรมไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา เป็ นเพียงแต่ว่าธรรมเท่านัน ไม่ควรเข้าไปยึดมันถือมัน ดังนัน การปฏิบตั ิวิปัสสนา ตามหลักสติ ปัฏฐาน 4 โดยการกํา หนดรู ้ ใ นรู ป นามขัน ธ์ 5 ได้แ ก่ กายานุ ปั ส สนาสติ ปั ฏฐาน เวทนา, จิ ต , และธรรมานุ ปั ส สนา สติปัฏฐาน จนเห็นการเกิดดับของรู ปนามนันไม่เทียงเป็ นทุกข์ไม่มีตวั ตน อันเป็ นลักษณะของไตรลักษณ์ดว้ ย ปัญญาทีเรี ยกว่า วิปัสสนาญาณเข้าถึงมรรคผลนิ พพานได้ซึงการ เห็นไตรลักษณ์นนย่ ั อมหมายถึง การทําลาย วิปลาส 4 คือ ความรู ้เห็นผิดคลาดเคลือนจากความเป็ น จริ งทีเกิดจากอํานาจของกิเลสทีเข้ามาปิ ดบังทําให้เกิด การเห็นผิด เข้าใจผิดไม่ตรงตามความจริ ง ห่างไกลจากวิปัสสนามี 4 อย่างได้แก่ (1) สุภวิปลาส คือ เห็นในสิ งทีไม่งามว่าเป็ นของงามยึดเอาโดยความไม่รู้วา่ (2) สุขวิปลาส คือ เห็นในสิ งทีเป็ นทุกข์วา่ เป็ นความสุ ขโดยการยึดเอาด้วยความหลง (3) นิ จจวิปลาส คือ เห็นในสิ งทีไม่เทียงว่าเป็ นของเทียงแท้แน่นอนโดยไม่เปลียนแปลงไป เป็ นอย่างอืน (4) อัตตวิปลาส คือ เห็นในสิ งทีไม่มีตวั ตนว่ามีตวั ตนยึดเอาสิ งทีตนเห็นผิดนัน แต่เมือได้ปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 อย่างต่อเนื องแล้วก็สามารถ ทําลายวิปลาสทีมีอยู่ ในตัวตนออกไปให้หมดสิ น จนสามารถมองเห็นสัจจะธรรมความจริ งของชี วิตได้ อย่างไม่แปรผันไปเป็ น

อย่างอืน และรู ้เข้าใจในชี วิตทีมีการเกิดขึนมา มีการเกิดทุกข์เข้ามาบีบคันใน ท่ามกลาง และมีการแตกสลาย ไปในทีสุด เมือเห็นอย่างนีแล้วก็ละความยึดมันถือมันไปในทีสุด

การรู้ความจริงของผู้ปฏิบตั ิธรรมต่ อการดําเนินชีวิตประจําวัน พระพุท ธศาสนามีทรรศนะในการมองโลกเป็ นธรรมชาติทีเชื อว่าทังจิตและวัตถุเป็ นจริ ง เท่า ๆ กัน มนุษย์มีประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ในลักษณะของปรากฏการณ์ทีมีความสัมพันธ์ กันระหว่างจิ ตกับ วัตถุและมีลกั ษณะพิเศษทีทําให้ม นุ ษย์ต่างจากสิ งมีชีวิตอืนคือมีปัญญา ทังนี เพราะ พระพุทธองค์เมื อทรง สอนเรื องความจริ งว่า ความจริ งมีอยู่ 2 ระดับคือ ความจริ งระดับสมมติเรี ยกว่า สมมติสัจจะ ได้แก่ สิ งทีเป็ น จริ งเพราะมีบญ ั ญัติเองชาวโลกรับรู ้ร่วมกันเช่น คนพ่อแม่ลูกสุ นักต้นไม้ภูเขาแม่นาํ เป็ นต้น สิ งเหล่านี ล้วน เกิดจาการรวมตัวของขันธ์ 5 ซึ งเป็ นการ รวมตัวของวัตถุและจิ ตเข้าด้วยกัน ปรากฏเป็ นโลกและสิ งต่าง ๆ ล้ ว นเป็ นปรากฏการณ์ ที สั ม พั น ธ์ กั น ระหว่ า งจิ ต กั บ วัต ถุ แ ละชาวโลก (พระเมธี ธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมุมจิตโต), 2533) หรื อกล่าวอีกนัย หนึ ง ความจริ งในระดับนีเป็ นสิ งทีมีอยู่แบบธรรมชาตินิยมรับรู ้ ได้ดว้ ยประสาทสัมผัสมีการ เปลียนแปลงได้ ส่ วนอีกระดับหนึงเป็ นระดับพ้นวิสัยโลกเรี ยกว่า ปรมัตถสัจจะ เป็ นความจริ งในระดับสู งสุ ดนัน คือ พระนิพพาน พระนิพพานนัน ได้แก่ ภาวะทีความทุกข์ดบั ถือเป็ น คุณ ค่าสู งสุ ดในชี วิตนิพพานเป็ นเป้าหมายของชีวิต ชีวิตทีดี คือ ชีวิตทีมุ่งไปสู่ พระนิพพานนัน ส่ วนชีวิต ทีไม่ดี คื อ ชี วิตที เดิน สวนทางกับ พระนิ พพาน ดัง นัน พระนิ พ พานจึงเป็ นหลัก ในการตัด สิ น ความดี ความชัว การทําความดีคือ การดําเนิ นไปตามหนทางสู่ พระนิ พพานนันเอง พุทธศาสนาเถรวาทมีความเห็นว่า สภาพความเป็ นจริ ง และความสุ ขของมนุ ษย์นนั มี หลายชนิดแต่ อย่างนันก็สามารถสรุ ปได้ 3 ระดับดังนีคือ 1) กามสุ ข ได้แก่ สุ ขอันเนืองด้วยกาม เป็ นความสุ ขทางผัสสะทีต้องอ้างอิงวัตถุเช่น ความสุ ขจากการกิน ดืมเทียว หรื อระดับทีสู งขึนไปเป็ นระดับจิ ตใจคือ ความสุ ขจากการมีตาํ แหน่ ง มีทรัพย์สมบัติมีบริ วารพรัง พร้ อมไปด้วยความสุ ข แต่ถึงอย่างไรความสุ ขเช่นนี ถือว่า เป็ นความสุ ขที เนื องด้วยกาม เป็ นของชาวโลก โดยทัวไปดังที (พระเทพเวที (ป.อ. ปยุตโต), 2536) ได้จดั ความสุ ขขันนีอยูใ่ นความสุขระดับศีล 2) ฌานสุ ข ได้แก่ ความสุ ขเนืองด้วยฌาน หรื อสมาธิเป็ นความสุ ขด้านจิตใจทีไม่อา้ งอิง อาศัยวัตถุ แต่เป็ น ความสุ ข ทีเกิดจากความสงบทางจิ ตที เกิ ดจากสมาธิ ซึ งยังต้องอาศัยธรรมารมณ์ เป็ น อาหารหล่ อเลี ยงอยู่ ความสุ ขระดับฌานนีเป็ นความสุขทีสามารถทําให้เกิดทําให้มีโดยการบําเพ็ญ เพียรทางจิต แต่ก็สามารถเสื อม ได้เช่นกันฌานสุ ขนีจัดอยูใ่ นความสุ ขระดับสมาธิ 3) นิพพานสุข ได้แก่ ความสุ ขเนืองด้วยนิพพาน หมายถึง การดับตัณหาดับทุกข์ได้เป็ น ความสุ ขทีอยู่ใน ขันที จิตเป็ นอิส รภาพ หรื อขันวิมุตติ ซึ งมี ปั ญญาเห็น แจ้ง จริ ง ในสิ งทังหลายโดยไม่เ ข้าไปยึด ติ ด หรื อถู ก ครอบงําโดยความแปรปรวนของโลกและชี วิต ความสุ ขขันนิ พพานสุ ขนี จัดอยู่ใน ความสุ ขระดับ ปั ญญา

ในความสุ ขทัง 3 ระดับนัน แม้พุทธศาสนาจะยอมรับว่า กามสุ ขเป็ นความสุ ข ระดับหยาบ ๆ อยู่ แต่ไม่ได้ ปฏิเสธความสุ ขระดับนี เพียงแต่เสนอแนะว่ามีความสุ ขทีดีกว่าประเสริ ฐ กว่ากามสุ ข มนุษย์ไม่ความยึดติด อยู่กับ ความสุ ขระดับใดระดับ หนึ งแต่ส มควรจะพัฒนาตนเอง เพือที จะก้า วไปสู่ ความสุ ข ทีดี ก ว่า จนถึ ง ความสุ ขขันวิมุตติคือ ในขันนิพพานซึ งถือว่าเป็ นจุดหมาย ปลายทางของความสุขทีพุทธศาสนาเสนอไว้ให้ ทุกคนได้ปฏิบตั ิธรรมโดยการปฏิบตั ิตามหลักสติปัฏ ฐาน 4 นันเอง

การเปลียนพฤติกรรมของผู้ปฏิบตั ิธรรมโดยการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 การเปลียนพฤติกรรมโดยใช้วิธีการพัฒนาตนตามหลักสติปัฏฐาน 4 นัน ในการดําเนิ นชีวิตของมนุษย์ ทัวไปซึ งยังต้องเกียวข้องกับโลกทียังต้องหลงใหลอยู่ในกามคุณทังความน่าพอใจและ ไม่น่าพอใจจึงเป็ น เรื องยากอย่างยิงทีระมัดระวังทวารทัง 6 ดังนัน การฝึ กฝนตนเองยังต้องดําเนินไป อย่างต่อเนื องกระบวนการ ฝึ กตนเพือการพัฒนาปั ญญาทีมุ่งหวังเพือการขัดเกลากิ เลส จึงต้องอาศัย วิธีการทีเป็ นรู ปแบบเพือให้ปั ญญา ได้รั บ การพัฒ นาอย่า งต่ อ เนื องซึ งผู ว้ ิ จัย เรี ย กการฝึ กตนในส่ ว นนี ว่า ภาคปฏิ บ ัติ ห รื อ การภาวนาได้ แ ก่ สติปัฏฐาน 4 การฝึ กเจริ ญสติโดยใช้หลักการเจริ ญสติปัฏฐาน “ภิกษุ ทังหลาย ทางนีเป็ นทางสายทางสายเอก เป็ นเดียว เพือความบริ สุทธิของเหล่าสัตว์ เพือก้าวล่วงโสกะ และปริ เทวะ เพือดับทุกข์และโทมนัส เพือบรรลุ ญาณธรรม เพือทําให้แจ้งซึงพระนิพพาน ทางนีคือ สติปัฏฐานมีอยู่ 4 ประการ (ม.ม. (ไทย) 12/106/101) การเจริ ญสติปัฏฐานเป็ นวิธีการเฉพาะในพระพุทธศาสนาและเป็ นทางเดียวทีจะก้าวสู่ ปัญญาขันสู งสุ ด ได้ เพราะการฝึ กนีต้องใช้ทงความเพี ั ยรต้องมีทงสติ ั และสัมปชัญญะแม้จะต้องใช้เวลา ถึง 7 ปี 7 เดือน หรื อ 7 วัน ก็สามารถบรรลุอรหัตผลหรื ออนาคามิผลได้ เพราะทางนี ต้องไปคนเดียว เท่านัน การฝึ กเพือพัฒนาตน นัน ต้องเริ มมาจากภายในตน พระพุทธองค์เป็ นเพียงผูช้ ี ทางให้เท่านัน ดังมีพุทธพจน์ทีว่า “ภิกษุทงหลาย ั เธอทังหลาย ทําความเพียรเองเถิด ตถาคตเป็ นเพียงผูช้ ีบอก เท่านัน ผูบ้ าํ เพ็ญภาวนาดําเนิ นตามทางนีแล้ว เพ่ง พินิจอยู่ จักพ้นจากเครื องผูกของมารได้” พระพุทธ องค์ได้ถ่ายทอดหลักในการเจริ ญสติปัฏฐานมี 4 ขันตอน ในการฝึ กปฏิบตั ิดงั นี 1) พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ด้วยการมีสติพิจารณาลมหายใจเข้าออก มีสติรู้อิริยาบถ ใหญ่คือ เดิน ยืน นัง และนอน มีสัมปชัญญะในการเคลือนไหว การก้าวไปการถอยกลับการแลดู การ เหลียวดู การเข้า การ เหยียดออก การครองสังฆาฏิ การสะพายบาตร การครองจีวรการฉัน การเคียวการดืม การลิมการถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ ทําความรู ้สึกตัวในการเดิน การยืน การนังการนอนการ ตืน การพูด และการนังนิงเป็ นต้น 2) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เมือเสวยสุขเวทนาก็รู้ชดั ว่า “เราเสวยสุ ขเวทนา” เมือ เสวยทุกขเวทนาก็รู้ ชัดว่า “เราเสวยทุกขเวทนา” เมือเสวยอทุกขมสุ ขเวทนาก็รู้ชดั ว่า “เราเสวยเสวย อทุกขมสุ ขเวทนา” เป็ นต้น

3) พิจารณาเห็นจิตในจิต รู ้ว่าจิตมีราคะก็รู้ชดั ว่า “จิตมีราคะ” จิตปราศจากราคะก็รู้ชดั ว่า “จิตปราศจาก ราคะ” จิตมีโทสะก็รู้ชดั ว่า “จิตมีโทสะ” จิตปราศจากโทสะก็รู้ชดั ว่า “จิตปราศจาก โทสะ” จิตมีโมหะก็รู้ชดั ว่า “จิตมีโมหะ” จิตปราศจากโมหะก็รู้ชดั ว่า “จิตปราศจากโมหะ” เป็ นต้น 4) พิจารณาเห็นธรรมทังหลายในธรรม คือ นิวรณ์ 5 อยูเ่ มือกามฉันทะ (ความพอใจใน กาม) เมือพยาบาท (ความคิดร้าย) เมื อถีน มิทธะ (ความหดหู เชื องซึ ม) เมื ออุท ธัจจกุกกุ จจะ (ความ ฟุ้งซ่ านและร้ อนใจ) เมือ วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) นิ วรณ์ 5 นีภายในมีอยู่ก็รู้ชดั ว่า “นิ วรณ์ 5 ภายในของเรามีอยู่” เมือนิวรณ์ 5 ไม่มี อยู่ก็รู้ชดั ว่า “นิ วรณ์ 5 ไม่มีอยู่เห็นธรรมในธรรมทังหลายคือ เห็นความเกิ ดและดับของอุปาทานขันธ์ 5 อยู่ เห็นธรรมในธรรมทังหลายคือ อายตนะภายใน 6 และ อายตนะภายนอก 6 อยู่เห็นธรรมในธรรมทังหลายคือ โพชฌงค์ 7 อยูเ่ ห็นธรรมในธรรมทังหลายคือ อริ ยสัจ 4วิธีการทีพระพุทธองค์ทรงใช้เพือการเจริ ญสติปัฏฐาน 4 โดยการเดินจงกรมและนังสมาธิ อย่างต่อเนือง มีพระพุทธพจน์ทีได้ตรัสแก่ภิกษุทงหลายว่ ั า “ภิกษุทงหลาย ั เราทังหลายจักเป็ นผูป้ ระกอบความเพียรในธรรมเป็ นเครื องตืนอย่าง ต่อเนื อง จักชําระ จิตให้บริ สุทธิจากธรรมอันเป็ นเครื องขัดขวางต่อการบรรลุธรรม ด้วยการเดินจงกรม และการนังสมาธิตลอด วัน จักชําระจิ ตให้บ ริ สุทธิ จากธรรมเป็ นเครื องขัดขวางต่อการบรรลุธรรม ด้วยการเดินจงกรมด้วยการนัง สมาธิ ตลอดปฐมยามแห่ งราตรี สําเร็ จการนอน ดุจราชสี ห์โดยตะแคง ข้างเบื องขวาซ้อนเท้าเหลือมเท้ามี สติสัมปชัญญะอยู่เสมอ” การเจริ ญสติโดยใช้หลักสติปัฏฐาน 4 นีเป็ นชําระใจให้บริ สุทธิ พระธรรมธีรราชมหามุณี (โชดก ญาณ สิ ทธิ ), 2546 : 4) โดยการทําความเพียรอย่างต่อเนื องแม้จะใช้เวลาถึง 7 วัน 7 เดือน 7 ปี หรื อ 7 ชาติ เมือมีสติ ปั ฏฐาน 4 เป็ นพืนฐานแล้วย่อมส่ ง ผลให้ปั ญญาได้รับการพัฒนาไปสู่ องค์ธ รรมอื น ต่อไป วิธีก ารพัฒนา ปัญญาเพือการขัดเกลากิเลสนี จะทําให้ผฝู ้ ึ กตนมีจิตใจทีบริ สุทธิในทาง พระพุทธศาสนาเรี ยกว่า มีดวงตาเห็น ธรรม หรื อบรรลุมรรคผลนิพพาน ความบริ สุทธิ ของจิตในขัน แรก เรี ยกว่า โสดาปัตติผล ขันทีสอง เรี ยกว่า สกทาคามิผล ขันทีสาม เรี ยกว่า อนาคามิผล และขัน สุ ดท้ายเรี ยกว่า อรหัตตผล ซึ งเป็ นขันทีจิตบริ สุทธิโดย สิ นเชิงแต่เพียงได้ชาํ ระใจให้บริ สุทธิ ได้ขนตํ ั าทีสุ ด ผูป้ ฏิบตั ิก็มีจิตใจเหนื อปุถุชนธรรมดาแล้วนับได้ว่า เป็ น คนใจพระ เป็ นพระอริ ยบุคคลใน พระพุทธศาสนา ผูเ้ ขียนมีความเห็นว่า การพัฒนาสติและปั ญญาดังกล่าวทังทีเป็ นโลกิยปั ญญาและ โลกุตตรปัญญานัน หากมีการลงมือปฏิบตั ิอย่างจริ งจัง แล้ว ผลย่อมเกิดขึนได้อย่างแน่ นอน มีพระ ดํารัสของพระพุทธเจ้าทีตรัส ไว้แก่ ภิกษุทงหลายว่ ั า “พระธรรมทีพระผูม้ ีพระภาคตรั ส ไว้ดี แล้ว ผู ้ ปฏิ บ ัติจะพึงเห็ นชัด ด้วยตนเอง ไม่ ประกอบด้วยกาล ควรรี บยกให้เขาเข้ามาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญ ูชนพึงรู ้ได้เฉพาะตนเอง”

ทบทวนเอกสารทีเกียวข้ องกับสติปัฏฐาน 4 กับการพัฒนาตนในชีวิตประจําวัน การเขียนบทความในครั งนี ผูเ้ ขียนได้ท บทวนเอกสารวิชาการที เกียวข้องกับ การปฏิ บตั ิ วิ ปั ส สนา กรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 มาเป็ นเครื องยืนยันในการเขียนบทความนีคือ 1) (พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตโต,2545) ได้ให้ความหมายสําคัญเกียวกับการวิจยั นี ไว้ในหนังสื อ พุทธธรรม สรุ ปได้ดงั นี ว่า กรรมฐาน แปลว่า ทีตังแห่ งการทํางานของจิตหรื อทีให้จิต ทํางาน คือสิ งทีใช้เป็ น อารมณ์ในการเจริ ญภาวนาหรื ออุปกรณ์ในการฝึ กอบรมจิต หรื ออุบาย หรื อ กลวิธีเหนี ยวนําสมาธิพู ดให้สัน ทีสุ ดว่าสิ งทีใช้ฝึกสมาธิกรรมฐาน เท่าทีพระอรรถกถาจารย์รวบรวม แสดงไว้มี 40 อย่างและได้กล่าวถึงอานา ปานสติสมาธิ เป็ นข้อปฏิบตั ิได้ทงในทางสมถะและวิ ั ปัสสนา หมายความว่าจะใช้ปฏิบตั ิเพือมุ่งผลฝ่ ายสมาธิ แน่ วแน่ ไปอย่างเดี ยวก็ได้ หรื อจะใช้เป็ นฐานปฏิบตั ิ ตาม แนวสติปัฏฐานครบทัง 4 อย่างก็ได้ เพราะเป็ นข้อ ปฏิ บ ตั ิ ทีเอื อต่อสมาธิ จิตในการใช้เป็ นสนาม ปฏิ บตั ิ การของปั ญญาได้เต็มทีเป็ นสมาธิ ทีพระพุท ธเจ้าทรง สรรเสริ ญมาก รวมทังทรงสนับสนุ นให้ พระภิกษุทงหลายปฏิ ั บตั ิ และพระพุทธองค์เองทรงใช้เป็ นวิหาร ธรรมทังก่อนและหลังตรัสรู ้จนเป็ น พระพุทธเจ้า 2) (พระภัททันตะ อาสภเถระ, 2549) ได้กล่าวสรุ ปถึงองค์ประกอบ หรื อหัวใจสําคัญของ สติปัฏฐาน 4 ไว้ ในหนัง สื อการปฏิ บ ัติ วิปั ส สนากรรมฐานตามหลักสติ ปั ฏฐาน 4 ว่ า องค์ป ระกอบหรื อ หัวใจสํ าคัญของ สติปัฏฐาน 4 นันคือ อาตาปี สมุปชาโน สติมาซึงมีหน้าทีคือ อาตาปี มีวิริยะทําหน้าที เพียรพยายามตังใจเอา ใจใส่ มีโยนิ โสมนสิ การตามกําหนดสภาวการณ์ต่าง ๆ สติมา มีสติทาํ หน้าที กําหนดไม่ให้คลาดเคลือนจาก ปั จจุบนั อารมณ์ไม่ เผลอหลงลื มและมี ส มาธิ เป็ นองค์ประกอบร่ วมด้วย สมุ ปชาโน สัมปชัญญะทําหน้า ที กําหนดรู ้การเกิดดับของรู ปนามสังขารมีความรู ้ความเข้าใจ สภาวการณ์นนตามความเป็ ั นจริ งเห็นอนิจจังทุก ขังอนัตตาสรุ ปรวมเป็ นองค์ประกอบ 4 ประการคือ วิริยะ สติ สมาธิ และปั ญญาทําหน้าทีกํา หนดปั จจุ บนั อารมณ์การกําหนดแต่ละครังเป็ นการกัดกร่ อน บันทอนกิเลสทีเกาะกุมจิตใจทีละนิ ดทีละน้อยเรี ยกว่า “กร่ อน ทีละนิ ดกัดทีละหน่ อย” กิเลสจะค่อย ๆ เบาบางจางไปในทีสุ ดองค์ประกอบทัง 4 นีเกิดขึนพร้อมกันและดับ ไปพร้อมกัน 3) (พระโสภณมหาเถระ มหาสี ส ยาดอ,2549) ได้ก ล่ าวสรุ ปไว้ในหนังสื อมหาสติ ปั ฏฐาน สู ตรว่า การ เจริ ญสตินบั เป็ นอุบายวิธีการดับทุกข์ดว้ ยการระลึกรู ้สภาวธรรมปั จจุบนั อันมีกายและใจ ซึ งเป็ นสิ งไม่พึงยึด มันเมือบุคคลรับรู ้วา่ กายและใจนีดํารงอยูช่ วขณะตามเหตุ ั ตามปั จจัยโดยไม่มีรูปร่ าง ถาวรทียึดถือได้วา่ เป็ นเรา เป็ นเขาเป็ นบุรุษเป็ นสตรี เมือนันก็จะมีปัญญาหยังเห็นธรรมชาติอนั แท้จริ ง ของกายและใจทีมีสภาพไม่เทียง เป็ นทุกข์ไม่ใช่ตวั ตนจิตของเขาย่อมเป็ นอิสระจากความทุกข์และ กิเลสได้อย่างแท้จริ ง 4) (พระคันธสาราภิวงศ์, 2541) ได้กล่าวสรุ ปถึงการเจริ ญสติปัฏฐานในหนังสื อการเจริ ญ สติปัฏฐานว่า การเจริ ญสติปัฏฐาน คือ การมีสติจดจ่ออย่างต่อเนื องตามรู ้เท่าทันอาการต่าง ๆ ทีกําลัง เกิดอยู่ในกายกับจิต

ตามความเป็ นจริ งรู ้ เท่าทันปั จจุ บนั อารมณ์ได้โดยละเอียดไม่ขาดช่ วงไม่ลืมกําหนด รู ้อารมณ์ทีปรากฏทาง ทวารทัง 6 คือ ตา หู จมูก ลิน กาย และใจ เมือมีรูปกระทบทีตา มีเสี ยงกระทบ ทีหู มีกลินกระทบทีจมูก มีรส กระทบทีลิน มีสัมผัสกระทบทีกาย มีความคิดเกิดทีใจก็สามารถตาม รู ้เท่าทันปั จจุบนั อารมณ์นันๆ ได้เพือ ก่อให้เกิดวิปัสสนาปั ญญาทีรู ้แจ้งไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิ จจัง ทุกขัง และอนัตตา ผูท้ ีต้องการรู ้แจ้งไตรลักษณ์ ต้องมีธรรมทีสนับสนุน 4 อย่างคือ วิริยะ สติ สมาธิ และ ปั ญญาและจะได้รับผลของการเจริ ญสติปัฏฐานคือ กําจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลก คือ อุปาทาน ขันธ์ 5 ได้

สรุป บทความนี ชี ให้เห็ นว่า พระพุทธศาสนามีคาํ สอนทีเป็ นไปเพือประโยชน์ แก่คนหมู่มาก เป็ นคําสอน เกียวกับชีวิต และการดําเนิ นชีวิตให้สอดคล้องกับโลกภายใต้หลักของความจริ ง หรื อกฎ ธรรมชาติ คือ กฎ แห่ งเหตุและผลในการดําเนิ นชี วิตทีสอดคล้องกับธรรมชาติ คือ ทางสายกลางและ การปฏิบตั ิตามคําสอน ด้วยการฝึ กตนด้วยตนเองเพือการพัฒนาตนเองได้ การพัฒนาสติ ตามหลัก สติ ปัฏฐานสู ตร เป็ นวิธีการการ พัฒนาสติทีปรากฏในพระสุ ตตันตปิ ฎก และพระอภิธรรมปิ ฎกทีอาศัย การตังอยู่บนฐานของร่ างกาย และ จิตใจอยู่ 4 อย่างคือ การตังสติทีปรากฏอยูบ่ นร่ างกายตลอดจน อาการของร่ างกาย การตังสติอยูบ่ นความรู ้สึก ของร่ างกายและจิตใจ การตังสติอยูบ่ นความคิดต่าง ๆ

เอกสารอ้ างอิง ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2535), พระไตรปิ ฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิ ฏกํ, 2500 กรุ งเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. __________.(2539) พระไตรปิ ฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. เล่มที 1-45. กรุ งเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธทาสภิกขุ. (2531) สมาธิวิปัสสนาธรรมชาติ พิมพ์ครังที 2. กรุ งเทพมหานคร: โรงพิมพ์เลียงเชียง พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), (2549), มหาสติปัฏฐานสู ตรทางสู่ พระนิพพาน. กรุ งเทพมหานคร: โรงพิมพ์หา้ งหุน้ ส่ วนจํากัด ไทยรายวันการพิมพ์ ภัททันตะ อาสภะเถระ.(2549). การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักสติปัฏฐาน4. กรุ งเทพมหานคร: โรงพิมพ์หา้ งหุน้ ส่ วนจํากัด ไทยรายวันการพิมพ์ พระธรรมธี รราชมหามุณี (โชดก ญาณสิทธิ, ป.ธ. 9). (2546), มรรคผลนิพพาน, พิมพ์ครังที 10. กรุ งเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระเทพเวที (ป.อ.ปยุตโต), (2536), ยิงก้ าวถึงสุ ขยิงใกล้ถึงธรรม. กรุ งเทพมหานคร: โรงพิมพ์ธรรมสภา. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), (2545) พุทธธรรม. พิมพ์ครังที 20. กรุ งเทพมหานคร: โรงพิมพ์ บริ ษทั สหธรรมิก จํากัด พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุ รเตโช). (2556), พจนานุกรมเพือการศึกษาพุทธศาสน์ ชุดคําวัด กรุ งเทพมหานคร: โรงพิมพ์เลียงเชียง พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมุมจิตโต), (2533), พุทธศาสนากับปรัชญา. กรุ งเทพมหานคร: บริ ษทั อัมริ นทร์พริ นติงกรุ๊ ฟ จํากัด พระคันธสาราภิวงศ์. (2541). การเจริญสติปัฏฐาน ลําปาง: โรงพิมพ์จิตวัฒนาการพิมพ์