Data Loading...
การปลูกฝังและสร้างเสริมอุดมการณ์ทางทหาร Flipbook PDF
จัดทำโดย กรมยุทธศึกษาทหารบก
544 Views
169 Downloads
FLIP PDF 815.6KB
กองทัพบก วิชา
การปลูกฝังและสร้างเสริม อุดมการณ์ทหาร
จัดทาโดย กรมยุทธศึกษาทหารบก เมื่อ ๒๗ ต.ค.๕๗
สารบัญ หน้า บทที่ ๑ บทนา
๑
บทที่ ๒ ค่านิยมและมาตรฐานของกองทัพบก
๖
บทที่ ๓ อุดมการณ์ทหารกองทัพบก
๑๓
บทที่ ๔ ผู้บังคับบัญชากับอุดมการณ์ทหารกองทัพบก
๒๒
บทที่ ๕ กระบวนการปลูกฝังและสร้างเสริมอุดมการณ์ทหารกองทัพบก
๒๖
ภาคผนวก ก ประวัติบุคคลสาคัญที่สมควรยกย่อง
๓๑
ข กาลังพลกองทัพบกทีไ่ ด้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญกล้าหาย
๓๗
ค คุณลักษณะผู้นา ๑๔ ประการ
๔๖
ง เพลงปลุกใจ
๔๘
จ คาขวัญปลูกฝังอุกมการณ์ทหารและบัญญัติ ๗ ประการในการทาความดี ๕๖
๑
บทที่ ๑ บทนา อุดมการณ์ คือ “จินตนาการ ที่ถือว่าเป็นมาตรฐานแห่งความดีงามและความจริง ซึ่ง ถือว่าเป็นเปูาหมายแห่งชีวิตอันสูงส่งที่จูงใจให้มนุษย์พยายาม มุ่งมั่นที่จะทําหรือบรรลุถึง ” เป็นพลังอํานาจที่ทําให้เกิดความกลมเกลียว เป็นปึกแผ่นและจิตสํานึกร่วมในสังคม กองทัพ เป็นสถาบันสําคัญหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการปลูกฝังอุดมการณ์ โดยเป็นการปลูกฝังให้ยึดถือใน หลักการ ทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยมหรือทฤษฎีบางอย่าง ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติที่สืบทอดกันมา ในสังคม อุดมการณ์ทหาร คือ “มาตรฐานแห่งความดีงามอันสุดยอดในหน้าที่ของนักรบของ ชาติที่ต้องมุ่งมั่น อุทิศตนเพื่อให้บรรลุถึง ” ซึ่งความสําคัญดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในด้านการ ปูองกันประเทศนั้นเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะปกปูองประเทศบ้านเกิดเมืองนอนในทุ ก วิถีทางเท่าที่จะสามารถทําได้และรัฐธรรมนูญได้กําหนดให้ชายไทยทุกคนต้องเป็นทหารรับใช้ ชาติ อุดมการณ์ทหารจึงเป็นสิ่งที่สําคัญและจําเป็ นอย่างยิ่งต่อความเป็นทหารอาชีพ การ มีอุด มการณ์ทหารที่ฝั งแน่นจะเป็น แนวทางให้ทหารเกิ ดความสํา นึก ในหน้ าที่ ยึ ดมั่ นใน ผลสําเร็จของภารกิจ เป็นหลักประกันได้ว่าผู้ที่มีอุดมการณ์ทหารที่ฝังแน่นและกล้าแกร่ง จะ นําผลดีมาสู่ก องทัพและประเทศชาติไ ด้อย่างไม่มีข้ อกังขา และเป็นการปฏิบัติในหน้าที่ พลเมืองตามบทบาทของทหารอย่างสมบูรณ์ หน้าที่พลเมือง พลเมืองเป็นกําลังของประเทศ มีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญซึ่ง ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม โดยหน้าที่พลเมืองที่สําคัญ สรุปได้ดังนี้คือ การรักษาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ๑. การรักษาชาติ คนไทยทุกคนมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ดูแลและปูองกันชาติมิให้ ผู้ ใ ดแบ่ ง แยกแผ่ น ดิ น ไทยด้ ว ยเหตุ ผ ลทางการเมื อ ง การปกครอง หรื อ ศาสนา เพราะ รัฐธรรมนูญกําหนดว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิ ได้ ” รวมทั้งปูองกันมิให้ชาติอื่นมารุกราน ๒. การรักษาศาสนา ประเทศไทยให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา พระมหากษัตริย์ ทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนา ทุกคนต้องรักษาศาสนาด้วยการบํารุงรักษาและเสริมสร้างศรัทธา เพื่อให้ศาสนา คงอยู่คู่บ้านเมืองและเป็นหลักยึดเหนี่ยวในด้านคุณธรรมสืบไป ๓. การรักษาพระมหากษัตริย์ เป็นหน้าที่ยิ่งใหญ่ของคนไทยทุกคน เพราะประเทศ ไทยและคนไทยดํ า รงอยู่ ไ ด้ อ ย่ า งร่ ม เย็ น เป็ น สุ ข มาถึ ง ทุ ก วั น นี้ ก็ ด้ ว ยพระบารมี ข อง พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ที่คนไทยต้องดูแลรักษาและเทิดทูนสถาบัน
๒
และองค์พระมหากษัตริย์ไว้ด้วยชีวิต อีกทั้งต้องปูองกันภัยพาลอันเกิดจากวาจาหรือความคิด ที่ไม่สุจริตทั้งปวง ความสาคัญและบริบทของอุดมการณ์ทหาร ขงจื้อยอดนักปราชย์ชาวจีนได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีอุดมการณ์ ผู้มีเมตตาธรรม ย่อมไม่รัก ตัวกลัวตายจนทําให้เสียอุดมการณ์หรือสิ้นเมตตาธรรม แต่ตรงกันข้ามกลับจะยอมพลีชีพ เพื่อพิทักษ์อุดมการณ์และเมตตาธรรมนั้นเอาไว้ คําพูดดังกล่าวเปรียบประดุจดั่งพฤติกรรม ในการรบของทหารที่ต้องปฏิบัติโดยตระหนักอยู่เสมอว่าการรบคือการชี้โชคชะตาบ้านเกิด เมืองนอนอันเป็นที่รักของตนว่าจะอยู่รอดหรือย่อยยับ ทหารปฏิบัติหน้าที่มิใช่เพื่อรับใช้ใคร แต่เหนือสิ่งใดทุกคนต้องมุ่งรับใช้ชาติและประชาชนเป็นสําคัญ เป็นหน้าที่ของพลเมืองดี และนับเป็นเกียรติประวัติแห่งตนและวงศ์ตระกูลที่ ลูกผู้ชายทุกคนต้องภูมิใจ เป็นแบบอย่าง ที่ดีของชายชาติทหารที่อุทิศตนในยามแห่งความเป็นความตายที่ประเทศต้องการ ทหารที่มีอุดมการณ์กล้าแข็ง ต้องศรัทธาและสํานึกต่อภารกิจตามหน้าที่ ตั้งใจทํา อุทิศตนและเสียสละ ชี้นําตนเองได้ว่าต้องทําอะไรบ้างเพื่อให้ชาติมั่นคงและปลอดภัย ประสิทธิภาพหน่วยทหารนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของคนเหนือกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ กองทัพบกได้สร้างนักรบให้เป็นที่ปรากฏมาในทุกสมรภูมิที่ทหารไทยเข้าไปมีส่วน เกี่ยวข้อง แต่อย่างไรก็ตามการปลูกฝังอุดมการณ์ทหารภายใต้สภาพการเปลี่ยนแปลงทาง สังคมในปัจจุบัน ย่อมจะมีอุปสรรคอยู่บ้างทั้งในด้านของวิธีการ แรงจูงใจในการเป็นทหารที่ เปลี่ยนไป การเอาใจใส่และการเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ รวมทั้งความ สะดวกสบายและวิถีชีวิตแบบวัตถุนิยม ภายใต้บริบทดังกล่าวกองทัพบกจะต้องสามารถดํารง ความเป็นแบบอย่างที่งดงามเอาไว้ให้สมกับที่เป็นสถาบันที่มีระเบียบวินัยสูงที่ไม่มีหน่วยงานใด กระทําได้เสมอเหมือน ทหารต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน ให้ประชาชนรักใคร่ ศรัทธาและ วางใจได้ว่าจะเป็นที่พึ่งได้จริงในยามทุกข์หรือยามคับขัน กําลังพลที่สวมเครื่องแบบทหารต้อง ละอายต่อการสวมเครื่องแบบโดยไม่กระทําหน้ าที่ของตนให้สมบูรณ์ ทหารมิใช่ลูกจ้างซึ่ง ขายแรงงานแลกกับเงิน แต่เป็นผู้ที่กล้าเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้บ้านเมืองอยู่รอดซึ่งการอุทิศ ตนและเสียสละอันสูงส่งดังกล่าวก็คือหน้าที่มิใช่ทํางานเพื่อแลกเงิน ผู้นากับการพัฒนาอุดมการณ์ทหาร สังคมทหารเป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ก้อนภายในขอบเขตของค่ายของหน่วย มีการพบปะกันอยู่เป็นเนืองนิตย์ เป็นสังคมที่ใกล้ชิดช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดเวลา จึงเป็น การง่ายที่จะเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขในความเป็นอยู่ประจําวันของกันและกัน ผู้บังคับบัญชาพึงแสดงตัวอย่างในความประพฤติ ความเป็นอยู่และการทํางานไม่ให้ เกิดการเปรียบเทียบ ไม่ให้ผู้น้อยดูถูกดูแคลนหรือขาดความเคารพเลื่อมใส ผู้ใต้บังคับบัญชา ทุกคนย่อมมองไปที่ผู้บังคับบัญชาหรือผู้ที่เหนือกว่า หากได้แสดงตนเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชาย่ อ มจะปฏิ บั ติ ต าม ทหารจะอยู่ กั บ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาและตายพร้ อ มกั บ
๓
ผู้บังคับบัญชาได้เสมอ จะต้องไม่เห็นแก่ได้แม้ในสิ่งอันเล็กน้อย ต้องละเว้นการล่วงสิทธิอัน ควรมีควรได้ของทหาร หากจําเป็นจะต้องขอให้สละสิทธิกันบ้างก็ต้องชี้แจงให้ทหารเข้าใจ และยอมรับด้วยความสมัครใจ สังคมทหารมิใช่สังคมศักดินาแต่เป็นสังคมของเพื่อนคู่ชีวิตซึ่ งตายด้วยกันได้และตาย แทนกันได้ ทหารไม่เคยทอดทิ้งกันในยามยากหรือในยามมีภัยอันตรายร่วมกัน ทํางานกัน ตามหน้าที่ในลักษณะของความเป็นหน่วยซึ่งมีพร้อมทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา โดยต่างฝุายต่างให้เกียรติซึ่งกันและกันตามชั้นยศและอํานาจหน้าที่ ทหารเป็นกลุ่มคนที่ถือ อาวุธตามกฎหมาย หากไม่มีการบังคับบัญชา ไม่มีระเบียบวินัยคอยควบคุมกํากับแล้วก็จะมี สภาพไม่แตกต่างกับโจรปุา ที่ไม่อาจสั่งการกันได้ในยามคับขันอันจะนํามาซึ่งความสูญเสีย หรือพ่ายแพ้ได้ ทหารทุกระดับชั้นต่างก็มีเกียรติเท่าเทียมกัน เนื่องจากแต่ละคนต้องรับผิด ชอบใน หน้าที่เพื่อชาติทั้งสิ้น ถ้าอยากจะให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีระเบียบวินัย ผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใหญ่ ก็จะต้องมีระเบียบ มีวินัยด้วย เมื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่นและเข้าใจกันดี ความ จงรักภักดีย่อมจะมีมาเองซึ่งจะก่อให้เกิดทั้งความเข้มแข็งและประสิทธิภาพแก่หน่วย กระบวนการพัฒนาอุดมการณ์ทหาร การพัฒนาอุดมการณ์ทหารจะต้องกระทําตั้งแต่บุคคลพลเรือนเข้ามาเป็นทหารและ พัฒนาต่อเนื่องไปตลอดชีวิตการรับราชการทหาร ในกลุ่มบุคคลที่เข้ามาใหม่จะต้องมีการ ปลูกฝังค่านิยมพื้นฐานการเป็นทหารเช่น ความรักชาติ ความเข้มแข็งอดทน ความมีวินัยและ การเชื่อฟังคําสั่ง เป็นต้น แล้วจึงค่อยๆพัฒนาค่านิยมทหารในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็น เรื่องที่ต้องใช้สํานึกทางจริยธรรมเข้ามาร่วมด้วย ในขั้นต้นของชีวิตทหารต้องมีการปลูกฝัง อุดมการณ์อย่างเข้มข้นและเมื่อรับราชการแล้วก็ให้มีการตอกย้ําอยู่เป็นระยะ การดําเนินการ อาจกระทําได้ทั้งศึกษาคําสอนของศาสนา ลัทธิ เชื้อชาติ กลุ่มชน การอบรมให้ภาคภูมิใจ ในอดีตการต่อสู้ของชาติ การใช้คําขวัญ การใช้ภาพยนตร์และ เพลงปลุกใจ การ ฝึก การศึกษาประวัติศาสตร์ การดูงานพิพิธภัณฑ์ การพัฒนาความเข้มแข็งของกลไกในระบบ เช่น สถาบันทางสังคม และระบบเกี ยรติศักดิ์ เป็นต้น รวมทั้งการบรรยายโดยผู้ทรงคุณวุฒิ หรืออื่นๆ ตามความริเริ่มของหน่วย กรอบแนวคิดการศึกษาอุดมการณ์ทหาร ตามที่ได้กล่าวแล้วว่าอุดมการณ์เป็นเรื่องของเปูาหมายอันสูงส่งในทางดีที่คนกลุ่ม หนึ่งเชื่อและต้องการทําให้บรรลุผล เพื่อให้กําลังพลในกองทัพบกบรรลุถึงอุดมการณ์อัน สูงสุดในการเป็นทหารที่ดีนั้น หนังสือคู่มืออุดมการณ์ทหารของกองทัพบกนี้ จึงนําเสนอ เนื้อหาที่ประกอบไปด้วยด้านต่างๆดังนี้ ๑. ความดี ซึ่งเป็นกรอบใหญ่ในเปูาหมายของอุดมการณ์ ความดีที่จําเป็นต้องใช้ วิจารณญาณหรือไตร่ตรองด้วยเหตุและผลแล้วจึงกระทํานั้นกําหนดให้เป็นเรื่องของคุณธรรม
๔
และจริ ย ธรรม ส่ ว นความดี ที่ มี ผู้ เ ขี ย นหรื อ กํ า หนดไว้ แ ล้ ว กํ า หนดให้ เ ป็ น เรื่ อ งของ จรรยาบรรณและศีลธรรม ๒. ค่านิยมทหาร เป็นทิศทางของการยึดถือหรือการปฏิบัติตามสิ่งที่ต้องการให้ เกิดขึ้น คําว่าค่านิยมในคู่มืออุดมการณ์ทหารเล่มนี้แบ่งค่านิยมออกเป็น ๓ ระดับ คือ ค่านิยม พื้นฐานของการเป็นทหาร ค่านิย มทหารขั้น กลาง และค่านิยมทหารขั้นสูง ซึ่ งระดับของ ค่ า นิ ย มดั ง กล่ า วจะค่ อ ย ๆ ทํ า ให้ ท หารยกระดั บ ความมี อุ ด มการณ์ เ พิ่ ม มากขึ้ น เข้ า ใกล้ อุดมการณ์ทหารที่ฝั่งแน่น ดังนี้คือ ค่านิยมพื้นฐานของการเป็นทหาร เช่น ความรักชาติ ความเข้มแข็ง ความ อดทนและการเชื่อฟังคําสั่ง เป็นต้น ค่านิยมทหารขั้นกลาง เช่น ความเสียสละ ความรักหมู่คณะ การทํางานเป็นทีม ความตรงไปตรงมาและการรักษาเกียรติ เป็นต้น ค่านิยมขั้นสูง เช่น ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การดํารงรักษาขวัญ ความไม่ เห็นแก่ตัว ความกล้าหาญ ความมีวินัย การดํารงความเป็นหน่วย ความจงรักภักดีและการให้ เกียรติเพื่อนร่วมอาชีพ เป็นต้น ซึ่งค่านิยมนี้ถือเป็นค่านิยมทหารของกองทัพบกที่กําลังพลทุก คนต้องได้รับการพัฒนาขึ้นมาตามลําดับ ๓. ผู้นากับการพัฒนาอุดมการณ์ทหาร ๔. อุดมการณ์ทหาร ๕. กระบวนการในการปลูกฝังอุดมการณ์ทหาร หากนําองค์ประกอบทั้ง ๕ ประการดังกล่าวมาจัดเป็นแผนผังของความสัมพันธ์ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นตามเนื้อหาในคู่มือและกระบวนการที่แสดงถึงความคืบหน้าในการปลูกฝัง อุดมการณ์ทหารในแต่ละห้วงจะสามารถสรุปได้ตามภาพสังเขปดังต่อไปนี้
๕
ความดี อุดมการณ์ ทหาร
คุณธรรม
ค่ านิยมทหารขั้นสู ง
จริยธรรม
ค่ านิยมทหารขั้นกลาง จรรยาบรรณ
ศีลธรรม
ณ ค่ านิยมพืน้ ฐานของการ เป็ นทหาร
บทที่ ๒ ค่านิยมและมาตรฐานของกาลังพลในกองทัพบก ทหาร/พลเรือนทีเ่ ข้ ามาเป็ นทหาร
ภาวะผู้นา
๖
บทที่ ๒ ค่านิยมและมาตรฐานของกองทัพบก สิ่งที่จะสร้างให้กองทัพบกมีเกียรติประวัติอันโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง คือ การที่กําลังพล ทุกนายมีค่านิยมและมาตรฐานในวิชาชีพที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไป ค่านิยมและ มาตรฐานของทหารอาชีพไม่ได้เกิดขึ้นเองหรือได้รับการยอมรับง่าย ๆ ถ้าหากไม่มีการปลูกฝัง อย่างเป็นระบบเกี่ยวกับค่านิยมและมาตรฐานของทหารอาชีพเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างท่อง แท้ถึงความหมายรวมทั้งแนวทางในการปฏิบัติของผู้บังคับบัญชาและกําลังพลทุกระดับชั้น การปฏิบัติการทางทหารเป็นเรื่องที่ต้องดําเนินการภายใต้ภาวะของความสับสนและ อันตราย ทหารจะต้องมีความอดทนทั้ งทางร่ างกายและจิตใจควบคู่กันไป ทหารมีความ รับผิดชอบและมีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายในการใช้กําลัง เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ต้องใช้ความ รุนแรงและอาจถึ งขั้ น ต้ องเสี ยสละแม้ กระทั่ งชี วิ ตของตนเองและการเสี่ ยงชี วิ ต เพื่ อเพื่ อน ร่วมงาน การที่จะปฏิบัติ ภารกิ จดังกล่ าวได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ ทหารทุ กนายจะต้ องมี ค่านิยมและมาตรฐานของการเป็นทหารอาชีพ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความแตกต่างไปจากระบบ ของสั ง คมทั่ ว ไป ค่ า นิ ย มและมาตรฐานของทหารอาชี พ นี้ มี ผ ลกระทบต่ อ แนวคิ ด และ พฤติ ก รรมของทหาร ดั ง นั้น จึ ง มี ความจํ าเป็ น ต้อ งทํ า ความเข้า ใจต่อ ทหารว่ า เหตุใ ด แต่ ค่านิยมและมาตรฐานของทหารอาชีพ จึงเป็นสิ่งที่มีความสําคัญยิ่งต่อการเป็นทหารทั้งใน ระหว่างเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่และนอกเวลาทีป่ ฏิบัติหน้าทีร่ าชการ ค่านิ ยมและมาตรฐานของทหารอาชี พ ไม่ใช่ เกิ ดมาจากความต้ องการในสนามรบ เท่านั้น แต่ค่านิยมยังเป็นแนวทางพื้นฐานในการสร้างขวัญและกําลังใจที่เป็นเรื่องของนิสัย และจิตสํานึกในการพัฒนาตนไปสูก่ ารมีพฤติกรรมที่เหมาะสมของทหาร มาตรฐาน หมายถึง ตัวชี้วัดที่กําหนดทิศทางของการประพฤติปฏิ บัติ ซึ่งส่งผลอย่างถาวรต่อสภาพของขวั ญ กําลังใจและหลักพื้นฐานทางคุณธรรมของทหาร ดังนั้นจึงมีความจําเป็นที่จะต้องอธิบาย ความหมายเหล่านี้ภายใต้บริบทที่กว้างขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อทหาร การ สร้างค่านิยมและมาตรฐานของทหารที่ดีนั้นจะต้องได้รับความร่วมมื อจากผู้บังคับบัญชาทุก ระดั บ ชั้น ในการเป็ น ตัว อย่ างที่ ดี ทั้ง ในระหว่ า งการปฏิ บัติ ห น้ า ที่แ ละไม่ไ ด้ ป ฏิ บัติ ห น้ าที่ ค่านิยมและมาตรฐานของกองทัพบก ที่ผู้บังคับบัญชาและกําลังพลทุกระดับชั้นควรยึดถือ เป็นหลักปฏิบัติ สามารถอธิบายตามหัวข้อได้ดังต่อไปนี้ ค่านิยมของกองทัพบก ๑. ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ หน้าที่ของทหารนั้ นมีทั้งในยามปกติและในยามสงครามและถึงว่าจะเป็นงานในยาม ปกติก็ตาม งานในหน้าที่ของทหารนั้นเป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามทุ่มเทและเสียสละ ส่วนในยามสงครามนั้นงานของทหารจะต้องเผชิญกับการบาดเจ็บและการได้รับอันตราย จนถึงเสียชีวิตได้ แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบต่อความผาสุกของประชาชนและความ
๗
ปลอดภัยของประเทศชาติ ตามที่ประชาชนมอบความไว้วางใจว่าทหารคือรั้วของชาติ ทหาร จึงต้องมีจิตสํานึกในหน้าที่อยู่เสมอโดยตั้งแต่ในภาวะปกติต้องตระหนักว่าตนเองมีพันธะหน้าที่ ต่อประเทศชาติอย่างไร ต้องรู้จักหมัน่ เพียร ฝึกฝน เรียนรู้งานในหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยไม่ต้อง คอยให้มีใครบอกกล่าวอยู่ตลอดเวลา การฝึกของทหารนั้นเป็นภาระที่หนักไม่ต่างไปจากการ ปฏิบัติการในยามสงครามจริง ๆ ทหารที่มีวินัยและความสํานึกในหน้าที่เท่านั้นจึงจะบังคับ ตนเองให้ผ่านการฝึกฝนจนพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไหร่ เช่นเดียวกันในภาวะของการรบ ความสํานึกในหน้าที่ของทหารจะต้องสูงยิ่งเพราะ การละเลยต่อหน้าที่บางอย่างแม้แต่เพียงนิดเดียวก็อาจทําให้ตัวเอง เพื่อนร่วมงานและหน่วย สูญเสียและอาจถึงขั้นพ่ายแพ้ต่อการรบซึ่ งอาจกระทบถึงความเป็นความตายของประเทศได้ หรือแม้ว่าจะถูกตัดขาดอยู่หลังแนวข้าศึกหรือถูกจับเป็นเชลยศึกก็ตามทหารก็ต้องสํานึกตัว เสมอว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร การสํานึกในหน้าที่ คือ สิ่งชี้วัดคุณภาพของทหารใน ภาวะที่ทหารต้องปฏิบัติงานภายใต้ความกดดันอันตรายและห่างไกลจากครอบครัวหรือคนที่ ตนรักนั้น ทหารก็ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปด้วยจิตสํานึกที่ว่า หน้าที่เหนือสิ่งอื่นใดดังคํา ขวัญที่ว่า “ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่” ทหารทุกคนต้องถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า วันนี้เราทําหน้าที่ได้สมบูรณ์หรือยัง ๒. การดารงรักษาขวัญ ผลของชั ย ชนะและความพ่ า ยแพ้ จ ากการรบเป็ น เรื่ อ งที่ มี ค วามสํ า คั ญ ยิ่ ง ต่ อ ประเทศชาติ ประสิทธิภาพของการรบจะเป็นมาตรฐานในการตัดสินคุณภาพและอํานาจ กําลังรบของกองทัพ อํานาจกําลังรบส่วนหนึ่งนั้นได้มาจากอํานาจกําลังรบที่ไม่มีตัวตนซึ่ง ประกอบด้วยขวัญและกําลังใจ อํานาจกําลังรบที่ไม่มีตัวตนนี้สามารถสังเกตได้จากความฮึก เหิม รุกรบของทหารในขณะทําการรบและขณะอยู่ภายใต้สภาวการณ์ที่ได้รับความกดดัน อย่างหนักจากข้าศึก ขวัญและกําลังใจเกิดจากปัจจัยหลายประการ อาทิเช่น ความมั่นใจในยุทโธปกรณ์ การได้รับการฝึกที่ดีและการปกครองบังคับบัญชาที่ถูกต้องแต่สิ่งที่สําคัญที่สุดก็ คือ ความ มั่นใจ ซึ่งกันและกันระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาและในหมู่ทหารด้วยกันเอง ดังนั้นจึงกล่าว ได้ว่าความมั่นใจเป็นผลผลิต มาจากความเป็นผู้นําและความรู้สึกรักหมู่คณะ การมีสภาพขวัญและกําลังใจอย่างดีเยี่ยมนั้นไม่อาจสร้างขึ้นได้ ภายในเวลาอันจํากัด แต่เป็น เรื่องที่จะต้องหล่อหลอม ความผูกพันระหว่างความไว้วางใจในความเป็นทหารอาชีพและตัว ทหารเข้าด้วยกัน อํานาจกําลังรบนี้มีความสําคัญต่อสภาพขวัญ กําลังใจและความเป็นน้ําหนึ่ง ใจเดียวกันของกําลังพลภายในกองทัพ ความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันเป็นพื้นฐานของการ ทํางานเป็นหมู่คณะและความสัมพันธ์ระหว่างกันซึ่ง สิ่งที่จะส่งเสริมและผลักดันให้ขวัญและ กําลังใจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั้น ได้แก่ ความเป็นผู้นํา การฝึก การจัดการกําลังพล โดย ผ่านตามสายการบังคับบัญชา
๘
๓. ความไม่เห็นแก่ตัว ทหารในกองทัพบกได้รับการพัฒนาและฝึกมาเพื่อใช้เตรียมปฏิบัติการในสนามรบ ไม่ใช่เพื่อการปฏิบัติงานที่สะดวกสบายแต่เฉพาะในที่ตั้งปกติ เท่านั้น ในระหว่างรับราชการ ในกองทัพ ทหารทุกนายจะต้องยอมรับต่อข้อตกลงที่ว่า จะสามารถไปปฏิบัติ ภารกิจในที่ใด และเมื่ อ ใดก็ ไ ด้ ต ามที่ ก องทั พ ต้ อ งการ ไม่ ว่ า จะยากลํ า บากหรื อ อั น ตรายเพี ย งใดก็ ต าม ข้ อ ตกลงนี้ ไ ม่ อ าจปฏิ เสธได้ ว่ า เป็ น ข้ อ ตกลงที่ จํ า กั ด ต่ อ เสรี ภ าพส่ ว นบุ ค คลของทหาร ซึ่ ง จําเป็นต้องอาศัยความเสียสละส่วนบุคคลอย่างสูง และที่สําคัญที่สุด อาจถึงต้องเสียสละชีวิต ของตนเอง ความไม่เห็นแก่ตัวนี้จะเห็นได้จากการกล่าวคําปฏิญาณของทหารในโอกาสต่าง ๆ เช่น ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของทหาร เป็นต้น คํากล่าวปฏิญาณของทหารนี้ถือเป็น หลักฐานพยานต่อความเสียสละประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อกองทัพและประเทศชาติ ๔. ความกล้าหาญ ทหารทุกนายต้องมีความพร้อมต่อการปฏิบัติการรบ ทหารจะต้องมีความอดทนและ อดกลั้น ในขณะเผชิญกับภัยอันตราย นอกจากนี้ ทหารยังต้องประสบกับการบาดเจ็บและ เสียชีวิตของเพื่อนร่วมงาน แม้กระนั้นก็ตามทหารก็จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไป การที่ ทหารจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปนี้ถือเป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญทางกาย และ นอกจากความกล้าหาญทางกายนี้แล้ว ทหารทุกนายจําเป็นต้องแสดงออกถึงความกล้าหาญ ทางใจด้วย ความกล้าหาญทางใจมีความสําคัญเท่ากับความกล้าหาญทางกาย ความกล้า หาญทางใจหมายถึงความกล้าหาญหรือยืนหยัดที่จะกระทําในสิ่งที่ถูกต้องแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ หรือ มีความเสี่ยงต่ออันตรายทั้งปวง ความกล้าหาญทางใจยังหมายถึงการยืนหยัดต่อการรักษาไว้ซึ่ง มาตรฐานอั น สู ง สุ ด ของความสํ า นึ ก ในอั น ที่ จ ะรั ก ษาไว้ ซึ่ ง ความประพฤติ ที่เหมาะสมอยู่ ตลอดเวลา หากทหารทุกนายมี ความกล้าหาญทั้งทางกายและทางใจแล้วก็จะเป็นบ่อเกิด แห่งอํานาจกําลังรบและเป็นปัจจัยแห่งความสําเร็จในการปฏิบัติการรบทุกเมื่อ ๕. ความมีวินัย เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทหารทุกนายจะต้องมีวินัยและ ปฏิบัติตามคําสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัด วิ นัยเป็นเสมือนเครื่องมือในการดํารงไว้ซึ่ง ความมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้แล้ววินัยยังเป็นการบ่มเพาะเพื่อควบคุม และสร้างความมั่นใจให้กับทหารอีกด้วย การมีวินัยที่ดีนั้นทหารทุกนายจะต้องเข้าใจต่อกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่งและแบบธรรมเนียมทหารให้ถ่องแท้สมกับคํากล่าวที่ว่าวินัยคือหัวใจ ของทหาร
๙
๖. การดารงความเป็นหน่วย เพื่อให้การปฏิบัติงานของหน่วยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทหารทุกนายจะต้องฝึก การทํางานเป็นทีมเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งและความทรหดอดทนในการทํางานเป็นหน่วย ในการที่จ ะทํ าให้ ห น่ ว ยเกิ ด การดํ า รงในความเป็ น หน่ ว ยนี้ ทหารทุ ก นายจะต้ อ งมี ค วาม ไว้วางใจและมีความซื่อสัตย์ต่อกัน เพราะความไว้วางใจและความซื่อสัตย์ ต่อกันเป็นพื้นฐาน ของการนําไปสู่ความเป็นหน่วย การขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะก่อให้เกิดความหย่อนประสิทธิภาพ และความเสียหายแก่หน่ วย ดังนั้นการดํารงความเป็นหน่วยจึงมีความสําคัญต่อการเป็น ทหารอย่างยิ่ง ๗. ความจงรักภักดี ความจงรักภักดีเป็นการหล่อหลอมกําลังพลทุกชั้นยศเข้าหากัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้อง ดําเนินการในทุกระดับ ความจงรักภักดีนี้เป็นการสร้างให้ทหารมีความรู้สึกร่วมในความเป็น หน่วย หน่วยจะต้องปลูกฝังและสร้างเสริมความจงรักภักดี ความผูกพันและการสนับสนุน ซึ่งกันและกันของทหารทุกนายภายในหน่วยอย่างต่อเนื่อง ความจงรักภักดีนั้น ไม่ใช่จะมี เฉพาะระหว่างผู้ บั งคั บ บั ญชากั บ ผู้ใ ต้ บั งคั บ บั ญ ชาเท่ านั้ น ประเทศชาติ แ ละกองทั พ บกก็ สามารถแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อกําลังพลทุกระดับชั้นได้เช่นเดียวกัน เช่น การทําให้ ทหารและครอบครัวมีความรู้สึกมั่นใจว่า จะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมจากกองทัพบก และประเทศชาติ เป็ น ต้ น ความจงรั ก ภั ก ดี ข องกองทั พ บกที่ มี ต่ อ กํ า ลั ง พลนั้ น สามารถ ตรวจสอบได้จากระเบียบและแบบธรรมเนียมทหาร ซึ่งจะมีการระบุถึงความยุติธรรม สิทธิ กําลัง พลและการสนับ สนุนดู แลต่อ การดําเนิ นชีวิต ของกําลัง พลทุก นายทั้งในระหว่ างรับ ราชการและเมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ผู้บังคับบัญชาต้องมีความจงรักภักดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยการแสดงออกถึงความ เอาใจใส่ อ ย่ างจริง ใจต่ อ สิ ทธิ แ ละผลประโยชน์ ข องผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชา มี ก ารแก้ ไ ขปั ญ หา ข้อขัดข้องต่างๆและ การพัฒนาการฝึกเพื่อ เพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ใต้บั งคับบัญชาและ หน่ ว ยได้ มี ค วามเข้ ม แข็ ง มากยิ่ ง ขึ้ น และในขณะเดี ย วกั น ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชาจะต้ อ งมี ค วาม จงรักภักดีต่อผู้บังคับบัญชาและหน่วยของตนเอง ความจงรักภักดีต่อผู้บังคับบัญชาไม่ได้ หมายถึงการปฏิบัติในสิ่งที่ผิดหรือไม่สมควร เพราะในเรื่องนี้จะมีผลต่อความจงรักภักดี ในทางที่ไม่เหมาะสมและสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้ ความจงรักภักดี ที่พึงประสงค์ในกรณีนี้ หมายถึง การแสดงออกตามแบบธรรมเนียมทหาร ความเสียสละส่วนตัว ความกล้าหาญ ความเป็นผู้ชํานาญการ ความสุภาพเรียบร้อยและความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน คุณภาพของ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่จะต้องมีความตระหนักในการกระทําทั้งในระหว่างเวลาปฏิบัติหน้าที่ และนอกเวลาปฏิบัติหน้าที่ราชการ
๑๐
๘. การให้เกียรติเพื่อนร่วมอาชีพ การให้เกียรติเพื่อนร่วมอาชีพเป็นสัญลักษณ์ของกองทัพบก การให้เกียรติเพื่อนร่วม อาชีพจะต้องมีก่อนเรื่องอื่น ๆ การให้เกียรติเพื่อนร่วมอาชีพ หมายถึง การไม่มีอคติและความ ลําเอียงต่อกันและกัน ซึ่งมีความหมายคล้าย ๆ กับความจงรักภักดี การให้เกียรติเพื่อนร่วม อาชีพเป็นเรื่องที่จะต้องปฏิบัติในทุกระดับชั้นเพื่อให้กําลังพลทุกระดับได้รับการปฏิบัติและมี โอกาสที่เท่าเทียมกัน การให้เกียรติเพื่อนร่วมอาชีพยังหมายรวมถึงการปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งในระดับต่ างๆไม่ว่าจะเป็น ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ หรือแม้แต่เชลยศึกก็ตาม มาตรฐานของกองทัพบก ค่านิยมดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นเป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนต่อการมีคุณธรรมของกําลังพล กองทัพบกและยังส่งผลโดยตรงต่อความสําเร็จในการปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อ เป็นการสนับสนุนต่อค่านิยมดังกล่าว ทหารทุกนายจําเป็นจะต้องดํารงรักษาและสร้างมาตรฐาน ของตนให้สูงที่สุดในการเป็นทหารอาชีพ มาตรฐานของกองทัพบกถูกกําหนดขึ้นมาเพื่อเป็น หลักประกันต่อความประพฤติของทหารทุกคนว่าได้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ภายใต้กฎหมายอย่าง เหมาะสมและเป็นทหารอาชีพอย่างแท้จริง ผู้บังคับบัญชาต้องเข้าใจต่อบริบทของการเป็นทหาร อาชีพ และสามารถสื่อความเข้าใจเหล่านั้นออกมาเป็นรายละเอียดที่เหมาะสมได้ ทหารทุกนาย จะต้องหลีกเลี่ยงความประพฤติที่ไม่เหมาะสมที่อาจบั่นทอนขีดความสามารถของการเป็นทหาร อาชีพ ซึ่งมาตรฐานของกองทัพบกที่สําคัญมีดังนี้ ๑. การเคารพกฎหมาย ทหารทุกนายจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไม่ว่าจะรับราชการ ณ ที่ใดก็ตามและมีหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติตามและสนับสนุน การใช้กฎหมายดังกล่าวเช่นเดียวกันกับประชาชนทั่วไป การกระทําความผิดต่อกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการกระทําความผิดต่อกฎหมายทหารเช่นกัน และเมื่อต้องเข้าสู่สงคราม ทหารอาจจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศด้วย เช่น กฎหมายในเรื่องของความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ กฎแห่งการปะทะ หลักสิทธิมนุษยชนและ กฎหมายที่เกี่ยวกับจารีตประเพณีของท้องถิ่น บางอย่าง เป็นต้น เมื่อนํากฎหมายเหล่านี้มา รวมกันแล้ว กฎหมายเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานในการสร้างมาตรฐานให้กับทหารในการเป็น พลเมืองดีเช่นเดียวกับประชาชนโดยทั่วไป ทหารทุกนายมีสิทธิที่จะได้พักอาศัยและทํางานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การ เลือกปฏิบัติ จะส่งผลให้ทหารได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและเป็นเหตุให้เกิดความ แตกแยกในกองทัพซึ่งเป็นเรื่องที่กองทัพจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น เพราะจะเป็นการฝุาฝืนกฎหมาย และบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการแบ่งชนชั้นหรือเลือกปฏิบัติ ซึ่งการเลือกปฏิบัติ เนื่องจาก เพศ เผ่าพันธุ์ ศาสนา หรือชาติกําเนิด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามจะเป็นการ ทําลายความเชื่อถือและความเชื่อมั่นของทหารโดยเฉพาะ อย่างยิ่งต่อผู้บังคับบัญชาได้
๑๑
การใช้กําลังกายหรือการใช้อํานาจเพื่อสร้างความหวาดกลัวและข่มขู่ต่อผู้อื่นหรือการ ลงโทษโดยไม่ถูกต้องตามแบบธรรมเนี ยมทหาร เป็นเรื่องที่ ไม่อาจยอมรับได้และยังเป็ นการ ทําลายความเชื่อถือและศรัทธาที่มีต่อผู้บังคับบัญชา อีกทั้งยังเป็นการกระทําที่ผิดต่อกฎหมาย ในเรื่องนี้จึงเป็นความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องปูองกันการข่มเหงทางร่างกายและ จิตใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ๒. ความประพฤติที่เหมาะสม ความประพฤติที่เหมาะสมจะเกื้อกูลต่อความสามัคคีภายในหน่วยและรักษาไว้ซึ่ง ความเชื่อถือและความจงรักภักดีระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา โดยปกติแล้ว มาตรฐาน ความประพฤติในสังคมทหารนั้นจะมีมากกว่าสังคมทั่วไป ซึ่งจะต้องมีการ ยึดถือปฏิบัติทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการโดยเท่าเทียมกัน ความประพฤติที่ไม่เหมาะสม สามารถทําลายความน่าเชื่อถือและความสามัคคี ภายในหน่วยและอาจนําไปสู่ การหย่อน ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้ บางครั้งอาจจะยากในการกําหนดรูปแบบของการกระทํา ที่จะเป็นเครื่องตัดสินได้ว่าความประพฤติใดที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ความประพฤติที่ไม่ เหมาะสมอาจพิจารณาได้จากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นและสภาพแวดล้อมในขณะนั้นเป็นกรณี ๆ ไป ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของทหารยังรวมถึงการละเมิดต่อตําแหน่งหน้าที่และชั้นยศ หรือแม้กระทั่งการเบียดบังต่อสิทธิของผู้อื่น ๓. ความเป็นทหารอาชีพ แน่นอนว่าทหารทุกนายต้องทําหน้าที่ต่อวิชาชีพของตนเองให้ เกิดมาตรฐานสูงสุด เท่าที่จะทําได้เพื่อประโยชน์และความก้าวหน้าในการรับราชการ และเป็นการรักษาไว้ซึ่ง ประสิ ท ธิ ภ าพของการปฏิ บั ติ ง านรวมทั้ ง เพื่ อ ชื่ อ เสี ย งของกองทั พ บกซึ่ ง ทหารอาชี พ พึ ง หลีกเลี่ยงในสิ่งต่อไปนี้ด้วยคือ ๓.๑ ไม่เปิดเผยข้อมูลของทางราชการ ทหารทุกนายในกองทัพบกจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของทางราชการหรือ แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะหรือเปิดเผยประสบการณ์ของตนเองต่อสื่อต่าง ๆ เว้นแต่จะ ได้รับอนุมัติจากผู้มีอํานาจตามสายการบังคับบัญชาหรือตามระเบียบที่ให้อํานาจไว้เพราะการ กระทําดังกล่าวนอกจากจะเป็นการขัดต่อกฎระเบียบแล้วยังเป็นการแสดงออกถึงความไม่ เหมาะสมต่ อ การเป็ น ทหารอาชี พ รวมทั้ ง อาจทํ า ให้ เ กิ ด ความเสี ย หายต่ อ ชื่ อ เสี ย งและ ผลประโยชน์ของหน่วยและกองทัพบกได้ ๓.๒ ไม่เสพของมึนเมาเกินขนาด การเสพของมึนเมาจนเกินขนาดเป็นเรื่องเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง เนื่องจาก จะทําให้ขาดวิจารณญาณ ทําลายสุขภาพ ทําลายภาพพจน์และยังเป็นสาเหตุหลักของการขาด วินัย ความมึนเมาจะทําให้เสียการควบคุมตนเอง อาจนําไปสู่การก่ออาชญากรรมรุนแรง ทหาร ที่เสพของมึนเมาจนเกินขนาดจะไม่ได้รับความเชื่อถือ การเสพของมึนเมาจนเกินขนาดและไม่
๑๒
สามารถควบคุมตนเองได้จะต้องได้รับการลงโทษทางวินัย การมึนเมาเป็นเรื่องที่ขัดต่อวินัย ทหารอย่างร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาต้องมั่นใจว่าภายในบริเวณหน่วยของตนจะต้องไม่มีการ เสพสุราจนเกินขนาดและผู้บังคับบัญชาจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในการลด ละ เลิก การเสพของมึนเมา ซึ่งถ้าหากไม่สามารถทําได้ก็จะกลายเป็นปัญหาในเรื่องของวินัย ขวัญและกําลังใจรวมทั้งขีดความสามารถในการปฏิบัติงานอันจะมีผลต่ออนาคตในการรับ ราชการต่อไป ๓.๓ ไม่เสพยาเสพติด การเสพยาเสพติ ด นอกจากจะผิ ด กฎหมายแล้ ว ยั ง เป็ น ผลทํ า ให้ ห ย่ อ น ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ผู้เสพยาเสพติดจะขาดความเชื่อถือต่อตนเองและจากเพื่อน ร่วมงาน เนื่องจากการเสพยาเสพติด จะก่อให้เกิดการขาดวิจารณญาณ เป็นการทําลาย สุข ภาพและภาพพจน์ ของตนเอง แม้ก ารเสพยาเสพติ ด จะทํ าแค่ ในระยะเวลาสั้น ๆ ก็ ตามแต่ก็อาจทําให้หมดความไว้วางใจและความเชื่อถือจากคนอื่นได้ ๓.๔ การมีวินัยทางการเงิน ทหารทุ กนายในกองทั พจะต้อ งมี วินั ยในด้า นการเงิน การที่กํ าลัง พลขาด ความรับผิดชอบและขาดวินัยในการใช้จ่ายจนเกิดภาวะหนี้สินเป็นการแสดงออกถึงการขาด วิจารณญาณและวินัยของกําลังพล ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่กองทัพจะต้อง เข้ามาเกี่ยวข้องเนื่องจากว่าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการและระเบียบวินัยของ หน่วย ค่านิยมและมาตรฐานของกองทัพบกตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นมีความจําเป็นอย่างยิ่ง ที่กําลังพลทุกระดับชั้นจะต้องยึดถือเป็นหลักในการปฏิบัติงาน ผู้บังคับบัญชาทุกระดับมี หน้าที่ที่จะต้องสร้างความเข้าใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตนในการดํารงรักษาไว้ซึ่งค่านิยม และมาตรฐานของกองทัพบก เพราะค่านิยมและมาตรฐานเหล่านี้มีความสําคัญต่อการผดุง ไว้ซึ่งระบบคุณธรรมและประสิทธิภาพในการปฏิบัติของกองทัพบกโดยรวม
๑๓
บทที่ ๓ อุดมการณ์ทหารกองทัพบก กองทั พบกได้กํ าหนดคํา ขวั ญ อั นมี ลัก ษณะเป็น อุด มการณ์ก องทัพ บกเพื่ อให้ ทุก หน่วยปฏิบัติ ยึดมั่นไปในแนวทางเดียวกัน คือ “เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และ ประชาชน” สําหรับกําลังพลทุกระดับชั้นนอกจากจะต้องยึดถืออุดมการณ์ของชาติไทยและ อุดมการณ์ทหารของกองทัพบกแล้ว ยังจําเป็นต้องยึดมั่นต่อคําสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัย เฉลิมพลและควรคํานึงให้จงหนักต่อพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ พระราชทานยศทหาร อั น มี ข้ อ ความที่ เ ป็ น พระบรมราโชวาทปรากฏไว้ ทุ ก ฉบั บ ความว่ า “ให้ ฟั ง ค าสั่ ง ผู้บังคับบัญชาเหนือตนและรักษาวินัยโดยเคร่งครัด จงเว้นการควรเว้น หมั่นประพฤติ การควรประพฤติให้ต้องตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและแบบธรรมเนียมจงทุกประการ ” ซึ่งหากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วจะเห็นได้ว่าคําสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลและพระบรม ราโชวาทในประกาศพระบรมราชโองการยศทหารนั้น ล้วนแต่มีความหมายในการสร้างเสริม อุดมการณ์ทหารให้กับกําลังพลทุกระดับชั้นของกองทัพบก ในการนี้หากจะได้พิจารณาคํานิยามศัพท์ที่กล่าวมาแล้วมาประกอบความหมายของ อุ ด มการณ์ ที่ พึ ง ยึ ด ถื อ ข้ า งต้ น ก็ จ ะทํ า ให้ อุ ด มการณ์ ท หารกองทั พ บก มี นั ย สํ า คั ญ ว่ า หมายถึ ง “การดารงไว้ซึ่ง ค่านิยมและมาตรฐานแห่งความดีงามของทหารซึ่ง หากได้ ประพฤติและปฏิบัติแล้วจะทาให้เป็นทหารที่ดีที่สุดของกองทัพบก มีความสมัครสมาน สามัคคี สามารถอุทิศตนเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชนได้อย่างแท้จริง” ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้ว จะเห็นได้ว่าระดับที่ยอมรับได้ ว่าเป็นมาตรฐานแห่งความดีงาม หรืออุดมการณ์ดังกล่าว จําเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สําคัญดังนี้ ๑. ความจงรักภักดี ๒.ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ๓.การยึดมั่นในเกียรติยศและศักดิ์ศรีของทหาร ๔.ความเสียสละ ดั ง นั้ น ถ้ าจะกล่ าวโดยสรุ ป เพื่ อ การจดจํ า อย่ า งง่ า ย ๆ แล้ ว “อุ ด มการณ์ ท หาร กองทั พ บกก็ คื อ การเป็ น ทหารที่ ดี ที่ สุ ด ในการอุ ทิ ศ ตนเพื่ อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชน ด้วยการแสดงออกถึงความจงรักภักดี มีความยึดมั่นใน เกียรติยศและศักดิ์ศรีของทหาร มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และความเสียสละ” ซึ่ง อุดมการณ์ทหารกองทัพบกในแต่ละด้านมีรายละเอียดดังนี้
๑๔
อุดมการณ์ในด้านความจงรักภักดี อุดมการณ์ในด้านความจงรักภักดี หมายถึง ความจงรักภักดีต่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และผู้บังคับบัญชา มีรายละเอียดแต่ละด้านดังนี้ ๑. ความจงรักภักดีต่อชาติ มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๑.๑ ทางกาย โดย ๑.๑.๑ ปกปูองและส่งเสริมเกียรติภูมิของชาติไทยในทุกโอกาส ๑.๑.๒ ปกปูองและรักษาเอกราช อธิปไตย หรือบูรณภาพแห่งดินแดน ของประเทศไทยยิ่งกว่าชีวิต ๑.๑.๓ แต่งเครื่องแบบหรือแต่งกายให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียม วัฒนธรรมไทยหรือประเพณีท้องถิ่น ๑.๑.๔ แสดงความเคารพธงชาติ ธงชัยเฉลิมพลหรือประดับธงชาติใน สถานที่และเวลาเหมาะสม ๑.๑.๕ ปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมชาติด้วยความเสมอภาค โดยไม่คํานึงถึงเชื้อ ชาติ ศาสนา ฐานะหรือถิ่นกําเนิด ๑.๒ ทางวาจา โดย ๑.๒.๑ พูดและใช้ภาษาไทยให้ถู กต้องตามอั กขรวิธี หลีกเลี่ยงการใช้ ภาษา ต่างประเทศปะปนขณะที่พูดโดยไม่จําเป็น ๑.๒.๒ สร้างเสริมความเข้าใจเรื่องชาติบ้านเมืองในแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อ ไม่ให้เกิดความแตกแยกภายในชาติ ๑.๒.๓ ไม่แพร่งพรายความลับของทางราชการ ๑.๒.๔ ช่วยสร้างเสริมให้เกิดความเข้าใจเรื่องของชาติบ้านเมืองในทางที่ ถูกต้อง ๑.๓ ทางจิตใจ โดย ๑.๓.๑ มีความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย ๑.๓.๒ มีความสํานึกต่อหน้าที่ในฐานะพลเมืองดี ๑.๓.๓ มีความสํานึกและทดแทนบุญคุณของชาติ ๒. ความจงรักภักดีต่อศาสนา มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๒.๑ ทางกาย โดย ๒.๑.๑ ปฏิบัติให้เคร่งครัดตามหลักในศาสนาของตน ๒.๑.๒ ไม่แสดงอาการดูหมิ่นเหยียดหยามหรือเบียดเบียนศาสนาอื่น ๒.๑.๓ ให้ความอุปถัมภ์แก่ศาสนาตามโอกาสอันควร
๑๕
๒.๒ ทางวาจา โดย ๒.๒.๑ อบรม สั่งสอน ตักเตือนคนในปกครองให้ยึดมั่นในหลักศาสนา ๒.๒.๒ ไม่กล่าววาจาล้อเลียน ถากถางบุคคลใด ๆในเรื่องศาสนาอื่น ๒.๓ ทางจิตใจ โดย ๒.๓.๑ ยึดมั่นในหลักศาสนาของตนอย่างถูกต้อง ๒.๓.๒ ชักจูงให้คนในปกครองพึงระลึกเสมอ ศาสนาเป็นที่พึ่งทางจิตใจ ของตนเองและสังคม ๓. ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๓.๑ ทางกาย โดย ๓.๑.๑ เมื่อจะเข้าเฝูา ฯ ต้องแต่งเครื่องแบบหรือแต่งกายให้ถูกต้องและ เรียบร้อย ๓.๑.๒ หมั่นฝึกซ้อมการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามประเพณีของ ข้าราชการบริพารในราชสํานักเมื่อเข้าเฝูา ๓.๑.๓ ยืน เดิน ลุก นั่ง ด้วยอาการสํารวม ในทุกโอกาสที่เข้าเฝูา ฯ ต้องไปถึงสถานที่ก่อนหมายกําหนดการและจะกลับได้ต่อเมื่อเสด็จฯ ขึ้นหรือ เสด็จฯ กลับแล้วเท่านั้น ๓.๑.๔ ถวายความเคารพ ถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติใน ทุกโอกาส ๓.๒ ทางวาจา โดย ๓.๒.๑ ใช้ราชาศัพท์ให้ถูกต้อง ๓.๒.๒ ไม่ควรนําความอันเป็นพระราชกระแสไปเอ่ยอ้างกับบุคคลอื่น ในทางบิดเบือนมิบังควร ๓.๒.๓ ไม่นํากิจกรรมในพระราชสํานักหรือในพระราชฐานไปเปิดเผย ๓.๓ ทางจิตใจ โดย ๓.๓.๑ ยึดมั่นและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ๓.๓.๒ พร้อมที่จะสนองพระบรมราโชบายหรือพระราชดําริ ๔. ความจงรักภักดีต่อผู้บังคับบัญชา มีคุณลักษณะและแสดงออก ดังนี้ ๔.๑ ทางกาย โดย ๔.๑.๑ปฏิบัติตามคําสั่งที่ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมทหารอย่าง เคร่งครัด ๔.๑.๒ ประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างที่ดีของผู้บังคับบัญชา
๑๖
๔.๑.๓ สนองตอบต่อคําสั่งหรือนโยบายของผู้บังคับบัญชาโดยไม่ลังเล ๔.๒ ทางวาจา โดย ๔.๒.๑ กล่าวยกย่องสิ่งที่ดีงามของผู้บังคับบัญชาในโอกาสอันควร ๔.๒.๒ งดเว้ นหรื อหลี กเลี่ ยงการอยู่ ในวงสนทนาซึ่ งกล่ าวพาดพิ งถึ ง ผู้บังคับบัญชาในทางเสื่อมเสีย ๔.๒.๓ ไม่ควรนําผู้บังคับบัญชาไม่กล่าวอ้างโดยที่ท่านมิได้สั่งการ ๔.๓ ทางจิตใจ โดย ๔.๓.๑ เชื่อฟังผู้บังคับบัญชาเหนือตนโดยเคร่งครัด ๔.๓.๒ มีความเคารพยกย่องและให้เกียรติแก่ผู้บังคับบัญชาทั้งต่อหน้าและ ลับหลัง อุดมการณ์ในด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ อุดมการณ์ในด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ หมายถึง ความรับผิดชอบต่อ ภารกิจ ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อผู้ใต้บังคบบัญชาและต่อประชาชน ๑. ความรับผิดชอบต่อภารกิจ มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๑.๑ ทางกาย โดย ๑.๑.๑ ใช้ความพยายามทุกวิถีทางในการปฏิบัติให้สําเร็จภารกิจ ตามที่ได้รับมอบหมาย ๑.๑.๒ ทํางานด้วยความเสียสละเวลาและความสุขส่วนตัว โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ๑.๑.๓ ปฏิบัติภารกิจด้วยการใช้สติปัญญา ความรู้ ความสามารถและความกล้าหาญ ๑.๒ ทางวาจา โดย ๑.๒.๑ พูดจาเร่งเร้าให้เกิดความร่วมมือ ร่วมใจสร้างจิตสํานึก แก่บุคคลอื่น ๑.๒.๒ หลีกเลี่ยงการกล่าวแสดงความท้อแท้ สิ้นหวัง ๑.๓ ทางจิตใจ โดย ๑.๓.๑ มีความภูมิใจต่อภาระหน้าที่ตามตําแหน่งของตน ๑.๓.๒ มีความหนักแน่น มุ่งมั่นโดยไม่ท้อถอย ๑.๓.๓ มี ค วามริ เ ริ่ ม ในการเลื อ กวิ ธี ก ารปฏิ บั ติ ด้ ว ยความ รอบคอบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
๑๗
๒. ความรับผิดชอบต่อเพื่อร่วมงาน มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๒.๑ ทางกาย โดย ๒.๑.๑ ให้ความร่วมมือตามกําลังความสามารถที่จะทําได้ ๒.๑.๒ ให้ความช่วยเหลือตามขีดความสามารถในคราวที่เพื่อนร่วมงาน มีความจําเป็น ๒.๒ ทางวาจา โดย ๒.๒.๑ กล่าวถึงแต่สิ่งที่ดีงามของผู้อื่น ๒.๒.๒ ไม่กล่าววาจายกตนข่มผู้อื่น ๒.๓ ทางจิตใจ โดย ๒.๓.๑ พิ นิ จ พิ เ คราะห์ ใ ห้ เ ห็ น คุ ณ ค่ า หรื อ ความดี เพื่ อ จะได้ เ ห็ น ความสําคัญที่มีอยู่ในตัวของเพื่อนร่วมงาน ๒.๓.๒ ไม่โอหัง เย่อหยิ่ง อวดดีต่อผู้อื่น ๓. ความรับผิดชอบต่อผู้ใต้บังคับบัญชา มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๓.๑ ทางกาย โดย ๓.๑.๑ ประพฤติปฏิบัตติ นให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาในทุก โอกาส ๓.๑.๒ ร่วมทุกข์ร่วมสุขหรือร่วมเป็นร่วมตายในเวลาวิกฤติโดยไม่ทอดทิ้ง กัน ๓.๑.๓ สงเคราะห์ดูแลสวัสดิการอย่างถูกต้องเหมาะสม ๓.๑.๔ มีเมตตาธรรมในการปกครองและให้ความเป็นธรรมตามแบบ ธรรมเนียมของทหาร ๓.๒ ทางวาจา โดย ๓.๒.๑ กล่าวยกย่องชมเชยเมื่อกระทําดีและอบรมตักเตือนด้วยความ ปรารถนาดีเมื่อกระทําผิด หลีกเลี่ยงการตําหนิหรือดุด่าต่อหน้าผู้อื่น ๓.๒.๒ ตระหนักว่า วาจาหรือคําพูดเป็นสื่อที่มีผลต่อผู้ใต้บังคับบัญชา มากที่สุด ๓.๓ ทางจิตใจ โดย ๓.๓.๑ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาในโอกาสอันควร ๓.๓.๒ ให้ความเมตตาเสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
๑๘
๔. ความรับผิดชอบต่อประชาชน มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๔.๑ ทางกาย โดย ๔.๑.๑ ร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับส่วนราชการพลเรือน องค์กรภาคเอกชนและประชาชน ๔.๑.๒ ช่วยเหลือและมีส่วนร่วมในการแก้ไขในยามที่ประชาชนประสบ กับปัญหาหรือ ภัยพิบัติตามความเหมาะสม ๔.๑.๓ สร้างผลงานเพื่อให้ประชาชนเชื่อถือและเห็นความปรารถนาดี ของกองทัพบก ๔.๑.๔ ประพฤติและปฏิบัติตนต่อประชาชนทั่วไปด้วยความสุภาพ และจริงใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากหรือผู้ด้อยโอกาส ๔.๒ ทางวาจา โดย ๔.๒.๑ ไม่ใช้วาจาที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ๔.๒.๒ ไม่ใช้วาจาในลักษณะยกตนข่มผู้อื่น ๔.๓ ทางจิตใจ โดย ๔.๓.๑ มีความสํานึกและยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๔.๓.๒ พึงระลึกเสมอว่าประชาชนทั่วไปเปรียบเสมือนญาติของตน ๔.๓.๓ ให้ประชาชนเชื่อมั่นในศักยภาพของกองทัพบกในการปกปูอง ผลประโยชน์และรักษาอธิปไตยของชาติ ๔.๓.๔ ให้ เ กี ย รติ กั บ ประชาชนและสั ง คม โดยการเข้ า สมาคมกั บ ประชาชนทั่วไปด้วยความจริงใจ เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่ากองทัพบกเป็นของประชาชนและ พร้อมที่จะยืนเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ อุดมการณ์ในด้านความยึดมั่นในเกียรติยศและศักดิ์ศรีของทหาร อุดมการณ์ในด้านความยึดมั่นในเกียรติยศและศักดิ์ศรีของทหาร หมายถึง ความเป็น ผู้ที่มีวินัยความเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ และความเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ๑. ความเป็นผู้มีวินัย มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๑.๑ ทางกาย โดย ๑.๑.๑ ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมของทหาร ๑.๑.๒ ปกครองดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นผู้ที่มีวินัย
๑๙
๑.๒ ทางวาจา โดย ๑.๒.๑ กํากับดูแล ว่ากล่าว ตักเตือน แก้ไข ผู้ใต้บังคับบัญชามิให้ กระทําผิด ๑.๒.๒ หมั่นอบรมผู้อยู่ในปกครองเป็นเนืองนิตย์ ๑.๓ ทางจิตใจ โดย ๑.๓.๑ พึงระลึกว่าวินัยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ให้หน่วยอยู่รวมกันอย่าง มีเกียรติเหนือกว่าหมู่คณะใดที่ไม่ใช่ทหาร ๑.๓.๒ ภูมิใจในเกียรติและความมีวินัยของตนเองที่จะไม่กระทําผิด หรือเกลือกกลั้วกับอบายมุขหรือสิ่งชั่วช้าทั้งปวง ๒. ความเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๒.๑ ทางกาย โดย ๒.๑.๑ กระทําตามที่ตนพูดหรือให้คําสัตย์ปฏิญาณไว้ ๒.๑.๒ ไม่แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนในทางทุจริต ๒.๑.๓ หมั่นกระทําตนเป็นผู้เปิดเผย ตรงไปตรงมา ๒.๒ ทางวาจา โดย ๒.๒.๑ ไม่พูดเท็จหรือพูดกลับกลอก ๒.๒.๒ ไม่พูดแสแสร้งหรือบิดพลิ้ว ๒.๓ ทางจิตใจ โดย ๒.๓.๑ ยึดมั่นในสิ่งที่ตนพูดไว้เสมอ ๒.๓.๒ ตระหนักว่า การกระทําที่สุจริตเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความ ซื่อสัตย์ ๓. ความเป็นผู้ที่มีคุณธรรม มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๓.๑ ทางกาย โดย ๓.๑.๑ ปฏิบัติต่อบุคคลอื่นด้วยความยุติธรรมเสมอ ๓.๑.๒ ให้ความรัก ความเมตตาแก่บุคคลอื่นเสมอหน้าไม่เลือก เชื้อชาติ เพศ ศาสนา ฐานะ หรือความแตกต่างด้านใด ๆของบุคคล ๓.๒ ทางวาจา โดย ๓.๒.๑ ใช้คําพูดที่สุภาพแก่บุคคลอื่นเสมอหน้ากัน หลีกเลี่ยงการพูดกับ บุคคลหนึ่งบุคคลใดด้วยอารมณ์โกรธ ๓.๒.๒ ไม่พูดในทางเสียหายลับหลังผู้อื่น
๒๐
๓.๓ ทางจิตใจโดย ๓.๓.๑ มี ห ลั ก ธรรมทางศาสนาหรื อ ข้ อ บั ญ ญั ติ ท างกฎหมายหรื อ ประเพณีที่เคยปฏิบัติเป็นเครื่องมือช่วยเหลือในการวินิจฉัยที่จะตัดสินใจให้ความเป็นธรรมใน เรื่องใด ๆ ๓.๓.๒ ไม่ลําเอียงเข้าข้าง หรือไม่เข้าข้างบุคคลหนึ่งบุคคลใด ด้วยเหตุ อันเกิดจากความรัก ความหลง ความโกรธ หรือความกลัว อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย อย่างร่วมกัน อุดมการณ์ในด้านความเสียสละ อุดมการณ์ในด้านความเสียสละ หมายถึง การอุทิศเวลา และการแสดงความกล้า หาญโดยไม่คํานึงถึงเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ๑. การอุ ทิ ศ เวลาเพื่ อ การปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ห รื อ ประโยชน์ ข องส่ ว นรวม มี คุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๑.๑ ทางกาย โดย ๑.๑.๑ ขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงาน อุทิศเวลาให้แก่การทํางาน ตลอดเวลา ๑.๑.๒ ไม่ปล่อยเวลาที่เหลืออยู่หลังจากการทํางานประจําให้เปล่า ประโยชน์ ควรใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้แก่ตนเอง และผู้ร่วมงานรวมทั้งรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อยู่ในมาตรฐานตามเกณฑ์ที่กองทัพบก กําหนด ๑.๒ ทางวาจา โดย ๑.๒.๑ พูดให้ชัดเจน กะทัดรัดและตรงประเด็น ๑.๒.๒ พูดเฉพาะสิ่งที่สร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ๑.๓ ทางจิตใจ โดย ๑.๓.๑ เป็นคนตรงต่อเวลา ๑.๓.๒ พึงระลึกว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีค่าไม่ควรปล่อยให้ล่วงเลยไปโดย เปล่าประโยชน์ ๒. การแสดงความกล้าหาญโดยไม่คํานึงถึงเลือดเนื้อและชีวิตของตนเองเพื่อ การปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม มีคุณลักษณะและการแสดงออกดังนี้ ๒.๑ ทางกาย โดย ๒.๑.๑ กระทํ า การเพื่ อ รั ก ษาไว้ ซึ่ ง พระบรมเดชานุ ภ าพแห่ ง พระมหากษัตริย์ หรือเพื่อปูองกันชาติ ศาสนา และเกียรติยศของทหาร ๒.๑.๒ ทําการรบโดยมุ่งมั่นที่จะเอาชนะข้าศึก แม้จะเห็นภยันตราย จากข้าศึกมากเพียงใดก็ตาม
๒๑
๒.๑.๓ ในกรณีที่ถูกจับเป็นเชลย ก็จะพยายามต่อสู้ขัดขืนหรือหลบหนี ในทุกวิถีทางเท่าที่จะทําได้ และจะไม่ยอมรับตําแหน่งหรืออามิสสินจ้างใดๆ จากข้าศึกเป็นอัน ขาด ๒.๒ ทางวาจา โดย ๒.๒.๑ สั่ ง การด้ ว ยความห้ า วหาญแม้ จ ะตกอยู่ ใ นภยั น ตรายก็ ไ ม่ แสดงความวิตกให้ผู้ใดเห็น ๒.๒.๒ ในกรณีที่ตกเป็นเชลยข้าศึกจะไม่ยอมแพร่งพรายข่าวสารใดๆ อันจะเป็นอันตรายต่อเพื่อนร่วมชาติ ๒.๒.๓ ในฐานะเชลยศึก เมื่อถู กซักถามก็จะตอบแต่เพียงชื่อ ยศ หมายเลขประจําตัว และวันเดือนปีเกิดเท่านั้น โดยจะไม่ยอมตอบคําถามอื่น แม้จะถูกบังคับ ข่มขืนใจเพียงใดก็ตามรวมทั้งจะไม่ยอมรับด้วยวาจา หรือเป็นลายลักษณ์อักษร อันเป็นถ้อย แถลงซึ่งแสดงการทรยศต่อชาติ หรือพันธมิตรไม่ว่าในทางใด ๆ ๒.๓ ทางจิตใจ โดย ๒.๓.๑ มีสติมั่นคงในเวลาวิกฤต ๒.๓.๒ อดทนต่ออุปสรรคทั้งปวงโดยไม่หวั่นเกรงต่อภยันตราย ๒.๓.๓ พึ ง ระลึ ก ถึ ง คํ า ปฏิ ญ าณตนต่ อ ธงชั ย เฉลิ ม พลเสมอ โดย ตระหนักว่าตนเองเป็นนักรบของชาติไทย จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อพิทักษ์ เอกราชและอธิปไตยของชาติไทย จากองค์ประกอบที่สําคัญของอุดมการณ์ทหารกองทัพบกทั้ง ๔ ประการ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว หากกําลังพลทุกระดับชั้นในกองทัพบกได้มีความตระหนักและมีความ พยายามที่จะกระทําอย่างต่อเนื่องจนฝังแน่นอยู่ในจิตใจและสายเลือดของทุกคนแล้ว ย่อม สามารถอุทิศตนเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ได้อย่างแท้จริง
๒๒
บทที่ ๔ ผู้บังคับบัญชากับอุดมการณ์ทหารกองทัพบก ผู้บังคับบั ญชานับว่าเป็นผู้ ที่มีความสําคัญในการปลูกฝังและสร้างเสริมอุ ดมการณ์ ทหารให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา การที่ผู้บังคับบัญชาจะดํารงบทบาทความสําคัญยิ่งอันนี้เอาไว้ได้ ผู้บังคับบัญชาต้องมีคุณสมบัติของความเป็นผู้นําและตระหนักในความสําคัญของตนที่มีต่อ ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญชาและผู้ อื่ น ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาควรที่ จ ะได้ มี ก ารแสดงออกถึ ง ความเป็ น ผู้ นํ า โดยเฉพาะเรื่องของความรู้ ความคิดริเริ่ม ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์และความยุติธรรม นอกจากนี้แล้วผู้บังคับบัญชาจําเป็นต้องมีความเอาใจใส่ การให้ความหวัง มีความเข้าใจและ ยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้อื่น คุณสมบัติและความตระหนักของ ผู้บังคับบัญชาดังกล่าวพออธิบายโดยสังเขปได้ดังนี้ ความรู้ ความรู้ คือ ความรู้ในวิชาชีพของตน และมีความเข้าใจในตัวผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ที่รู้ งานเป็นอย่างดีย่อมมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ส่วนคนที่ขาดความรู้นั้นไม่สามารถปิดบังคนอื่นอยู่ ได้นานเพราะสักวันหนึ่งหากมีคนถามเกี่ยวกับความรู้นั้นขึ้นมาแล้ว ก็จะให้คําตอบเขาไม่ได้ ความรู้ในที่นี้ไม่จํากัดเพียงแต่จะรู้เรื่องทหารเท่านั้นความรู้รอบตัวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้ง ภายในและภายนอกประเทศก็ต้องมีความสนใจด้วย ไม่มีอะไรสร้างความเชื่อมั่นและความ เคารพนับถือได้รวดเร็วเท่ากับการแสดงความรู้ความสามารถให้ปรากฏออกมาด้วยวิธีการอัน หลากหลาย แม้ในขั้นต้นจะไม่รู้ก็ตามแต่ผู้บังคับบัญชาที่ดีย่อมอยากที่จะรู้และสามารถรู้ได้ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ความคิดริเริ่ม ความคิดริเริ่ม คือ ความต้องการที่จะปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเริ่มต้นโดยความคิดของ ตนเองที่ไม่ซ้ําใคร แปลกใหม่หรือดัดแปลงมาหรือได้รับฟังการแสดงความคิดเห็นใหม่ ๆ ที่ สามารถนํามาปรับปรุงงานหรือภารกิจให้เจริญยิ่งขึ้น ได้แก่ ข้อเสนอแนะต่างๆ ที่ได้รับการ พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว ความคิดริ เริ่ มที่ ดีจะส่ งผลให้ เกิ ดความผู กพันต่องานและเกิ ด กําลังใจต่อผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาที่จะทํางานให้สําเร็จ ความคิดริเริ่มใหม่ ๆ จะ ทําให้หน่วยมีความโดดเด่นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง ความกล้าหาญ ความกล้าหาญ คือ ลักษณะของจิตใจที่ตระหนักดีถึงความน่ากลัวของอันตรายที่มี อยู่แต่ก็ยังสามารถควบคุมให้เข้าเผชิญได้ด้วยความมั่นคง สามารถเข้ารับผิดชอบและปฏิบัติ หน้าที่ต่อสถานการณ์อันตรายได้ ผู้บังคับบัญชาต้องมีความกล้าหาญทั้งทางร่างกายและ ความกล้าหาญ ทางใจ ซึ่งความกล้าหาญทางใจ หมายถึง การรู้และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะต้องเผชิญกับความไม่พอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาและบุคคลอื่นก็ตาม ผู้บังคับบัญชาที่มี
๒๓
ความกล้าหาญทางใจต้องรู้จักยอมรับเมื่อตนกระทําผิดและกล้าตัดสินใจเมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ ถูกต้อง ความซื่อสัตย์ ผู้บังคับบัญชาจะต้องมีความเที่ยงตรงและยึดมั่นอยู่ในหลักศีลธรรมอันดีงาม ทํา หน้าที่ด้วยความตรงไปตรงมา รักษาวาจาสัตย์ ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และสํานึกในหน้าที่ การงานของตน ความซื่อสัตย์จะเป็นเกราะคุ้มภัยและเป็นตัวกําหนดว่า ผู้บังคับบัญชาจะ เป็นผู้ที่อยู่ในหัวใจของผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอหรือไม่ เป็นสิ่งที่นํามาซึ่งความเลื่อมใสและ ศรัทธาในระยะยาว ความยุติธรรม ความยุติธรรม คือ ความเที่ยงตรงไม่ลําเอียงเพราะอคติทั้ง ๔ คือ ลําเอียงเพราะ ความรัก (ฉันทา) ลําเอียงเพราะความโกรธ (โทสา) ลําเอียงเพราะความหลง (โมหา) และ ลําเอียงเพราะ ความเกลียดกลัว (ภยา) ในการปกครองบุคคลจํานวนมากนั้น ความยุติธรรมจะนํามาซึ่งการได้รับการยกย่อง สรรเสริญ ความเคารพนับถือและความเชื่อมั่นจากผู้ใต้บังคับบัญชา ในทางตรงกันข้าม ความไม่ยุติธรรมหรือการเลือกที่รักมักที่ชัง จะทําลายขวัญผู้ใต้บังคับบัญชารวมทั้งเกิดการ แบ่งพรรคแบ่งพวกในหน่วยได้ ความใส่ใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ความใส่ ใ จ หมายถึ ง ความจดจ่ อ สนใจในสิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น รอบตั ว ในหน้ า ที่ ข อง ผู้บังคับบัญชานั้น การใส่ใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใย ความ พยายามที่จะทําความเข้าใจถึงความเป็นไปในชีวิต ความสุข ความทุกข์และคุณภาพชีวิตที่ ได้รับ ส่วนในด้านการปฏิบัติงานนั้นต้องสนใจในความสามารถที่ผู้ใต้บังคับบัญชามีว่าเป็นไป ตามที่ กํ า หนดหรื อ ไม่ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาต้ อ งให้ ค วามสนใจที่ จ ะพั ฒ นาความสามารถ ผู้ใต้บังคับบัญชาพร้อมกับการดูแลสวัสดิการอย่างทั่วถึง การสร้างเสริมความใส่ใจเป็นสิ่งที่มี ความจําเป็นอย่างยิ่ง สําหรับการรักษาความเป็นผู้นําที่ดีให้คงอยู่ในระยะยาว ความใส่ใจนั้นเป็นส่วนประกอบที่สําคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดการก้าวไปสู่การ เป็นผู้นําที่มีประสิทธิภาพ เมื่อผู้บังคับบัญชารู้ตัวของตัวเองและสภาพแวดล้อมได้ดี และมี โอกาสร่วมงานกับบุคคลอื่น จะช่วยเสริมให้ผู้บังคับบัญชายิ่งมีโอกาสปฏิบัติในสิ่งที่ดีและลด ข้อผิดพลาดลงได้มากยิ่งขึ้น การเข้าถึงผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้อื่นอย่างใส่ใจจะสามารถลด ความเข้าใจผิดต่าง ๆ ลงได้มาก กล่าวคือแทนที่ผู้บังคับบัญชาจะเข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชาและ ผู้อื่ นจากความรู้สึ กของตนเองเท่ านั้น แต่ ผู้ บั งคั บบั ญชาก็ จะเข้ าใจผู้ ใต้ บั งคั บบั ญชาจาก ความรู้สึกหรือมุมมองของผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถเข้าใจความคิด และมุมมองของคนอื่น ๆได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
๒๔
การให้ความหวังกับผู้ใต้บังคับบัญชา ความหวัง หมายถึงสภาวะทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการนึกถึงอนาคตที่เป็นไปได้ และ มีวิธีการดําเนินการให้บรรลุผลอย่างชัดเจน ในการนี้ผู้บังคับบัญชาจําเป็นจะต้องมีความหวัง แรงบันดาลใจและ การติดต่อสื่อสารกับผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้อื่นเสมอ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ ของอนาคตที่ต้องการให้เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาที่สร้างความหวังจะกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดพลัง และความคิดสร้างสรรค์ในการเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง เนื่องจากเมื่อ ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชาได้ รั บ รู้ ถึ ง แรงผลั ก ดั น อั น ทรงพลั ง ของความหวั ง จากผู้ บั ง คั บ บั ญ ชา ผู้ใต้บังคับบัญชาจะผลักดันตนเองให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น การดําเนินการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จะก่อให้เกิดพลังที่เพียงพอต่อการเปลี่ยนทิศทางและแผนการดําเนินงานได้อย่างเหมาะสม การสร้างความฝันที่จุ ดประกายความหวัง ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ของทหารแต่ละคน ซึ่งความหวังในอนาคตจะเป็นแรงผลักดันอันมหาศาลที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อ ทหารได้ แต่อย่างไรก็ตามวิสัยทัศน์ทหารแต่ละคนก็ยังไม่เพียงพอสําหรับการจุดประกายให้ เกิด การเปลี่ยนแปลงในระดับหน่วยได้ ด้วยเหตุนี้เองผู้บังคับบัญชาจึงจําเป็นจะต้องสร้าง ความหวังร่วมให้เหนือกว่าระดับบุคคล ด้วยการจุดประกายความหวังและกําหนดวิสัยทัศน์ที่ มีความหมายขึ้นในหน่วยให้สามารถสะท้อนค่านิยม แรงบันดาลใจและความหวังให้กับ ทหารทุกคนได้อย่างแท้จริง ผู้บังคับบัญชาที่ดีควรจะรู้สึกถึงความหวังและกระตุ้นความหวังดังกล่าวให้เกิดพลังขึ้นใน หมู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่สําคัญยิ่งสําหรับ การเป็นผู้นํา การทาความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับผู้ใต้บังคับบัญชา ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง คือ ความรู้สึกร่วมและความห่วงใยต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะ ทําให้สามารถเผชิญกับช่วงเวลาวิกฤติได้อย่างสร้างสรรค์ และเป็นปึกแผ่นมากขึ้น การมีส่วน ร่วมจะทําให้เกิดความเชื่อมโยงกับผู้ใต้บังคับบัญชาทําให้การปฏิบัติงานต่างๆได้เสร็จสมบูรณ์ และสามารถเผชิญกับความเครียดที่เกิดขึ้นได้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ ๑. การทําความเข้าใจและใส่ใจต่อความรู้สึกและประสบการณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชา ๒. ความเป็นห่วงเป็นใยผู้ใต้บังคับบัญชา ๓. การรับฟังและความตั้งใจที่จะตอบสนองต่อความรู้สึกดังกล่าวด้วยความห่วงใย และความรู้สึกร่วม ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สําคัญใน หน่วย เช่น การพัฒนากําลังพลจํานวนมากให้มีความเป็นผู้นํา การสร้างบรรยากาศในการ ทํางาน การมีส่วนร่วมในหน่วยและการแสดงความรับผิดชอบต่อหน่วยเท่านั้น แต่การคง ความมีประสิทธิผลของผู้นําและผู้ตาม ก็จําเป็นต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเป็นปัจจัย
๒๕
สํ า คั ญ ในกระบวนการพั ฒ นาทางจิ ต ใจ อารมณ์ แ ละร่ า งกาย ซึ่ ง ทั้ ง หมดนี้ จ ะก่ อ ให้ เ กิ ด สภาพแวดล้อมในการทํางานที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น การรับฟังอย่างลึกซึ้งนั้น สามารถก่อให้เกิดความเข้ าใจร่วมและแสดงให้เห็นถึงความ เข้าอกเข้าใจได้เป็นอย่างดี โดยความเข้าใจดังกล่าวจะทําให้ผู้บังคับบัญชามีหนทางปฏิบัติที่ แตกต่างไปจากเดิมได้ ความเข้าใจสามารถผลักดันให้หน่วยสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่าง หากหลาย นอกจากนี้ผู้บังคับบัญชายังมีส่วนช่วยในการปลูกฝังวัฒนธรรมของความเข้าใจ อย่างลึกซึ้งได้ด้วยการสร้างเสริมความเข้าใจ โดยแสดงตนเป็นตัวอย่างที่ดีและการกําหนด วิสัยทัศน์ให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเป็นหลักปฏิบัติที่สําคัญในองค์กร การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้อื่น โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น เมื่อตนเองคิดและปฏิบัติอย่างไรก็ต้องการให้ผู้อื่นคิดและปฏิบัติเช่นเดียวกับตน การยึดเอา ความคิดและการปฏิบัติของตนในทางเดียวนี้ ย่อมก่อให้เกิดอุปสรรคในการปฏิบัติงานร่วมกับ บุคคลในหน่วยงาน ทั้งนี้เนื่องจากเหตุปัจจัย ประสบการณ์ สภาวะแวดล้อมของแต่ละบุคคลมี ความแตกต่างกัน การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นย่อมเป็นหนทางหนึ่งที่จะนําพาให้การ ปฏิบัติงานของทหารแต่ละคนในหน่วยเป็นไปอย่างราบรื่น หากผู้บังคับบัญชารับฟังความ คิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชามากขึ้น ก็จะก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติงานและ ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น จากความสําคัญของผู้บังคับบัญชากับอุดมการณ์ทหารตามที่ได้นํามากล่าวแล้วนั้น หากผู้บังคับบัญชาได้ให้ความสําคัญและยึดถือไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว ย่ อ มส่ ง เสริ ม ให้ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาเป็ น แบบอย่ า งที่ ดี ต่ อ ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชาและสามารถจู ง ใจ ผู้ใต้บังคับบัญชาให้เข้าถึงอุดมการณ์ทหารตามวัตถุประสงค์ของกองทัพบกที่ตั้งไว้สมกับคํา กล่าวที่ว่า “ตัวอย่างย่อมมีผลศักดิ์สิทธิ์มากกว่าคาสอน”
๒๖
บทที่ ๕ กระบวนการปลูกฝังและสร้างเสริมอุดมการณ์ทหารกองทัพบก กองทั พ บก มี เ จตนารมณ์ ที่ จ ะให้ กํ า ลั ง พลกองทั พ บกทุ ก คน ได้ รั บ การปลู ก ฝั ง อุ ด มการณ์ ให้ เป็ น พื้ น ฐานความรู้ อ ยู่ ใ นจิ ต ใจนั บ ตั้ ง แต่ แ รกเริ่ ม เข้ า มาเป็ น สมาชิ ก ใหม่ ใ น กองทัพบก และเมื่อรับราชการแล้ว ก็ควรจะได้รับการสร้างเสริม เพื่อดํารงรักษาอุดมการณ์ ทหารให้มั่นคงในจิตใจ อันจะเป็นเครื่องช่วยให้การปฏิบัติภ ารกิจหน้าที่ของแต่ละคนมุ่งไปสู่ ความดีงามยิ่งๆขึ้นไป การปลูกฝังและสร้างเสริมอุดมการณ์ทหารกองทัพบกให้เกิดเป็นพื้นฐาน ในจิตใจ เป็นที่เชื่อถือและเกิดความศรัทธาต่อกําลังพลในทุกระดับนั้นย่อมอาศัยกระบวนการ หรือวิธีการสร้างเสริมอุดมการณ์ทหารที่มีประสิทธิภาพ กระบวนการหรือวิธีการสร้างเสริม ดังกล่าวจะเน้นในเรื่องของการอบรมสั่งสอนและการเผยแพร่ทางสื่อประเภทต่างๆเพื่อมุ่งผล ให้เกิดอุดมการณ์ทหารและมีก ารแพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง จนเป็นที่ยอมรับและ ศรัทธาต่อกําลังพลทุกระดับชั้นโดยทั่วไป เมื่อกําลังพลดังกล่าวมีอุดมการณ์ทหารแล้วย่อม ก่อให้เกิ ดผลดี ต่ อการปฏิ บั ติ งานอั นจะนํ าไปสู่ เปู าหมายอั นสู งสุ ดในการพิ ทักษ์ รั กษาชาติ ศาสนา พระมหากษั ตริย์และประชาชน เพื่ อให้ บรรลุ ต่ อภารกิจดั งกล่ าวหน่ วยต่างๆใน กองทัพบกควรดําเนินการปลูกฝังและสร้างเสริมอุดมการณ์ทหารโดยต้องเข้าใจกระบวนการ และขั้นตอนดังนี้คือ ตอนที่ ๑ กระบวนการปลูกฝังอุดมการณ์ทหาร ทหารไม่ว่าจะเป็นทหารของชาติใดล้วนแล้วแต่ได้รับการปลูกฝังให้เป็นหลักประกัน ถึงความอยู่รอดของชาติ ทหารโดยธรรมชาติแล้วจึงเป็ นผู้ ที่กล้าหาญ เสียสละและเป็ น สุภาพบุรุษที่ได้รับเกียรติให้ถืออาวุธปูองกันประเทศ การที่จะทําให้บุคคลที่เข้ามาเป็นทหารมี คุณลักษณะพื้นฐานดังกล่าว ผู้ฝึกอบรมจะต้องเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อ และพฤติกรรม ดังนี้ ทัศนคติ มีรากฐานมาจากความเชื่อที่อาจส่งผลถึงพฤติกรรมในอนาคตได้ เป็น ความพร้อม ที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มาจากการรับข่าวสารอันจะมีผลต่อพฤติกรรมต่อไป ทัศนคติมีส่วนประกอบทางด้านความคิดหรือความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงพฤติกรรม ของบุคคล ทัศนคติอาจเกิดขึ้นจากการได้เรียนรู้ความจริงต่าง ๆ อาจโดยการอ่านหรือจากคํา บอกเล่าของผู้อื่น การเข้าไปเป็นสมาชิกหรือสังกัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เกิดจากประสบการณ์ ของแต่ละบุคคลรวมทั้งเกิดจากการเลียนแบบหรือรับเอาทัศนคติของผู้อื่นมาเป็นของตน เป็น ต้น กลไกของทัศนคติจะช่วยให้เกิดการปรับตัวโดยมีแนวโน้มของพฤติกรรมเป็นไปในทางที่ ต้องการมากที่สุด และสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมต่าง ๆ ที่จําเพาะเจาะจงยิ่งขึ้น
๒๗
บุคคลเมื่อแรกเข้ามาเป็นทหารย่อมมีทัศนคติและค่านิยมต่าง ๆติดตัวมาแต่เดิมด้วย แต่เมื่อมาเป็นทหารแล้วจําเป็นต้องมีการหล่อหลอม ให้ความรู้และค่านิยมชุดใหม่เข้าไปตามที่ กองทัพบกต้องการ หรือทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติเดิมและยอมรับแนวทางใหม่นั่นเอง รูปแบบการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ๑. การเปลี่ยนแปลงทัศนคติโดยการสื่อสาร การสื่อสารเป็นกิจกรรมที่มีผล ทําให้ผู้รับสารเกิดทัศนคติต่อสิ่งต่าง ๆ โดยก่อให้เกิดผล ๓ ประการ คือ เกิดการ เปลี่ยนแปลงความรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผู้นําเสนอข้อมูลหรือข่าวสารหากมีคุณลักษณะบางอย่างจะสามารถ มีอิทธิพลต่อ ผูฟ้ ังมากกว่าลักษณะอื่น ๆ เช่น ความน่าเชื่อถือซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัย ๒ ประการคือ ความ เชี่ยวชาญและความน่าไว้วางใจ ผู้นําเสนอที่มคี วามน่าเชื่อถือสูงจะสามารถชักจูงใจได้ดีกว่าผู้ นําเสนอที่มีความน่าเชื่อถือต่ํา นอกจากนี้บุคลิกภาพของผู้นําเสนอก็มีความสําคัญต่อการ ยอมรับ อีกทั้งหากข้อมูลข่าวสารได้มีการเตรียมมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา การ เรียงลําดับ ความชัดเจนตลอดจนมีความกระชับและมีช่องทางในการส่งที่เหมาะสม ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้รับสารก็อยากฟังและมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามคําแนะนํา หรือการชักจูง การสื่อสารที่ดีจะทําให้เกิดผลกับผู้ฟังไปตามลําดับขั้นตั้งแต่เริ่มต้นดังต่อไปนี้ คือ ๑. ความตั้งใจหรือความสนใจ ๒. ความเข้าใจ ๓. การยอมรับข้อมูล ๔. การเก็บจําข้อมูล ๕. การกระทํา กระบวนการที่เกิดขึ้นกับผู้ฟังนี้ต้องผ่านไปที่ละขั้น เพื่อที่การสื่อสารจะสามารถ เปลี่ยนแปลงทัศนคติและการกระทําได้ครบถ้วนตามกระบวนการ ซึ่งในสภาพการณ์ปกตินั้น ขั้นตอนแรก ๆ จะต้องเกิดขึ้นก่อน เพื่อที่ขั้นตอนต่อ ๆ ไปจะได้เกิดขึ้นตามมา ๒. การเปลี่ยนแปลงทัศนคติโดยใช้อิทธิพลทางสังคม อิทธิพลทางสังคม มีผล อย่างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและการตัดสินใจเพราะในขณะตัดสินใจย่อมมีกลุ่ม บุคคลต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ผู้บังคับบัญชา และเพื่อนฝูง เป็นต้น บุคคลจะพัฒนาทัศนคติของตนเองในลักษณะใดนั้น ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับจาก ผู้อื่นในสังคม สิ่งที่มีอิทธิพลทางสังคมแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทคือ ๑. กลุ่ มอ้ างอิ ง หมายถึ ง กลุ่ มบุ คคลที่ เราใช้ เป็ นมาตรฐานสํ าหรั บประเมิ น ทัศนคติ ความสามารถของเราหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป บุคคลจะใช้กลุ่มอ้างอิงเพื่อ
๒๘
ประเมินทัศนคติ ของตนและตัดสินใจว่าทัศนคติของตนถูกต้อง เพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่ในกลุ่ม มีทัศนคติ เช่นเดียวกับตน ๒. บุคคลอ้างอิง หมายถึง บุคคลที่เราใช้เป็นมาตรฐานเพื่อประเมิน ทัศนคติ ความสามารถของเราหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อิทธิพลของผู้อื่นที่มีต่อทัศนคติของบุคคลตรง กับ กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เรียกว่า การเลียนแบบ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ บุคคลรับเอา คุณสมบัติของผู้อื่น เช่น ความคิด ทัศนคติและพฤติกรรม เป็นต้นมาเป็นของ ตน การเปลี่ยนทัศนคติที่จะทําให้เกิดประสิทธิผลนั้น มีแนวทางดังนี้คือ ๑. การทําซ้ําๆหรือใช้ความถี่ ในแต่ละครั้งที่ดําเนินการ ๒. การทําที่ต่อเนื่องตอกย้ําเป็นระยะในห้วงเวลาที่ยาวนาน ๓. การทําให้โดดเด่น ชัดเจนหรือเห็นได้ง่าย ด้วยสื่อที่มอี ยู่อย่างหลากหลาย ให้ปรากฏให้เห็นในหลายสถานที่และหลายโอกาส ๔. การทําให้เข้าใจง่าย ฟังหรือดูแล้วเข้าใจไม่ต้องตีความ ๕. การใช้พฤติกรรมกลุ่มช่วย กลุ่มจะช่วยให้บุคคลคล้อยตามพฤติกรรมร่วม บางอย่างง่ายขึ้น ๖. ชี้ให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน การชี้ให้เห็นตัวอย่างหรือผลที่เกิดขึ้นอย่างเป็น รูปธรรมช่วยให้เกิดการยอมรับง่ายขึ้น ๗. การมีแบบอย่างที่ดี ให้กลุ่มได้ปฏิบัติตามหรือยึดถือเป็นแบบอย่าง ๘. การใช้สื่อหรือวิธีการหรือกิจกรรมแบบผสมผสาน เสริมพลังซึ่งกันและกัน ๙. การกระทําทีไ่ ด้เห็นหน้าพบปะกันหรือโต้ตอบกันได้สองทางจะมีพลังมากกว่า ตอนที่ ๒ ขั้นตอนในการปลูกฝังอุดมการณ์ทหาร ๒.๑ การปลูกฝังในโอกาสแรก ๒.๑.๑ บุ ค คลที่ ต้ อ งได้ รั บ การปลู ก ฝั ง อุ ด มการณ์ ท หาร ได้ แ ก่ กํ า ลั ง พล กองทัพบกทุกนายที่แรกเริ่มเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ราชการในกองทัพบก ทั้งประเภทนายทหาร สัญญาบัตรได้แก่ นักเรียนนายร้อย นักเรียนแพทย์ทหาร นักเรียนพยาบาลกองทัพบก นั กศึ กษาหลั กสู ตรข้ าราชการกลาโหมพลเรื อนชั้ นสั ญญาบั ต ร นายทหารใหม่ ที่ สํ า เร็ จ การศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างประเทศ นายทหารประทวนที่ได้รับการเลื่อนฐานะเป็น นายทหารสั ญ ญาบั ต ร นายทหารประทวนคุ ณ วุ ฒิ ป ริ ญ ญาตรี ที่ ไ ด้ รั บ การคั ด เลื อ กเป็ น นายทหารสั ญ ญาบั ต ร ประเภทนายทหารประทวน ได้ แ ก่ นั ก เรี ย นนายสิ บ ทุ ก เหล่ า นักเรียนผู้ช่วยพยาบาลกองทัพบก นักเรียนดุริยางค์ ทหารบก นักเรียนหลักสูตรข้าราชการ กลาโหมพลเรือนชั้นประทวน ประเภทพลทหารและลูกจ้าง ได้แก่ พลทหารกอง
๒๙
ประจําการ พลอาสาสมัคร อาสาสมัครทหารพราน ลูกจ้างประจํา นอกจากนี้บุคคลที่ต้อง ได้รับการปลูกฝังยังรวมถึงนักศึกษาวิชาทหารที่เข้ารับการฝึกเพื่อเป็นกําลังพลสํารองของ กองทัพบกอีกด้วย ๒.๑.๒ ความรับผิดชอบในการปลูกฝังอุดมการณ์ทหาร หน่วยที่รับผิดชอบ ในการปลูกฝังและสร้างเสริมอุดมการณ์ทหารกองทัพบก ประกอบด้วย สถาบันการศึกษา ของกองทัพบก หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหารและหน่วยรับการบรรจุตั้งแต่ระดับกองพันหรือ เทียบเท่าขึ้นไป ๒.๑.๓ วิธีการปลูกฝังอุดมการณ์ทหาร หน่วยรับผิดชอบอาจกระทําอย่างหนึ่ง อย่างใด ดังต่อไปนี้ ๒.๑.๓.๑ พิจารณาเพิ่มวิชาอุดมการณ์ทหารกองทัพบกเข้าในหลักสูตร เดิม ในอัตราส่วนของเวลาที่เหมาะสม ๒.๑.๓.๒ จั ด ให้ มี ก ารอบรม หรื อ การสั ม มนา บรรยายพิ เ ศษโดย ผู้เชี่ยวชาญคุณวุฒิ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความซาบซึ้งในอุดมการณ์ทหาร ๒.๑.๓.๓ จั ดให้ มี ก ารบริ ก ารให้ คํ าปรึ กษาแนะนํ า ความรู้ เกี่ ย วกั บ อุดมการณ์ทหาร ๒.๑.๓.๔ จัดกิจกรรมการปลูกฝังอุดมการณ์ทหารในการจัดทัศนศึกษา สถานที่ทางประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหารรวมทั้งการใช้สื่อต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์และ เพลงปลุกใจเป็นต้น ๒.๑.๓.๕ จัดให้มีห ลักเกณฑ์แ ละวิธี การเพื่อวั ดผลและเพิ่มความรู้ สําหรับผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจยังไม่ถึงระดับที่เหมาะสม ๒.๒ การสร้างเสริมอุดมการณ์ทหารในโอกาสต่อไป ๒.๒.๑ บุคคลที่ต้องได้รับการสร้างเสริมอุดมการณ์ทหาร ได้แก่ กําลังพลทุก คน หลังจากเข้ามารับราชการแล้วในโอกาสอันสมควรเพื่อที่จะได้ไม่หลงลืมหรือละเลย อันจะ เป็นเครื่องช่วยประคับประคอง ส่งเสริมให้ทุกคนมีเครื่องยึดเหนี่ยวในจิตใจ อันจะช่วยให้การ ประกอบกิจการงานสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี ๒.๒.๒ ความรับผิดชอบในการสร้างเสริมอุดมการณ์ ทหาร เป็นความ รับผิดชอบของหน่วยทุกหน่วย ที่จะต้องมีการปลูกฝังและสร้างเสริม อุด มการณ์ทหารให้กับ กําลังพลของตนเองให้เข้มแข็งอยู่เสมอ รวมทั้ง ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆของกองทัพบก ที่มีกําลังพลหมุนเวียนเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรต่าง ๆ
๓๐
๒.๒.๓ วิธีการสร้างเสริมอุดมการณ์ทหาร ๒.๒.๓.๑ จัดให้มีวิชาอุดมการณ์ทหาร ในหลักสูตรตามแนวทางรับ ราชการตามความเหมาะสม ๒.๒.๓.๒ ในโอกาสที่มีการสอบคัดเลือกเพื่อเลื่อนฐานะ เลื่อน ตําแหน่งหรือการสอบคัดเลือก หรือการสอบอื่นใดของทางราชการให้ผู้บังคับหน่วยพิจารณา แทรกวิชาอุดมการณ์ทหารไว้ด้วยทุกครั้ง ๒.๒.๓.๓ ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นต้องจัดให้มีการอบรมตอกย้ํา อย่างสม่ําเสมอ หากหน่วยใดได้ดําเนินการปลูกฝังและสร้างเสริมอุดมการณ์ทหารตามแนวทางนี้ อย่างสม่ําเสมอแล้วย่อมบรรลุถึงวัตถุประสงค์ของกองทัพบกในการมี อุดมการณ์ทหารอาชีพ ได้อย่างแน่นอนคือทําให้กองทัพมีความเข้มแข็งพร้อมรบ ทันสมัยเป็นสากลและเป็นที่เชื่อมั่น ได้ว่า จะสามารถรักษาสถาบันหลักของชาติและเป็นที่พึ่งของประชาชนได้เสมอ
๓๑
ผนวก ก ประวัติศาสตร์บุคคลสาคัญที่สมควรยกย่องโดยสังเขป ๑. พระยาพิชัยดาบหัก ๒. พันท้ายนรสิงห์ ๓. พระยอดเมืองขวาง ๔. ชาวบ้านบางระจัน
๓๒
พระยาพิชัยดาบหัก องอาจ กล้าหาญ รักชาติ เสียสละ พระยาพิชัยดาบหักเดิมชื่อ จ้อย เป็นชาวเมืองพิชัย (อุตรดิตถ์) เมื่ออายุย่างเข้าวัยรุ่น ได้เข้าฝึก วิช ามวยจากหลายสํา นัก และได้เปลี่ ยนชื่อ เป็ นนายทองดี ฟั นขาว ที่ เมื องตาก ขณะนั้นมีพิธี ถือน้ําพิพัฒน์สัตยาที่วัดใหญ่ เจ้าเมืองตาก (พระเจ้าตากสินมหาราช) จัดให้มี มวยฉลอง นายทองดี เอาชนะนักมวยเอกของเมืองตากได้ถึงสองคนต่อหน้าเจ้าเมืองตาก เจ้า เมืองตากพอใจมากชักชวนให้อยู่ด้วย นายทองดีจึงได้เป็นทหารของเจ้าเมืองตากตั้งแต่บัด นั้นและเป็นที่โปรดปรานมากจนได้รับยศเป็น "หลวงพิชัยอาสา" เมื่อเจ้าเมืองตากได้เป็นพระ ยาวชิรปราการครองเมืองกําแพงเพชรหลวงพิชัยอาสาได้ติดตามไปรับใช้อย่างใกล้ชิดและเป็น เวลาเดียวกับที่พม่ายกทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยาแตก หลวงพิชัยอาสาและทหารหาญได้ร่วมรบ กอบกู้เอกราชอย่างเข้มแข็ง เมื่อพระเจ้าตากสินได้เป็นกษัตริย์ปกครองกรุงธนบุรีแล้วได้ทรง โปรดเกล้าฯให้หลวงพิชัยอาสาเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็นทหารเอกราชองครักษ์ในพระองค์ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๑ พม่ายกทัพมาอีก พระเจ้าตากพร้อมด้วย เจ้าหมื่นไวยวรนาถ ได้ เข้าโจมตีจนแตกพ่ายและยังได้ปราบก๊กต่างๆ อีกหลายคราว เมื่อพระเจ้าตากสินเสด็จกลับ กรุงธนบุรี โปรดตั้งเจ้าหมื่นไวยวรนาถเป็น "พระยาสีหราชเดโช" มีตําแหน่งเป็นนายทหาร เอกราชองครักษ์ตามเดิม สุดท้ายเมื่อปราบก๊กเจ้าพระฝางได้แล้วพระเจ้าตากสินได้ทรงโปรด เกล้าฯ ให้เป็น พระยาพิชัย ปกครองเมืองพิชัยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนแต่เยาว์วัย เมื่อสิ้นฤดูฝนปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๑๖ โปสุพลายกกองทัพมาหมายตีเมืองพิชัยอีก "การศึก ครั้งนี้ พระยาพิชัยจับดาบสองมือคาดด้าย ออกไล่ฟันแทงพม่าอย่างห้าวหาญจนดาบข้างขวาหัก เป็นสองท่อน" ในที่สุดกองทัพโปสุพลาก็แตกพ่ายกลับไป เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จสวรรคตแล้ว พระยาพิชัยได้กราบบังคมทูลลาออกจาก ราชการ แต่บุตรหลานของท่านยังคงรับราชการในราชวงศ์จักรีสืบมาด้วยความจงรักภักดี จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ ผู้ที่สืบเชื้อสายของท่านก็ได้รับ พระราชทานนามสกุลว่า “วิชัยขัทคะ” อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ประดิษฐานอยู่หน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อ ระลึกถึงเกียรติศักดิ์ของนักรบในเรื่องความองอาจ กล้าหาญ รักชาติ และเสียสละของท่าน
๓๓
พันท้ายนรสิงห์ ผู้รักษากฎระเบียบ กฎมณเฑียรบาล ยิ่งกว่าชีวิตตน "พันท้ายนรสิงห์" นายท้ายเรือพระที่นั่งเอกไชย ในสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) ปลายกรุงศรีอยุธยา "พันท้ายนรสิงห์" มีชื่อเดิมว่า "พัน" เป็นชาวบ้านปุาโมก เมืองอ่างทอง มีความสามารถทางแม่ไม้มวยไทย จนล่วงรู้ถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้าเสือ จึงเรียกตัวนายพันให้เข้าเฝูาและโปรดเกล้าฯ เป็นมหาดเล็ก ต่อมาเพราะความซื่อสัตย์ นิสัยดี และมีฝีมือ นายพันจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายท้ายเรือประจําพระที่นั่งนามว่า "พันท้ายนร สิงห์" เมื่อครั้งที่ พระเจ้าเสือเสด็จประพาสคลองโคกขาม เพื่อทรงเบ็ด และเยี่ยมราษฎร ขณะนั้นมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งรอดักจะปลงพระชนม์ แต่ข่าวรั่วไปถึงหูพันท้ายนรสิงห์ ทําให้พัน ท้ายนรสิงห์ต้องคิดหาทางแก้ สุดท้ายขณะขบวนเรือจะแล่นผ่านกลุ่มกบฏนั้น พันท้ายนรสิงห์ ตัดสินใจหันหัวเรือพระที่นั่ งชนกับตลิ่งเพื่อระงับการเสด็จฯ ตัวพันท้ายนรสิงห์เองก็รีบขึ้นฝั่ ง นั่งประนมมือรอรับโทษประหารทันที และแม้พระเจ้าเสือจะไม่คิดเอาโทษ แต่เพื่อการรักษา กฎหมายบ้านเมืองให้ศักดิ์สิทธิ์ต่อไป พันท้ายนรสิงห์จึงไม่ยอม เพราะสมัยนั้นมีกฎมณเฑียร บาลว่า "ผู้ใดกระทําให้หัวเรือพระที่นั่งชนกับตลิ่ง หรือกิ่งไม้เป็นเหตุให้หัวเรือหักหรือจมมี โทษถึงประหารชีวิต" ซึ่งพระเจ้าเสือก็ไม่อาจทัดทานได้ สุดท้ายพันท้ายนรสิงห์จึงถูกประหาร ชีวิต พระเจ้าเสือโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นําศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่ นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้นขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาล พันท้ายนรสิงห์เป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ ยังคงเป็น แบบอย่างให้คนรุ่นหลังยกย่องในความเสียสละ ความจงรักภักดี การเป็นผู้รักษากฎระเบียบ กฎมณเฑียรบาล ยิ่งกว่าชีวิตตน
๓๔
พระยอดเมืองขวาง ร.ศ.๑๑๒ พระยอดเมืองขวางถือว่าเป็นวีรบุรุษผู้หนึ่งในเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ เดิมชื่อ ขํา ได้รับ พระราชทานนามสกุลว่า ยอดเพชร์ (เป็นต้นสกุล "ยอดเพ็ชร์" และ "กฤษณมิตร") เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๕ ที่อําเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ พระยอดเมืองขวางรับราชการสังกัด กระทรวงมหาดไทย ได้เลื่อนตําแหน่งโดยลําดับจนได้เป็นเจ้าเมืองเชียงขวาง มีบรรดาศักดิ์ เป็น พระยอดเมืองขวาง ต่อมาย้ายไปเป็นเจ้าเมืองคําเกิดคําม่ วน ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่าน ของสยามติดต่อกับชายแดนเวียดนาม เมืองคําเกิดคําม่วนเป็นเมืองแฝดมักเรียกว่า คําม่วน ถือว่าเป็นพระราชอาณาเขต สยามเพราะได้ส่งข้าราชการไปปกครองมาช้านานแล้ว ด้วยเป็นเมืองยุทธศาสตร์สําคัญชิด พรมแดนญวนที่จะพุ่งเข้าสู่นครพนม ครั้นเมื่อฝรั่งเศสได้ญวนเป็นอาณานิคมแล้ว นายปาวี หรือ ม.ปาวี ได้อ้างว่า เมื่อ ๕ ปี ก่อน (พ.ศ.๒๔๓๑) เขาได้สํารวจว่าดินแดนตรงนี้เคยเป็นของญวนมาก่อน ทางฝรั่งเศสที่ ปกครองญวนอยู่จึงยกกําลังเข้ามาจะยึดเมืองคําม่วน ให้พระยอดเมืองขวางมอบเมืองให้ พระ ยอดเมืองขวางตอบไปว่าตนได้รับแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้มาเป็นข้าหลวง อยู่เมืองนี้ เพราะเป็นพระราชอาณาเขตสยาม จะมอบเมืองให้ไม่ได้หากมิใช่พระบรมราช โองการฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ฝรั่งเศสจึงใช้กําลังทหารเข้าจับตัวพระยอดเมืองขวางกับข้าราชการทั้ง ปวงและยึดทรัพย์สมบัติไว้หมด ทหารฝรั่งเศสที่เป็นผู้คุมตัวพระยอดเมืองขวางและพรรค พวกนั้นชื่อนาย โกรกุรัง เมื่อจับพระยอดเมืองขวางมาถึงปลายด่านเมืองคําม่วน นายโกรกุรัง ให้คุมตัวพระยอดเมืองขวางกับพรรคพวกไว้ที่ด่านและให้เอาตัวหลวงอนุรักษ์ผู้ช่วยพระยอด เมืองขวางไปขังไว้ที่แก่งเจ๊กที่พักของตนอันมีทหารฝรั่งเศสกับทหารญวนเป็นกําลังควบคุม พระยอดเมืองขวางกับพรรคพวกพากันลอบหนีลงเรือมาตามลําแม่น้ําโขงถึงเวียง กระแส พบกับทหารไทยประมาณ ๑๐๐ คน ซึ่งหลวงวิชิตสรศาสตร์ข้าหลวงเมืองลาวพวน ส่งมาช่วย จึงพากันมาช่วยหลวงอนุรักษ์ เมื่อมาถึงก็ขอตัวหลวงอนุรักษ์ จากนายโกรกุรัง โดยพระยอดเมืองขวางและพวกทหารประมาณ ๑๘ คน ยืนอยู่ห่างจากเรือนที่ขังหลวง
๓๕
อนุรักษ์ประมาณ ๘ วา ช่วงขณะนั้นหลวงอนุรักษ์ได้โดดหนีวิ่งลงมาหาพระยอดเมืองขวาง ทหารฝรั่งเศสบนเรือนจึงยิงปืนลงมาโดนทหารไทยตาย ๑ คนและล้มลงอีกหลายคน พระ ยอดเมืองขวางจึงร้องสั่งให้ต่อสู้ เมื่อสิ้นเสียงปืนแล้ว ปรากฏว่าทหารไทยตาย ๖ คน บาดเจ็บ ๔ คน ส่วนทหารญวนตาย ๑๑ คน ฝรั่งเศสเจ็บ ๓ คน เรื่องนี้ทําให้ฝรั่งเศสยื่นคําขาดกับไทยว่า "เจ้าพนักงานไทย จะต้องเอาคนต้นคิดให้รบ ฝรั่งเศสที่ทุ่งเชียงคําและที่คําม่ วนนั้นมาชําระและผู้แทนฝรั่งเศสผู้หนึ่งจะมานั่งกํากับการ ชํา ระอยู่ ด้ ว ยและต้อ งกํ ากั บ ดู แ ลการลงโทษแก่ ค นผิ ด ...โดยรั ฐบาลฝรั่ง เศสจะเลื อ กตั้ ง ผู้ พิพากษาเหล่านี้เอง” ในเมื่อเสียงข้างมากเป็นของผู้พิพากษาฝรั่งเศส พระยอดเมืองขวางจึง แพ้คดี ถูกตัดสินจําคุก ๒๐ ปี เมื่อถูกจองจํานั้น ม.ปาวีได้เข้าไปดูแลตรวจการจองจําอย่าง สม่ําเสมอ แต่พระยอดเมืองขวางถูกจองจําอยู่ในคุกเพียง ๔ ปี เท่านั้น เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ ฯกลับจากประพาสยุโรป พ.ศ.๒๔๔๐ ก็ได้รับการปล่อยตัว และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินบํานาญให้เป็นพิเศษถึงเดือนละ ๕๐๐ บาท เพื่อตอบแทนคุณความดี ความกล้าหาญและความจงรักภักดีที่ท่านมีต่อชาติบ้านเมืองซึ่ง ชาวบ้ า นต่ า งขนานนามท่ า นว่ า “ชายชาติ ช้ า งงา ผู้ ก ล้ า ” ด้ ว ยคุ ณ ความดี ดั ง กล่ า ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จึงได้ทรงพระราชทานนามอันเป็นที่ตั้งของ หน่วยทหารบกที่จังหวัดนครพนมว่า “ค่ายพระยอดเมืองขวาง” เมื่อ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๑
๓๖
ชาวบ้านบางระจัน แม้นว่ากูยังไม่ตาย มึงอย่าหมายเหยียบย้าแผ่นดินกู บ้านบางระจันที่ตั้งอยู่ในเมืองวิเศษไชยชาย ชาวบ้านได้รวมกําลังกันทําการต่อสู้ กับกองทัพพม่า ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ โดยตั้งค่ายสู้รบกับพม่าอย่างกล้าหาญทรหด อดทน ซึ่งพม่าได้พยายามเข้าตีค่ายบางระจันถึง ๗ ครั้ง แต่ก็ไม่สําเร็จ ต่อมาสุกี้ซึ่งเป็นพระ นายกองของพม่าได้อาสาปราบโดยตั้งค่ายประชิดค่ายบางระจัน แล้วใช้ปืนใหญ่ยิงเข้า ไปใน ค่ายแทนการสู้รบกันกลางแจ้ง ทําให้ชาวบ้านเสียชีวิตจํานวนมาก ชาวบ้านบางระจันไม่มี ปืนใหญ่ยิงตอบโต้จึงมีใบบอกไปทางกรุงศรีอยุธยาให้ส่งปืนใหญ่มาให้ แต่ทางกรุงศรีอยุธยาไม่ กล้าส่งมาให้ เพราะเกรงว่าจะถูกฝุายพม่าดักปล้นระหว่างทาง ชาวบ้านจึงช่วยกันหล่อปืน ใหญ่โดยบริจาคของใช้ทุกอย่างที่ทําด้วยทองเหลืองมาหล่อปืนได้สองกระบอก แต่พอทดลอง นําไปยิงปืนก็แตกร้าวจนใช้การไม่ได้ ถึ ง แม้ ว่ า ไม่ มี ปื น ใหญ่ ชาวบ้ า นบางระจั น ก็ ยั ง คงยื น หยั ด ต่ อ สู้ กั บ พม่ า ต่ อ ไป จนกระทั่งวันแรม ๒ ค่ํา เดือน ๘ พ.ศ. ๒๓๐๙ ค่ายบางระจันก็ถูกพม่าตีแตกและสามารถ ยึดค่ายไว้ได้ หลังจากที่ยืนหยัดต่อสู้กับข้าศึกมานานถึง ๕ เดือน วีรกรรมของชาวบ้านบางระจันได้รับการยกย่องว่า เป็นวีรกรรมของคนไทยที่มี คุณค่าอย่างยิ่งในการเสียสละชีวิตให้แก่ชาติบ้านเมือง และแสดงให้เห็นถึงพลังความสามัคคี และความกล้าหาญของคนไทยในการต่อสู้กับข้าศึก และถือเป็นแบบอย่างที่ดีของอนุชนรุ่น หลัง อนุสาวรีย์วีรชน ค่ายบางระจันเป็นรูปหล่อวีรชนที่เป็นหัวหน้าทั้ง ๑๑ คนอยู่ที่หน้าค่าย บางระจัน
๓๗
ผนวก ข กาลังพล นายทหาร นายสิบ พลทหาร ผู้ได้รับเหรียญกล้าหาญ ตั้งแต่ สงครามกรณีพิพาทกับอินโดจีนฝรั่งเศส เป็นต้นมา จานวน ๑๗ ท่าน ( ข้อมูลจาก อนุสรณ์สถานแห่งชาติ กองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร สปท. บก.ทท. ) ๑. พลเอก จวน วรรณรัตน์ ๒. พลเอก ยุทธนา แย้มพันธ์ ๓. พันเอก หาญ เพไทย ๔. พลตรี ไชโย กระสิณ ๕. พันเอก เจริญ ทองนิ่ม ๖. พันตรี ยงยุทธ ทุ่งพรวน ๗. พันตรี ไว มิตรเมฆ ๘. ร้อยเอก รัตนศักดิ์ รุ่งเรือง ๙. ร้อยโท วาที เพชรชนะ ๑๐. พลทหารยม สืบกุศล ๑๑. พลทหารหาญ ขจรเวช ๑๒. พลทหารทับ แก้วมณี ๑๓. พลทหารปัญญา พัตนารี ๑๔. พลทหารเจริญ พรหมบุตร
๓๘
พลเอก จวน วรรณรัตน์ พลเอก จวน วรรณรัตน์ เมื่ อครั้ง ดํา รงยศเป็น ร้อ ยเอก ได้ เข้ าร่ วมรบในสงคราม เกาหลี ในตําแหน่ง ผู้บังคับกองร้อยที่ ๑ ของกองพันทหารไทย ผลัดที่ ๓ และในวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๕ ขณะประจําการอยู่บนที่มั่นเขาพอร์คชอป ฝุายจีนคอมมิวนิสต์ซึ่ง เข้าช่วยเกาหลีเหนือ ทําสงครามได้ส่งกําลังเข้าตีเขาพอร์คชอป โดยได้ระดมยิง ปืนใหญ่ขนาด ๑๕๕ มม.และเครื่องยิงลูกระเบิดทุกชนิดอย่างหนักติดต่อกันกว่า ๔ ชม. ทําให้ ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายนาย แต่ยังมีขวัญและกําลังใจดีมาก ครั้นถึงเวลา ประมาณ ๑๖.๐๐ น.เศษ กระสุนปืนนัดหนึ่งตกถูกที่กําบัง ซึ่งร้อยเอกจวน วรรณรัตน์ หลบ กําบังอยู่ แรงระเบิดทําให้ที่กําบังส่วนหนึ่งพังทลาย ไม้ท่อนใหญ่ตกทับขาซ้าย ทําให้ร้อยเอก จวนบาดเจ็บเดินไม่ได้ จนถึงเวลา ๑๗.๓๐ น.การยิงของข้าศึกได้เบาบางลง ร้อยเอก จวน ฯ จึงได้รับการส่งกลับไปที่หมวดเสนารักษ์กองพัน จนอาการทุเลาก็ได้กลับเข้ารับหน้าที่ผู้ บังคับกองร้อยตามเดิม หลังจากนั้นฝุายจีนคอมมิวนิสต์ยังได้โจมตีเขาพอร์คชอปอีกถึง ๒ ครั้ง แต่ก็ประสบความล้มเหลวทุกครั้ง จากการสู้รบอย่างเข้มแข็ง ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น จน บังเกิดผลดีแก่การตั้งรับของกองกําลังสหประชาชาติในส่วนรวม กองทัพที่ ๘ ซึ่งเป็นหน่วย บั ง คั บ บั ญ ชาสู ง สุ ด ของกองกํ า ลั ง สหประชาชาติ ใ นเกาหลี จึ ง มอบอิ ส ริ ย าภรณ์ ของ สหรัฐอเมริกา ซิลเวอร์ สตาร์ ให้แก่ พลเอก จวน วรรณรัตน์ เมื่อครั้งดํารงยศเป็นร้อยเอก ในขณะนั้น เพื่อเชิดชูวีรกรรมอันดีเด่นและเป็นเกียรติประวัติสืบต่อไป
๓๙
พลเอก ยุทธนา แย้มพันธ์ พลเอก ยุ ท ธนา แย้ ม พั น ธ์ เมื่ อ ครั้ ง ดํ า รงยศเป็ น พั น ตรี ได้ เ ข้ า ร่ ว มการรบใน สาธารณรั ฐ เวี ย ดนาม (เวี ย ดนามใต้ ) ในตํ า แหน่ ง ผู้ บั ง คั บ กองร้ อ ยที่ ๑ ของกรมทหาร อาสาสมัคร ในช่วงที่ประจําการอยู่ที่เมืองฟุกโถ ในวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๐ เวลา ๒๒.๑๐ น. เวียดกงได้เริ่มทําการปฏิบัติการโจมตีฐานกองร้อย ด้วยการระดมยิงเครื่องยิงลูก ระเบิดขนาด ๘๒ มิลลิเมตรอย่างรุนแรง พันตรี ยุทธนา แย้ มพันธ์ ได้สั่งการให้ทหารหลบอยู่ ในที่กําบังเพื่อมิให้ได้รับอันตรายจากกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดของฝุายข้าศึก และเมื่อทราบ สถานการณ์การรบแล้ว พันตรี ยุทธนา แย้มพันธ์ ได้ใช้ลักษณะความเป็นผู้นํา อํานวยการรบ อย่างเข้มแข็งและให้กําลังใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดเวลา ได้สั่งให้ทหารไทยเพิ่มอํานาจการ ยิงอย่างรุนแรงเพื่อขับไล่ข้าศึก ต่อมาเมื่อเวลา ๐๔๐๐ น. เมื่อการยิงของเวียดกงเริ่มเบาบาง ลง พั น ตรี ยุ ทธนา แย้ ม พั น ธ์ จึ ง ส่ ง กองหนุ น บรรทุ ก รถสายพานลํ า เลี ย งพล ๒ คั น ออก ปฏิบัติการทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นด้านการเข้าตีหลักของเวียดกง การรบยุติลงเมื่อ เวลา ๐๕๓๐ น.มีทหาร เวียงกงเสียชีวิตจํานวนมาก การรบที่ฟุกโถนับเป็นการรบที่กรม ทหารอาสาสมัครของไทยประสบชัยชนะอย่างเด็ดขาด ถือได้ว่าเป็นวันแห่งชัยชนะของไทยใน สมรภูมิต่างแดน และยังผลในการสร้างขวัญกําลังใจแก่ทหารเวียดนามใต้ ให้คลายความ หวาดกลัวเวียดกงลงเป็นอันมาก จากเหตุการณ์ครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรง พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญรามาธิบดี ชั้น ๔ อัศวิน แก่ พลเอก ยุทธนา แย้มพันธ์ เมื่อครั้งดํารงยศเป็นพันตรี เพื่อเชิดชูเกียรติศักดิ์ให้ปรากฏสืบไป
๔๐
พันตรี ยงยุทธ ทุง่ พรวน พันตรี ยงยุทธ ทุ่งพรวน เมื่อครั้งดํารงยศเป็น จ่าสิบเอก ตําแหน่ง ครูฝึกแผนกการฝึก กํ า ลั ง สํ ารอง จั ง หวั ด ทหารบกเชี ย งราย ปฏิ บั ติ ร าชการสนามในเขตพื้ น ที่ อํ า เภอนาแห้ ว จังหวัดเลย และอําเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก รวม ๒ ระยะ ตั้งแต่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ถึง ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๖ และตั้งแต่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๓ ถึง ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ ในตําแหน่ง รองผู้ บัง คับหมวดเครื่องยิงลู กระเบิด ๘๑ และนายสิบ การข่าว กองบัญชาการผสมพลเรือนตํารวจทหาร ๑๖๑๗ ตามลําดับ ภาระที่ได้รับมอบหมายใน ราชการสนามคือ การนํากําลังเข้าพิสูจน์ สืบทราบที่ตั้ง คลังอาวุธและแหล่งสะสมเสบียงของ ผู้ก่อการร้ายในพื้นที่รับผิดชอบ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความองอาจกล้าหาญ ทําการสําเร็จ ตามที่รับมอบหมายไม่เคยพลาดพลั้ง เป็นผลให้ผู้ก่อการร้ายรวนเรเสียขวัญ ช่วยให้ฝุายเรา ปราบปรามได้ ผลดียิ่ งขึ้น ตลอดเวลาที่ป ฏิบั ติราชการสนามมี พฤติกรรมดีเด่นถึ ง ๕ ครั้ง ดังเช่นครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๒-๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๔ จ่าสิบเอก ยงยุทธ ทุ่งพรวน ได้นํา กําลังเข้าพิสูจน์ทราบที่ตั้งคลังอาวุธในพื้นที่ภูลม บ้านนาฟองแดง อําเภอนครไทย จังหวัด พิษณุโลก พบคลังอาวุธและเสบียงของผู้ก่อการร้ายเป็นจํานวนมาก จึงเข้าทําการยึดและ ระเบิดทําลายคลังจนราบคาบ ผู้ก่อการร้ายอาศัยใช้ประโยชน์ไม่ได้อีกต่อไป จากเหตุการณ์ ครั้ ง นี้ พ ระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู่ หั ว ฯ จึ ง ทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล้ า โปรดกระหม่ อ ม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้น ๖ เหรียญรามมาลาแก่ พันตรี ยงยุทธ ทุ่งพรวน เมื่อครั้งดํารงยศจ่าสิบเอกเพื่อเชิดชูเกียรติศักดิ์ให้ปรากฏสืบไป
๔๑
พันตรี ไว มิตรเมฆ พันตรี ไว มิตรเมฆ เมื่อครั้งมียศเป็นจ่าสิบเอก ตําแหน่งรองผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองร้อยทหารราบที่ ๑ กองพันทหารราบที่ ๑ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ พันตรี ไว มิตรเมฆ มี พฤติกรรมดีเด่นหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งสามารถสังหารผู้ก่อการร้ายและยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้ เป็นจํานวนมาก เหตุการณ์ที่สําคั ญ ได้แก่ เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๒ ขณะนํา กําลังลาดตระเวนบริเวณบ้านหนองโสน อําเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มีการปะทะ กับผู้ก่อการร้าย พันตรี ไว มิตรเมฆ ได้ นํากําลังโอบล้อมและสามารถสังหารผู้ก่อการร้าย จํานวน ๔ คนได้เป็นผลสําเร็จและต่อมาอีกครั้งหนึ่งในขณะนํากําลังเข้าปะทะผู้ก่อการร้าย ซึ่งมีกําลังมาก พันตรี ไว มิตรเมฆ ได้ถูกยิงที่บริเวณขาขวา อาการสาหัส แต่ยังอดทนสั่งการ ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทําการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ จนสามารถสังหารผู้ก่อการร้าย ดังกล่าวได้ ๒ คน จากเหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ พันตรี ไว มิตรเมฆ ได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้น ๖ เหรียญรามมาลา ในขณะดํารงยศเป็น ร้อยตรี เพื่อเชิดชูเกียรติศักดิ์ให้ปรากฏสืบไป
๔๒
ร้อยเอก รัตนศักดิ์ รุ่งเรือง ร้อยเอก รัตนศักดิ์ รุ่งเรือง เมื่อครั้งดํารงยศเป็น จ่าสิบเอก ตําแหน่ง ผู้บังคับหมู่ปืน เล็ก กองร้อยอาวุธเบาที่ ๓ กองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ได้ ออกปฏิบัติราชการสนามในตําแหน่งผู้บังคับหมู่ปืนเล็ก ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๒ เป็นเวลา ๑ ปี ๒ เดือน มีพฤติ กรรมดีเด่น ๒ ครั้ง ครั้งแรก จ่าสิบเอก รัตนศักดิ์ รุ่งเรือง เป็นผู้บังคับหมวด หนุนได้นํากําลังพล พร้อมด้วยรถสายพานลําเลียงพล ๒ คัน เข้าเสริมกําลังส่วนใหญ่เพื่อเข้า ตีฝุายตรงข้ามที่บ้านสันลอชะงัน อําเภอ ตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี แม้จะถูกฝุาย ตรงข้ามยิงด้วยปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิด จ่าสิบเอก รัตนศักดิ์ รุ่งเรือง ก็ พยายามนํากําลังเคลื่อนที่ฝุาตําบลกระสุนตก เข้าประชิดฝุายตรงข้าม พร้อมกับติดต่อขอ การยิงสนับสนุน และปรับการยิงอย่างได้ผล จนสามารถเคลื่อนที่เข้าถึงที่หมาย ทําให้ฝุาย ตรงข้ า มต้ อ งละที่ มั่ น ถอนตั ว หนี ไ ป ครั้ ง ที่ ๒ จ่ า สิ บ เอก รั ต นศั ก ดิ์ รุ่ ง เรื อ ง ได้ นํ า ชุ ด ปฏิบัติการพิเศษเข้าโอบข้าศึก บริเวณบ้านโนนหมากมุ่น ในครั้ง นี้ จ่าสิ บเอก รัตนศัก ดิ์ รุ่งเรือง ได้เคลื่อนที่ฝุาการยิงของฝุายตรงข้ามเข้าประชิดและทําลายที่ตั้งปืนของฝุายตรง ข้ามอย่างกล้าหาญ แม้จะถูกยิงที่ขาขวาท่อนบนได้รั บบาดเจ็บ ก็ยังอดทนปฏิบัติภารกิจจน สําเร็จ การปฏิบัติการรบทั้ง ๒ คราว เป็นผลให้ฝุายตรงข้ามเสียชีวิตและบาดเจ็บจํานวนมาก และสามารถยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้จํานวนมากเช่นกัน จากเหตุการณ์ทั้ง ๒ ครั้งดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่ อมพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้น ๕ เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร ให้แก่ ร้อยเอก รัตน์ศักดิ์ รุ่งเรือง เมื่อครั้งดํารงยศเป็น จ่าสิบเอก เพื่อเชิดชูเกียรติศักดิ์ให้ปรากฏ สืบไป
๔๓
ร้อยโท วาที เพชรชนะ ร้อยโท วาที เพชรชนะ เมื่อครั้งดํารงตําแหน่งรองผู้บังคับหมวด กองร้อยอาวุธเบา กองพัน ทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๒๑ รั กษาพระองค์ นั้น ได้เกิดเหตุ การณ์สู้ รบที่ บริเวณชายแดนไทย/กัมพูชา ด้านเขาพนมประและเขาพนมรุ้ง ระหว่าง ๒๘ มีนาคม ถึง ๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๖ กองกําลังต่างชาติได้เข้าโจมตีกองกําลังเขมรสามฝุาย ที่ชมรมคาจังโก ด้วยอาวุธหนักนานาชนิด และปืนใหญ่จากรถถังอย่างรุนแรง กองกําลังเขมรสามฝุาย ได้ อพยพหลบหนีเข้ามาในเขตไทย กองกําลังต่างชาติประมาณ ๑ กรมทหารราบ ได้ไล่ติดตาม รุกล้ําเข้ามาในดินแดนไทย กําลังของฝุายเราประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหาร ราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ ชุดปฏิบัติการทหารเสือ และกําลัง ๑ กองร้อย จากกองพันทหาร ราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๒๑ รัก ษาพระองค์ ได้เข้ า ทํา การสู้ ร บ เพื่ อผลั ก ดัน กองกํ าลั ง ต่างชาติให้ออกไปจากดินแดนประเทศไทย ร้อยโท วาที เพชรชนะ ได้ทําการสู้ รบถึงขั้น ประชิดและอยู่ภายใต้การระดมยิงอย่างหนักจากอาวุธยิงทุกชนิดของกองกําลังต่างชาติ แต่ ด้วยการมีจิตใจรุกรบ ความมีระเบียบวินัย ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของร้อยโท วาที เพชร ชนะ ทําให้สามารถสู้รบและผลักดันกองกําลังต่างชาติให้ออกไปจากดินแดนประเทศไทยได้ จากเหตุ ก ารณ์ค รั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่ หัวฯ จึงทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้า โปรด กระหม่อม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้น ๖ เหรียญรามมาลา แก่ ร้อยโท วาที เพชรชนะ เพื่อเชิดชูเกียรติศักดิ์ให้ปรากฏสืบไป
๔๔
พลทหารยม สืบกุศล ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญ จากการร่วมรบในกรณี พิพาท อินโดจีนฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๔
พลทหารหาญ ขจรเวช ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญ จากการร่วมรบใน กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๔
พลทหารทับ แก้วมณี ได้รับอิสริยาภรณ์ของสหรัฐอเมริกาเหรียญบรอนซ์ สตาร์ ประดับอักษรวี จากการร่วมรบในสงครามเกาหลี เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๖
๔๕
พลทหารปัญญา พัตนารี ได้รับอิสริยาภรณ์สหรัฐอเมริกาเหรียญ ซิลเวอร์ สตาร์ จากการร่วมรบในสงครามเกาหลี เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๖
พลทหารเจริญ พรหมบุตร ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้น ๖ เหรีย ญ รามาลา จากการปราบปรามผู้ ก่อ การร้ ายคอมมิ วนิ สต์ เมื่ อ วั นที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๓
๔๖
ผนวก ค คุณลักษณะผู้นา ๑๔ ประการ คุณลักษณะผู้นํา ๑๔ ประการตาม รส.๒๒ – ๑๐๐ คือ คุณลักษณะที่สําคัญในการ เป็ น ผู้ นํ า ที่ ดี สามารถนํ า ไปใช้ เป็ น แนวทางของผู้ นํ า ในหน่ ว ยทหารได้ คุ ณลั ก ษณะ ๑๔ ประการมีดังนี้ คือ ๑. ลักษณะท่าทางหรือการวางตัว คือ สร้างความประทับใจในท่าทางและความ ประพฤติ มีความสง่าผ่าเผย สามารถควบคุมตนเองได้ทั้งในการปฏิบัติตน และอารมณ์ ๒. ความกล้าหาญ คือ การบังคับจิตใจตนเองให้อยู่ในความสงบ ไม่อ่อนไหวง่าย และกล้าทํากล้าพูด กล้ายอมรับผิดเมื่อเกิดความผิดพลาดหรือข้อบกพร่อง ๓. ความเด็ดขาด คือ ความสามารถในการตกลงใจโดยฉับพลันและชัดเจนโดย พิจารณาจากข้อเท็จจริงต่างๆ จากประสบการณ์ของตนเองและของผู้อื่นอย่างมี เหตุผ ล ถูกต้อง รวดเร็ว และทันเวลา ๔. ความไว้เนื้อเชื่อใจ คือ การได้รับความไว้วางใจในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ หรือ งานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างถูกต้อง และกระทําการอย่างเต็มความสามารถ ๕. ความอดทน คือ พลังทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งวัดได้จากขีดความสามารถในการ ทนต่อ ความเหน็ดเหนื่อย ความยากลําบาก ความเคร่งเครียด รวมถึงความอดกลั้นต่อ สถานการณ์ที่บีบคั้น ๖. ความกระตือรือร้น คือ การแสดงออกถึงความสนใจและความจดจ่อต่อการ ปฏิบัติงานอย่างจริงจัง และทํางานด้วยความร่าเริงและคิดแต่แง่ดีเสมอ ๗. ความริเริ่ม คือ การเป็นผู้รู้จักใช้ความคิดและเริ่มหาหนทางปฏิบัติ หรือการ แสวงหาแนวทางในการปฏิบัติงานใหม่ ๆ ที่ดีมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และกระทําทันที โดยไม่รีรอ ๘. ความซื่อสัตย์สุจริต คือ ความเที่ยงตรงและยึดมั่นอยู่ในหลักศีลธรรมอันดีงาม รักษาวาจาสัตย์ ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และสํานึกในหน้าที่การงานของตน ๙. ความพินิจพิเคราะห์ คือ คุณสมบัติในการใคร่ครวญ โดยใช้เหตุผลตามหลัก ตรรกวิทยา เพื่อให้ได้ความจริงและหนทางแก้ ไขที่น่าจะเป็นไปได้ และสามารถนํามาใช้ใน การตกลงใจได้ถูกต้อง ๑๐. ความยุติธรรม คือ การไม่ลําเอียง ไม่มีอคติ มีความเที่ยงตรง เสมอต้นเสมอ ปลายในการบังคับบัญชา และมีการให้รางวัลและการลงโทษแก่ผู้ที่กระทําผิด ๑๑. ความรอบรู้ คือ ข่าวสารที่บุคคลหามาได้รวมทั้งความรู้ในวิชาชีพของตน และความเข้าอกเข้าใจในตัวผู้ใต้บังคับบัญชา นอกจากนี้ควรทราบเหตุการณ์ภายใน และ ภายนอกประเทศด้วย
๔๗
๑๒. ความจงรักภักดี คือ คุณสมบัติของบุคคลที่มีจิตใจเชื่อมั่น และยึดมั่นต่อ ประเทศชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต่อกองทัพ หน่วย ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ยืนหยัด ต่อสู้เพื่อผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อเห็นว่าถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ๑๓. ความรู้จักกาลเทศะ คือ ความสามารถในการปฏิบัติตนกับบุคคลอื่นโดยไม่เกิด ความขุ่นเคือง มีความถูกต้องเหมาะสมแก่กาลเวลาและสถานที่ ๑๔. ความไม่เห็นแก่ตัว คือ การไม่ฉวยโอกาสตักตวงความสุข ความเจริญก้าวหน้า ให้กับตนเอง โดยไม่ทําให้ผู้อื่นเดือดร้อน และยกย่องผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อปฏิบัติงานดีเด่น
๔๘
ผนวก ง เพลงปลุกใจ เพลง เกียรติศักดิ์ทหารเสือ คําร้อง : จากโครงพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทํานอง : สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ ขับร้อง : สันติ ลุนเผ่ * มโนมอบพระผู้สถิตอยู่ ยอดสวรรค์ แขนถวาย ให้ทรงธรรม์ พระผ่านเผ้า จ้าวชีวา ดวงใจ ให้ขวัญจิต ยอดชีวิต และมารดา เกียรติศักดิ์ รักของข้า ชาติชายแท้ แก่ตนเอง ** มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์ แขนมอบถวายทรงธรรม์ เทิดหล้า ดวงใจมอบเมียขวัญ และแม่ เกียรติศักดิ์รักข้ามอบไว้ แก่ตัว ( ซ้ํา **, * ) เพลง ทหารของชาติ ทํานอง : พระเจนดุริยางค์ คําร้อง : หลวงวิจิตรวาทการ พวกเราชายชาญเหล่าทหารของชาติ องอาจเชื้อนักรบกล้า ตายไหนตายกันไม่ประหวั่นวิญญาณ์ เหล่าทหารต้องกล้าศัตรู แม้ผู้ใดไม่เกรงมาข่มเหงดูหมิ่น สู้จนเลือดหมดสิ้นไม่ให้ใคร ลบหลู่ เกียรติศักดิ์นักรบไทยต้องให้เชิดชู (*) ข้าขอปฏิญาณสาบานตน เลือดเนื้อทุกทุกหยาดเพื่อเอกราชของไทย ยุคโบราณนานมานามคู่ฟูาแดนทอง เกียรติอันดับรับต่อมารักษาเชิดชู (ซ้ํา *)
เป็นตายต้องสู้ สุดลมหายใจ หากใครมาประจนพลีชีพให้ ขอให้ชาติไทยยงยืน ผยองเกียรติชื่อก้องไม่ให้ใครลบหลู่ เป็นตายต้องสู้ไม่ยอมเสียไป
๔๙
เพลง รักกันไว้เถิด คําร้องและทํานอง : นคร ถนอมทรัพย์ (*) รักกันไว้เถิดเราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหนก็ไทยด้วยกัน เชื้อสายประเพณีไม่มีกีดกั้น เกิดใต้ธงไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย ท้องถิ่นแหลมทอง เหมือนท้องของแม่ เกิดถิ่นเดียวกันแท้เหมือนแม่เดียวกันใช่ไหม ยามฉันมองตาคุณอบอุ่นดวงใจเห็นสายเลือดไทย ในสายตาบอกสายสัมพันธ์ (*) ทะเลแสนงาม ในน้ํามีปลา พืชพันธุ์เกลื่อนตาตามไร่นารวงทองไสว สินทรัพย์มีเกลื่อนกล่นบรรพชนให้ไว้ เราลูกหลานไทยจงร่วมใจรักษาให้มั่น (*) แหลมทองโสภาด้วยบารมี ปกเกล้าเราไทยนี้ร่มเย็นเป็นศรีผ่องใส ใครคิดบังอาจหมิ่นถิ่นทององค์ไธ้ เราพร้อมพลีใจปูองหมู่ไทยและองค์ราชันย์ (*) เพลงมาร์ชกองทัพบก คําร้องและทํานอง : นารถ ถาวรบุตร เกิดเป็นชายเชื้อชาติชาญ ทหารบกไทย เก่งกาจใจฉกรรจ์ องอาจฟาดฟันรบรันปัจจา หากศัตรูจู่จะยกมา เข้าอาสาฟันฝุารักษาถิ่น เราเกิดเป็นไทยสมไทยอาจินต์ ปราบริปูอยู่บนพื้นดิน จะประหารให้สิ้นพื้นดินไทย ทัพบกปกปูองคุ้มครองชาติไทย จะไม่ยอมหมู่อมิตรใด เลือดและเนื้อพลีให้ยอมถวาย ต่างยอมอุทิศใจกาย ชีวาตม์มลายยอมตายเพื่อชาติ เรารบจนใจขาดเพื่อชาติของไทย (ซ้ํา) ณรงค์การศึกเกียรติมีบันทึก จารึกประวัติศาสตร์ คุณความดีสามารถ ไพรีแพ้พินาศถอยไป วีรชนสมชื่อ คือบางระจันจํามั่นกันไว้ เราเกิดมารุ่นหลังทุกวัย ไม่ยอมใจง่าย ขอตั้งใจว่าจะปฏิญญา ร่วมรักษาไทยมั่น ใจไม่หวั่นรุกโรมประจัญ โถมที่มั่นทลาย เราไม่ยอมถอยร่น เราคงรบจนเลือดหยาดสุดท้าย หากศัตรูมากน้อยสู้ตาย ฝากลายไว้ให้ (ซ้ํา) เกิดเป็นชายเชื้อชาติชาญ ทหารบกไทย เก่งกาจใจฉกรรจ์ เหล่าทหารเป็นสง่าท่าที อยู่เป็นศรีเฟื่องฟูคู่ไผท ปราบเสี้ยนหนามแดนดินจนหมดสิ้นไป ให้ไตรรงค์ของไทยคงอยู่ เกียรติทหารกองทัพบกชาติไทย อยู่แห่งไหนภูมิใจไม่อดสู เกียรติประวัติชี้ไว้ใครใครย่อมรู้ ทั้งโลกเชิดชูทัพบกชาติไทยไว้แน่ (ซ้ํา)
๕๐
เพลง ทหารพระนเรศวร คําร้องและทํานอง : ท่านผู้หญิงพวงร้อย อภัยวงศ์ ภูเขาสูงแผ่นดินกว้างทางรก เรายกทัพฝุากล้าหาญ ใครขวางฟันฟาดแหลกลาญ ล้างผลาญปี้ปุนวอดวาย ชีวิตอุทิศเพื่อชาติ เราต่อสู้เพื่อราษฎร์ทั้งหลาย ชาติเสือเราต้องไว้ลาย ชาติชายเราต้องต่อกร (สร้อย) เปรี้ยง เปรี้ยง ดั่งเสียงฟูาฟาด โครม โครม พินาศพังสลอน เปรี้ยง เปรี้ยง ลูกปืนกระเด็นกระดอน โครม โครม ดัสกรกระเด็นไกล (ซ้ํา) ถ้าสิน้ ชาติสิ้นแผ่นดินสิ้นกษัตริย์ เห็นสุดจะยืนหยัดอยู่ได้ จะเป็นตายร้ายดีก็เป็นไป ขอปูองกันเอาไว้ให้สุดฤทธิ์ เปรี้ยง เปรี้ยง ดังเสียงฟูาฟาด โครม โครม พินาศพังสลอน เปรี้ยง เปรี้ยง ลูกปืนกระเด็นกระดอน โครม โครม ดัสกรกระเด็นไกล
๕๑
เพลง เราสู้ คําร้อง: นายสมภพ จันทรประภา ทํานอง : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านปูองเมืองคุ้มเหย้า เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทําลาย ถึงขู่ฆ่าล้างโคตรก็ไม่หวั่น จะสู้กันไม่หลบหนีหาย สู้ตรงนี้สู้ที่นี่สู้จนตาย ถึงเป็นคนสุดท้ายก็ลองดู บ้านเมืองเราเราต้องรักษา อยากทําลายเชิญมาเราสู้ เกียรติศักดิ์ของเราเราเชิดชู เราสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว
๕๒
เพลง รักเมืองไทย คําร้อง-ทํานอง: พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ (สร้อย) รักเมืองไทย ชูชาติไทย ทะนุบํารุงให้รุ่งเรือง สมเป็นเมืองของไทย เราชาวไทยเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย เราชาวไทยเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย ไม่เคยอ่อนน้อมเราไม่ยอมแพ้ใคร ไม่เคยอ่อนน้อมเราไม่ยอมแพ้ใคร ศัตรูใจกล้ามาแต่ทิศใด ถ้าข่มเหงไทย คงจะได้เห็นดี (สร้อย) เราชาวไทยเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย เราชาวไทยเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย เรารักเพื่อนบ้าน เราไม่รานรุกใคร เรารักเพื่อนบ้าน เราไม่รานรุกใคร แต่รักษาสิทธิ์ อิสระของไทย ใครทําซ้ําใจ ไทยจะไม่ถอยเลย (สร้อย) เราชาวไทยเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย เราชาวไทยเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย ถ้าถูกข่มเหงเราไม่เกรงผู้ใด ถ้าถูกข่มเหงเราไม่เกรงผู้ใด ดังงูตัวนิดมีพิษเหลือใจ เรารักเมืองไทย ยิ่งชีพเราเอย (สร้อย)
๕๓
เพลงตื่นเถิดชาวไทย คําร้อง-ทํานอง : พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ (สร้อย) ตื่นเถิดชาวไทย อย่าหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดํารง ก็เพราะเราทั้งหลาย ถ้ามัวหลับมัวหลง เราก็คงมลาย เราต้องเร่งขวนขวาย ตื่นเถิดชาวไทย บ้านเมือง ยามเฟื่องฟุูงรุ่งเรือง ก็อย่าลืมขวนขวาย เผลอตัวศึกมา เราจะพากันตาย จําไว้เถอะสหาย ตื่นเถิดชาวไทย (สร้อย) ชาติไทย เราไม่น้อมยอมใคร จะสู้จนชีพสลาย หวังผดุงแหลมทอง เราพี่น้องหญิงชาย อย่าให้ชาติสูญหาย ตื่นเถิดชาวไทย (ซ้ําทั้งเพลงอีกครั้ง) เพลงมาร์ช ๔ เหล่า ไทยสามัคคี สามัคคี สี่เหล่า ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย ร่วมจิตร่วมใจ รักไทยไว้คงมั่น หากมีศัตรูจู่โจม มาโรมรบรัน ร่วมใจปูองกันพร้อมทุกเหล่าเชื้อเผ่าไทย (ซ้ํา) เกิดเป็นชายเชื้อชาติชาญทหารบกไทยเก่งกาจชาติฉกรรจ์ ทัพบกปกปูองคุ้มครองแดนไทย จะไม่ยอมหมู่อมิตรใด เลือดและเนื้อพลีให้ยอมถวาย ต่างยอมอุทิศใจกาย ชีวาตม์มลายยอมตายเพื่อชาติ เรารบจนใจขาดเพื่อชาติไทย (ซ้ํา) ราชนาวี ชาติไทย เรือแล่นไปในสายน้ํา ฝั่งทะเลของเรา อย่าให้เขารุกล้ํา ทหารเรือทุกลํายอมสู้ตาย (ซ้ํา) ไตรรงค์ธงรูปอาร์ม ปีกทองขาววาววามบอกนามสีเทาไทย เหนือนภาฟูาไทย ใครรุกใครราน ทัพอากาศของไทยพลีชีพบูชา (ซ้ํา) อธิปไตย เกิดมาแล้วต้องตาย...... ตํารวจไทย พิทักษ์ไทยประชา ความสงบภายใน อีกอันธพาลนานาให้สิ้นไป ปราบปรามพวกทุจริตมิจฉา หากสามัคคีพร้อมเพรียงจิตใจ ไทยสี่เหล่านี้ กําบังผองภัย คุ้มครองไทย ให้ยืนยง เสมือนเกราะแก้ว คลาดแคล้ว ไทยสามัคคี สามัคคี สามัคคี สี่เหล่า.......เรา....ชาติ....เชื้อ....ไทย..
๕๔
เพลงอยุธยาเมืองเก่า (หรืออยุธยาลาลึก) คําร้อง – ทํานอง : สุรินทร์ ปิยานันท์ อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน จิตใจอาวรณ์มาเล่าสู่กันฟัง อยุธยาแต่ก่อนนี้ยัง เป็นดังเมืองทองของพี่น้องเผ่าพงศ์ไทย เดี๋ยวนี้ซิเป็นเมืองเก่า ชาวไทยแสนเศร้าถูกข้าศึกรุกราน ชาวไทยทุกคนหัวใจร้าวราน ข้าศึกเผาผลาญแหลกราญวอดวาย เราชนชั้นหลังมองแล้วเศร้าใจ อนุสรณ์เตือนให้ชาวไทยจงมั่น สมัครสมานร่วมใจกันสามัคคี คงจะไม่มีใครกล้าราวีชาติไทย (ซ้ําทั้งเพลง) เพลงต้นตระกูลไทย คําร้อง : หลวงวิจิตรวาทการ ทํานอง: หลวงวิจิตรวาทการ ดัดแปลงจากทํานองเพลงเก่า (สร้อย) ต้นตระกูลไทย ใจท่านเหี้ยมหาญ รักษาดินแดนไทย ไว้ให้ลูกหลาน สู้จนสูญเสีย แม้ชีวิตของท่าน เพื่อถนอมบ้าน เมืองไว้ให้เรา ลุกขึ้นเถิด พี่น้องไทย อย่าให้ชีวิตสูญเปล่า รักชาติยิ่งชีพของเรา เหมือนดังพงศ์เผ่า ต้นตระกูลไทย ท่านพระยาราม ผู้มีความแข็งขัน สู้รบปูองกัน มิได้ยอมแพ้พ่าย พระราชมนู ทหารสมัยกู้ชาติ แสดงความสามารถ ได้ชัยชนะมากหลาย เจ้าพระยาโกษาเหล็ก ท่านเป็นแม่ทัพชั้นเอก ของสมเด็จพระนารายณ์ สีหราชเดโช ผจญสงครามใหญ่โต ต่อตีศัตรูแพ้พ่าย เจ้าคุณพิชัยดาบหัก ผู้กล้าหาญยิ่งนัก ล้วนเป็นต้นตระกูลไทย (สร้อย) หมู่บุคคลสําคัญ หัวหน้าชาวบางระจัน ที่เราหาชื่อได้ นายแท่น นายดอก นายอิน นายเมือง ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองแสงใหญ่ นายโชติ นายทองเหม็น ท่านพวกนี้ล้วนเป็น ผู้กล้าหาญชาญชัย นายจันหนวดเขี้ยว กับนายทองแก้ว ทําชื่อเสียงเพริศแพร้ว ไว้ลายเลือดไทย ชาวบางระจัน สําคัญยิ่งใหญ่ เป็นต้นตระกูลของไทย ที่ควรระลึกตลอดกาล (สร้อย) องค์พระสุริโยทัย ยอดมิ่งหญิงไทย สละพระชนม์เพื่อชาติ ท้าวเทพสตรี ท้าวศรีสุนทร ปูองกันถลางนคร ไว้ด้วยความสามารถ ท้าวสุรนารี ผู้เป็นนักรบสตรี กล้าหาญองอาจ ปูองกันอีสาน ต้านศัตรูของชาติ ล้วนเป็นสตรีสามารถ ต้นตระกูลของไทย (สร้อย)
๕๕
เพลง แผ่นดินของเรา คําร้อง : สุรพล โทณวนิก ทํานอง : สากล ขับร้อง : สันติ ลุนเผ่ แผ่นดินของเรา ย่อมเป็นของเราชาติไทย ใกล้ไกลต้องเป็นของเราชาติไทย เลือดไทยไหลโลมลงดิน ใครหมิ่นศักดิ์ศรีคนไทย ต้องมีวันสักวันให้ไทยล้างใจอัปรีย์ แผ่นดินของเรา ย่อมเป็นของเราอยู่ดี ที่ใดต้องเป็นของไทยอยู่ดี ถูกเชือดเฉือนไปวันใด ย่อมแสนหวั่นไหวชีวี ปฐพีแหลมทองช่วยกันคุ้มครองปูองกัน สักวันต้องคืนกลับมา มั่นใจเถิดหนา ขอพลีชีวารักษาชาติไทย ชาติไทยคู่ฟูา เลือดทาแผ่นดิน เพลง ศึกบางระจัน ศึกบางระจัน จําให้มั่นพี่น้องชาวไทย เกียรติประวัติ สร้างไว้แด่ชนชาติไทยรุ่นหลัง แม้ชีวิต ยอมอุทิศเมื่อชาติอับปาง เลือดไทยต้องมา ไหลหลั่งทาทั่วพื้นแผ่นดินทอง ไทยคงเป็นไทย มิใช่ชาติเป็นเชลย ไทยไม่เคยถอยร่นชนชาติศัตรู บางระจันแม้สิ้นอาวุธสู้ สองดาบฟาดฟันศัตรู สู้จนชีพตนมลาย ตัวตายดีกว่าชาติตาย เพียงเลือดหยาดสุดท้ายขอให้ไทยคงอยู่ แดนทองของไทยมิให้ศัตรู แม้นใครรุกรานเรา สู้เพื่อกู้แหลมถิ่นไทยงาม
๕๖
ผนวก จ คาขวัญปลูกฝังอุดมการณ์ทหารและบัญญัติ ๗ ประการในการทาความดี ๑. ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของทหาร ๒. ชาติ เกียรติ วินัย กล้าหาญ ๓. รับคําสั่ง ทําทันที ทําดีที่สุด ๔. คําสั่งของผู้บังคับบัญชา คือพรจากสวรรค์ ๕. ชาติของเรา เป็นไทยอยู่ได้ จนถึงตัวเราคนหนึ่งนี้ เพราะบรรพบุรุษของเรา เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิต และความลําบากเข้าแลกไว้ เราต้องบํารุงชาติ เราต้องรักษาชาติ เรา ต้องสละชีพเพื่อชาติ ๖. ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต ๗. พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ ชาติหวังกําลังฝีมือ เจ้าคือความหวังทั้ง มวล ๘. แม้นว่ากูยังไม่ตาย มึงอย่าหมายเหยียบย่ําแผ่นดินกู ๙. องอาจ กล้าหาญ รักชาติ เสียสละ ๑๐. ถ้าแม้นต้องปราชัยต่อไพรี ให้ได้ปฐพีไม่มีคน ๑๑. สุจริต เสียสละ กล้าหาญ สามัคคี รู้หน้าที่ มีวินัย ๑๒.ทหารรักชาติ ยิ่งชีพ ๑๓.ปกปูองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คือหัวใจของทหาร ๑๔.ทหารกล้าสู้ กล้าตาย เพื่อแผ่นดิน ๑๕.เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย ให้สมเกียติของทหาร ๑๖.รักชาติ เสียสละ ยอมตายได้เพื่อชาติ ๑๗.เลือดเนื้อทุกหยาด เพื่อเอกราชชาติไทย ๑๘.ทหารใจต้องสู้ สู้ไม่ถอย ๑๙.รุก รบ ฮึกเหิม เพื่อชัยชนะ ๒๐.ต่อให้ลําบากแค่ไหน ใจไม่หวั่น ให้สมกับเป็นทหาร ๒๑.ภารกิจเพื่อชาติไทย คือหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของทหาร ๒๒.ไม่มีอะไรที่ทําไม่ได้ ๒๓.หยาดเหงื่อเพื่อชีวิต หยาดโลหิตเพื่อชาติ ๒๔.ตายเสียดีกว่า ที่จะละทิ้งหน้าที่ ๒๕.วินัย คือ หัวใจของทหาร ๒๖.ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ
๕๗
๒๗.มิเคยหวังว่าจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดเห็นชาติพินาศสลาย ๒๘.คนกล้าคือผู้สร้างวีรกรรม ๒๙.ยามศึกต้องการคนกล้า ยามเผชิญหน้าต้องการคนแกร่ง บัญญัติ ๗ ประการในการทาความดี ๑. จงกระทําความดีทุกอย่างที่ท่านกระทําได้ ๒. โดยวิธีการทุกวิธีที่ท่านจะกระทําได้ ๓. ในวิถีทางทุกวิถีที่ท่านจะกระทําได้ ๔. ในทุกสถานที่ที่ท่านจะกระทําได้ ๕. ในกาลทุกเมื่อที่ท่านจะกระทําได้ ๖. แก่บุคคลทุกคนที่ท่านจะกระทําได้ ๗. นานเท่านานที่ท่านจะกระทําได้
๕๘
คณะผู้จัดทา ๑. พ.อ.พร ภิเศก ตําแหน่ง ผู้อํานวยการกองพัฒนายุทธศาสตร์ ศูนย์พัฒนาหลักนิยมและยุทธศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารบก การศึกษา วท.บ. (ทบ.),รร.สธ.ทบ. ชุดที่ ๖๙ ,ร.ม.(บริหารรัฐกิจ) และ กศ.ด.(การบริหารการศึกษา) วทบ.ชุดที่ ๕๑ ๒. พ.อ.กัณห์ สถิตยุทธการ ตําแหน่ง รองผู ้อํ า นวยการกองพัฒ นายุท ธศาสตร์ ศูน ย์พ ัฒ นาหลัก นิย มและ ยุทธศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารบก การศึกษา วท.บ. (ทบ.),รร.สธ.ทบ. ชุดที่ ๗๖ และ วทบ. ชุดที่ ๕๔ ศศ.ม.(จิตวิทยาการทหาร) มหาวิทยาลัย RIDER สหรัฐอเมริกา ๓. พ.อ.คมิก ไม่เศร้า ตําแหน่ง หัวหน้าแผนกกองพัฒนาหลักนิยม ศูนย์พัฒนาหลักนิยมและยุทธศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารบก การศึกษา วท.บ. (ทบ.),รร.สธ.ทบ. ชุดที่ ๗๕ ศศ.ม. (สังคมศาสตร์เพื่อ การ พัฒนา) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และ ศศ.ม. (ระหว่างประเทศ ศึกษา ) มหาวิทยาลัยวูลองกอง ประเทศออสเตรเลีย ๔. พ.อ.หญิงฐิติญา จันทวุฒิ ตําแหน่ง หัวหน้าแผนกวิทยาการ ศูนย์พัฒนาหลักนิยมและยุทธศาสตร์ กรมยุทธศึกษา ทหารบก การศึกษา วท.บ. (เคมี) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บธ.ม.(การจัดการ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นบส.ชุดที่ ๒๓ และวทบ. ชุดที่ ๕๔ ๕. พ.ท.หญิงธนพรรษ ชัยเกษม ตําแหน่ง นักวิชาการกองพัฒนายุทธศาสตร์ ศูนย์พัฒนาหลักนิยมและยุทธศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารบก การศึกษา พย.บ. วิ ท ยาลั ย พยาบาลกองทั พ บก และ อ.ม. (ภาษาศาสตร์ ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๖. ร.ต.หญิงชนิศา อากาศวิภาต ตําแหน่ง ประจํ า แผนก ศู น ย์ พั ฒ นาหลั ก นิ ย มและยุ ท ธศาสตร์ กรมยุ ท ธศึ ก ษา ทหารบก การศึกษา ร.บ. (รัฐประศาสนศาสตร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๗. ส.ต.หญิงเมธินี เย็นอ่อน ตําแหน่ง เสมียน กองพัฒนายุทธศาสตร์ ศูนย์พัฒนาหลักนิยมและยุทธศาสตร์
๕๙
กรมยุทธศึกษาทหารบก
คู่มืออุดมการณ์ทหารกองทัพบก (ฉบับร่าง)
๖๐