Data Loading...
แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคอง ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก Flipbook PDF
แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคอง ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
107 Views
41 Downloads
FLIP PDF 1.55MB
คำนำ ปัจจุบัน มะเร็งถือเป็นปัญหาสาธารณสุขและเป็นภัยคุกคามชีวิตของประชากรโลก เนื่องจากมะเร็งเป็น สาเหตุของการเสียชีวิตลำดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก และมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งประเทศไทย เป็ น ประเทศหนึ่ ง ที่ ก ำลั ง เผชิ ญ กั บ สถานการณ์ ก ารป่ ว ยและเสี ย ชี วิ ต ในอั ต ราที่ สู งด้ ว ยเช่ น กั น กระทรวง สาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการ พัฒนาความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือและดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สามารถ เข้าถึงการรักษาได้ง่าย ตลอดจนมีทางเลือกในการรักษาในกรณีที่มีข้อจำกัด โดยเน้นหนักไปที่การดูแลผู้ป่วย ระยะท้ายแบบประคับประคองด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยและยาไทย การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคองด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย เป็นการดูแลผู้ป่วยแบบ องค์รวม เรียกหลักการนี้ว่า “ธรรมมานามัย” เป็นการดูแลผู้ป่วยทั้งมิตขิ องกาย จิต และสังคม ร่วมกับการรักษา ด้ ว ยศาสตร์ ก ารแพทย์ แ ผนไทยและยาไทย เพื่ อ หวั ง ผลให้ เ กิ ด ความสุ ข สบาย และคุ ณ ภาพชี วิ ต ที่ ดี ของผู้ป่วยเป็นหลัก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนางานดังกล่าว จะเป็ น ประโยชน์ ต่อ แพทย์ แ ผนไทย และเครื อ ข่ายบุ คลากรสหวิช าชีพ เพื่ อ การบู รณาการการดู แลผู้ ป่ ว ย โรคมะเร็งในระยะท้าย ตลอดจนมีการพัฒนาต่อเนื่องต่อไปจนเป็นการดูแลผู้ป่วยที่สมบูรณ์และยั่งยืนต่อไป
(แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์) อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
สารบัญ เรื่อง
หน้า
บทที่ 1 บทนำ
7-9
บทที่ 2 แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองตามศาสตร์ การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
10 - 25
บทที่ 3 แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองของโรงพยาบาล การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน กรมการแพทย์แผนไทยและ การแพทย์ทางเลือก
26 - 33
บทที่ 4 การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับตำรับยาและการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้าย แบบประคับประคองตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก
34 - 44
บรรณานุกรม
45 - 46
สารบัญตาราง เรื่อง
หน้า
ตารางที่ 1 แสดงรายชื่อตำรับยาที่ใช้บรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ตารางที่ 2 แสดงรายชื่อสมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
13 - 23 24
สารบัญภาพ เรื่อง
หน้า
รูปภาพที่ 1 แสดงขั้นตอนการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคอง
26
รูปภาพที่ 2 แนวทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการนอนไม่หลับ (ตำรับยาศุขไสยาศน์)
29
รูปภาพที่ 3 แนวทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการนอนไม่หลับ (ตำรับยาแก้ไข้ผอมเหลือง)
30
รูปภาพที่ 4 แนวทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน (ตำรับยาอัคคินีวคณะ)
31
รูปภาพที่ 5 แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งที่เกี่ยวกับเลือดและน้ำเหลือง ไฟธาตุต่ำ (ตำรับยาทำลายพระสุเมรุ)
32
รูปภาพที่ 6 แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งที่เกี่ยวกับเลือดและน้ำเหลือง ไฟธาตุต่ำ (น้ำมันสนั่นไตรภพ)
33
บทที่ 1
บทนำ
สถานการณ์และอุบัตกิ ารณ์การเกิดโรคมะเร็ง มะเร็ง หรือทางการแพทย์ว่า เนื้องอกร้าย (malignant tumor) เป็นกลุ่มของโรคที่เกี่ยวข้องกับ การเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ คือ เซลล์จะแบ่งตัวและเจริญอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อเป็นเนื้องอกร้าย และมีศักยภาพในการรุกรานร่างกายส่วนข้างเคียง มะเร็งอาจแพร่กระจายไปยังร่างกายส่วนที่อยู่ห่างไกล ได้ผ่านระบบน้ำเหลืองหรือกระแสเลือด แต่ไม่ใช่เนื้องอกทุกชนิดจะเป็นมะเร็ง เพราะเนื้องอกไม่ร้ายจะไม่ ลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงและไม่กระจายไปทั่วร่างกาย อาการและอาการแสดงของโรคมะเร็งที่เป็นไป ได้รวมถึง มีก้อนเนื้อเกิดใหม่ มีเลือดออกผิดปกติ มีการไอเป็นเวลานาน การสูญเสียน้ำหนักที่อธิบายไม่ได้ และการเปลี่ยนแปลงในการขับถ่ายของลำไส้และอื่น ๆ แต่อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาอื่น ๆ ได้เช่นกัน[1] โรคมะเร็งเป็ น สาเหตุการเสี ยชีวิตอันดับต้ น ๆ ของคนทั่วโลก และมีแนวโน้ มว่าจะมี จํานวน เพิ่มขึ้นทุกปี องค์การอนามัยโลกพบว่าใน ปี พ.ศ. 2561 มีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่จํานวน 18.1 ล้านคน และ มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 9.6 ล้านคน โรคมะเร็งที่พบ 5 อันดับแรกของโลก ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็ง เต้านม มะเร็งลำไสใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระเพาะอาหาร ในบรรดาผู้ป่วยใหม่จํานวน 18.1 ล้านคน พบผู้ป่วยมะเร็งปอด 2.1 ล้านคน มะเร็งเต้านม 2.1 ล้านคน มะเร็งลำไส้ใหญ่ 1.8 ล้านคน มะเร็ง ต่อมลูกหมาก 1.3 ล้านคน และมะเร็งกระเพาะอาหาร 1.0 ล้านคน ส่วนผู้เสียชีวิตจํานวน 9.6 ล้านคน เป็นผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอด 1.8 ล้านคน มะเร็งลำไส้ 881,000 คน มะเร็งกระเพาะอาหาร 783,000 คน มะเร็งตับ 782,000 คน และมะเร็งเต้านม 627,000 คน[1] สำหรั บ ประเทศไทย ข้ อ มู ล สถิติ โรคมะเร็ง ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2557 ของสถาบั น มะเร็ ง แห่ งชาติ พบผู้ ป่ ว ยใหม่ จํ านวน 122,757 คน เป็ น เพศชาย จํานวน 59,662 คน และเพศหญิ ง จํานวน 63,095 คน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรกในชายไทย ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็ง ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ส่วนมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก ในหญิงไทย ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งปอด และจากข้ อมูลของกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่าในปี พ.ศ. 2557 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจํานวน 70,075 คน เป็นเพศชาย 40,161 คน เพศหญิง 29,914 คน ซึ่งถือว่ามะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยมะเร็งที่เป็น สาเหตุการเสียชีวิต 5 อันดับแรกในเพศชาย ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งช่องปากและคอหอย มะเร็งเม็ดเลื อดขาว และมะเร็งหลอดอาหาร ส่ วนมะเร็งที่เป็ นสาเหตุการ เสียชีวิต 5 อันดับแรกในเพศหญิง ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็ง ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก[1]
7
การดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว โดยใน ปี พ.ศ. 2556 กระทรวงสาธารณสุข มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ และมีการจัดประชุม ระดมความคิดเห็นของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคีเครือข่าย และ สมาคมวิชาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงได้มาซึ่งแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ พ.ศ. 2556 – 2560 ขณะเดี ย วกั น กระทรวงสาธารณสุ ข ได้ พั ฒ นาแผนพั ฒ นาระบบบริก ารสุ ข ภาพ (Service Plan) ภายใต้หลักการ “เครือข่ายบริการที่ไร้รอยต่อ” (Seamless Heath Service Network) สามารถเชื่อมโยง ตั้งแต่ระบบบริการปฐมภูมิจนถึงศูนย์เชี่ยวชาญระดับสูงเข้าด้วยกัน ดําเนินการในรูปแบบเครือข่ายบริการ แบ่งพื้น ที่รับผิดชอบเป็ น 12 เขตสุขภาพ และ กรุงเทพมหานคร (เขตสุ ขภาพที่ 13) มีระบบการส่งต่อ ภายในเครื อ ข่าย (Referral Hospital Cascade) เพื่ อให้ ป ระชาชนเข้ าถึ งบริการอย่ างทั่ ว ถึง ลดความ เหลื่อมล้ำ โดยมีกรอบในการดำเนินงานที่สำคัญ คือ การพัฒนาศักยภาพของสถานบริการแต่ละระดับให้ เป็ น ไปตามขีด ความสามารถที่ กําหนด มี การพั ฒ นาระบบบริการเพื่อ รองรับ และแก้ ไขปั ญ หาสุ ขภาพ ที่สำคัญของประเทศ ซึ่งโรคมะเร็งจัดเป็นหนึ่งในสาขาหลักของ Service Plan กรมการแพทย์โดยสถาบัน มะเร็งแห่งชาติ จึงได้นำแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งระดับชาติลงสู่การปฏิบัติ ใน Service Plan สาขาโรคมะเร็ ง และมีก ารจั ดทำนิ ย ามตั วชี้ วัด Service Plan สาขาโรคมะเร็งที่มี ความชัดเจน เข้ าใจ ตรงกัน สามารถใช้เป็นเครื่องมือหรือแนวทางในการจัดเก็ บข้อมูล การปฏิบัติงาน และประเมินติดตาม การดำเนินงานแก่บุคลากรที่ให้บริการสุขภาพด้านโรคมะเร็งของสถานบริการในแต่ละเขตสุขภาพ [1] และ ใน พ.ศ. 2561 - 2565 มีการปรับปรุงแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติใ ห้มีประสิทธิภาพ และเข้ากับสถานการณ์ โลกที่เปลี่ยนแปลงไปและใหเกิดความสอดคล้องกับแผนการพัฒนาระบบบริการ สุ ข ภาพ (Service Plan) พ.ศ. 2561 - 2565 โดยแผนดั ง กล่ า วมี ยุ ท ธศาสตร์ ในการดำเนิ น การ คื อ 1) ยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง (Primary Prevention) 2) ยุทธศาสตร์ด้านการตรวจหา โรคมะเร็ ง ระยะเริ่ ม แรก (Secondary Prevention) 3) ยุ ท ธศาสตร์ ด้ า นการรั ก ษาผู้ ป่ ว ยโรคมะเร็ ง (Tertiary Prevention Treatment) 4) ยุทธศาสตร์ด้านการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (Palliative care) 5) ยุทธศาสตร์ด้านสารสนเทศโรคมะเร็ง (Cancer Informatics) 6) ยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยเพื่อ ป้องกันและควบคุมโรคมะเร็ง (Cancer Control Research) 7) ยุทธศาสตร์ด้านการเสริมสร้างสมรรถนะ องค์กรในการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็ง (Capacity Building)[1] จากข้อมูลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกระทรวงสาธารณสุขตามรายงาน service plan สาขา มะเร็ง ในไตรมาส 1-2 พบว่า มีการดำเนินการเกี่ยวกับการคัดกรองมะเร็งเต้านมในสตรีอายุ 30 – 70 ปี, การคั ด กรองมะเร็ ง ปากมดลู ก ในสตรี อ ายุ 30 – 60 ปี , การคั ด กรองมะเร็ งลำไส้ ใหญ่ แ ละลำไส้ ต รง, การให้บริการส่องกล้องเพื่อตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง, การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA Test รวมทั้งมีข้อมูลการให้การรักษาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการป้องกันและรักษาใช้หลักการ ดูแลแบบบูรณาการทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย[2]
8
กรมการแพทย์แ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของกระทรวง สาธารณสุข โดยเป็นหนึ่งในทีม ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบประคับประคอง (Palliative care) โดยการใช้ ตำรับยาไทยและกัญชาทางการแพทย์แผนไทย3-4 ร่วมกับการดำเนินการศึกษาวิจัย (Research) ตำรับยา จากสมุนไพรกับโรคมะเร็ง และมีการสื่อสารกับประชาชนเพื่อปฏิบัติตัวให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง (Health literacy) เป็นต้น
9
แนวทำงกำรดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ำยแบบประคับประคอง
บทที่ 2
ตำมศำสตร์กำรแพทย์แผนไทยและกำรแพทย์ทำงเลือก
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกมีแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง ระยะท้าย แบบประคั บ ประคอง (Palliative care) โดยบู รณาการการใช้ ตำรับ ยาไทยและกั ญ ชาทางการแพทย์ แผนไทย ร่วมกับ การดำเนิน การศึกษาวิจัย (Research) ตำรับยาจากสมุนไพรกับโรคมะเร็ง และมีการ สื่ อ สารกั บ ประชาชนเพื่ อ ปฏิ บั ติ ตั ว ให้ ห่ า งไกลจากโรคมะเร็ ง (Health literacy) ซึ่ ง การดู แ ลผู้ ป่ ว ย โรคมะเร็งแบบประคับประคองโดยบูรณาการโดยการใช้ตำรับยาไทยและกัญชาทางการแพทย์แผนไทย มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองแบบบูรณาการ การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง องค์การอนามัยโลก[3] ได้ให้คำนิยามว่า หมายถึง การดูแล เพื่อทำให้ ผู้ ป่ ว ยและครอบครัว ที่กำลั งเผชิญ หน้ ากับความเจ็บ ป่วยที่ คุกคามชีวิตมีคุณ ภาพชีวิตที่ ดีขึ้น ผ่า นกระบวนการป้อ งกัน และบรรเทาความทุก ข์ท รมานด้ว ยการค้น หา ประเมิน และให้ก ารรัก ษา ภาวะเจ็บ ปวดของผู้ป่ว ย รวมไปถึงปัญ หาด้านอื่น ๆ ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญ ญาณตั้งแต่ เริ่ม ต้น ซึ่งปัจ จุบ ัน เทคโนโลยี และวิท ยาการทางการแพทย์เจริญ ก้าวหน้า ขึ้น อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดมีจ ำนวนเพิ่มมากขึน้ ทำให้ผู้ป่วยที่อยู่ใน ระยะสุดท้าย หรือภาวะเจ็บ ป่ว ยคุกคามชีวิตไม่ส ามารถรัก ษาให้ห ายได้มีจ ำนวนมาก ซึ่งไม่ใช่เฉพาะ ผู้ป่วยเหล่านี้เท่านั้นแต่รวมถึงญาติด้วยที่มีความต้องการการดูแลที่ตอบสนองทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้ แนวโน้มการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองได้รับการตอบรับดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ โดยเป้าหมายของการดูแลแบบประคับประคองต้องการให้เกิดการปรับตัว และ บรรเทาความทุกข์ทรมาน เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตในเวลาที่เหลือของผู้ป่วย การดูแลจึงมุ่งเน้นที่ระยะสุดท้าย ของชีวิต ที่ค วามตายเป็น สิ่ งที่ ม องเ ห็น ได้ว ่าจะต้ องเกิด ขึ้น ในอนาคตอั นใกล้ [4] ดั งนั้ น การดู แ ลแบบ ประคั บ ประคองต้ อ งมี ค วามแตกต่ า งจากการให้ ก ารดู แ ลปกติ ระบบบริ ก ารพยาบาลแบบ ประคับ ประคองที่พัฒนาขึ้น มีการนำเอาแนวคิดประเด็นสำคัญในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับ ประคองในผู้ป่ว ย ระยะสุดท้ายขององค์การอนามัยโลก มาเป็นแนวคิดในการกำหนดเนื้อหาการดำเนินงาน ซึ่งองค์การ อนามัยโลกกำหนดประเด็นสำคัญในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในผู้ป่วยระยะสุดท้ายมี 6 ด้าน ดังนี้ คือ 1. การยึดผู้ป่วยและครอบครัวเป็นจุดศูนย์กลาง 2. การดูแลแบบองค์รวมที่เน้นการบรรเทาความทุกข์ทรมานในทุกด้าน 3. ความต่อเนื่องในการดูแล 4. การดูแลแบบเป็นทีม 5. การส่งเสริมระบบสนับสนุนการดูแล
10
6. เป้ าหมายในการดูแลเพื่อเพิ่ ม คุณ ภาพชี วิต ของผู้ ป่ วยและครอบครัว ผู้ป ่ว ยที่ต้อ งการ การดูแลแบบประคับประคองนั้น ความหมายรวมถึงผู้ ที่เจ็ บ ป่วยเรื้อรั ง ซึ่งไม่มีโอกาสรักษาให้หายเป็น ปกติไ ด้ กลุ่ม ผู้ป่ว ยเหล่า นี ้จ ะมีปัญ หาสุข ภาพกายและสุข ภาพจิต ไปพร้อ ม ๆ กัน ดังนั้นจึงต้องการ การดูแลแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ เพื่อให้สามารถปรับตัว ให้เผชิญความเจ็บป่วยเรื้อรังนั้น ๆ พร้อมทั้งสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ แนวคิดการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองแบบบูรณาการโดยผสมผสานศาสตร์และองค์ความรู้ ทางการแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนปัจจุบัน และการแพทย์ทางเลือก เน้นด้านจิตใจเป็นหลัก ดังคำ กล่าวที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” เมื่อกายป่วยแล้วใจป่วยตาม ยิ่งทำให้อาการป่วยแย่ลงเรื่อย ๆ สิ่งสำคัญ คือ การช่วยเหลือให้ผู้ป่วยคลายทุกข์ คลายความกลัว ความกังวล มีความเข้าใจและยอมรับ การเจ็บป่วย รวมถึงความรู้สึกความเข้าใจของญาติด้วยโดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในระยะแรกจะมี อาการต่อต้านปฏิเสธการยอมรับ เมื่อ ทราบว่า เป็น โรคมะเร็ง เกิด ความกลัว ต่อ โรคร้าย ความกังวล ความห่วงครอบครัว เริ่มมีสารพัดคำถาม ความน้อยใจ สับสน มีอาการเครียด ซึมเศร้า ซึ่งเป็นโจทย์ของ ผู ้ดูแ ลว่า ทำอย่า งไรที่จ ะให้ผ ู้ป ่ว ยยอมรับ ต่อ อาการเจ็บ ป่ว ยและสามารถดำรงชีว ิต อยู ่อ ย่างเข้า ใจ มีค ุณ ภาพชีว ิต ที ่ด ี มีส ติส ัม ปชัญ ญะปล่อ ยวางได้แ ม้อ าการเจ็บ ปวดและความรู้ส ึก กระวนกระวาย จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตและจากไปอย่าง สงบ หรือ “ตายดี” นั่นเอง หลักการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองแบบบูรณาการตามหลักการแพทย์แผนไทยโดยรว ม ถือว่าเป็น วิถีชีวิต ดั้งเดิมของสังคมไทย เป็น วัฒ นธรรมและประเพณี ที่ด ำเนิน สืบ ต่อ กัน มาแต่โ บราณ ในตำราการแพทย์แผนไทยไม่ได้กล่าวถึงการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative care) ไว้อย่างชัดเจน หรือจัดแยกไว้เป็นหมวดหมู่เฉพาะทาง แต่มีการกล่าวถึงการดูแลสุขภาพและการรักษาอาการเจ็บป่วย แบบองค์ร วม ตั้งแต่ การเกิ ดสาเหตุ การเกิ ดโรค การดูแ ลสุ ขภาพโดยรวม การบำบั ด รักษาโรคต่ าง ๆ การรับรู้วาระสุดท้ายของผู้ป่วย จนถึงสิ้นสุดของชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบ ประคับประคองแบบบูรณาการ โดยเรียกหลักการนี้ว่า “ธรรมมานามัย” ซึ่งประกอบด้วย กายานามัย จิตตานามัย และชีวิตานามัย[5] ดังนี้ กายานามัย ประกอบด้วย ยา อาหาร การออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวร่างกาย การรักษา ด้วยยาสมุนไพรที่ถูกต้องกับโรคภัย อาหารที่เหมาะสมกับ ผู้ป่วย ซึ่งการดูแลในอดีตจะเป็นหมอพื้นบ้าน เป็น หลัก และคนในครอบครัวจะช่วยกันดูแล จัดยาและอาหารให้ แก่ผู้ป่วย และคอยดูแลการขยับตัว บีบนวดให้มีการผ่อนคลาย เป็นต้น จิตตานามัย คือ การดูแลจิตใจและความรู้สึกของผู้ป่วย การแพทย์แผนไทยให้ความสำคัญ ในด้านจิตใจของผู้ป่วยเป็นหลัก กล่าวคือ มุ่งหวังให้ผู้ป่วยมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับอาการเจ็บป่วย การดูแลดุจ เป็นญาติมิตร และการแวะเวียนกันมาเยี่ยมเยียนพูดคุยกับผู้ป่วยเสมอ ๆ จากบุคคลที่ผู้ป่วยรักและรู้จัก คุ ้น เคยนับ ถือ สำหรั บ การดู แ ลด้ า นจิ ต ใจสามารถทำได้ ห ลายวิ ธี เช่ น การทำสมาธิ (สมาธิ บ ำบั ด ) เป็นวิธีการช่วยสร้างความผ่อนคลายทั้งด้านร่างกาย จิตใจตลอดจนจิตวิญญาณ การฝึกสมาธิมีหลายวิธี เช่น การดูลมหายใจ (อานาปานสติ) การใช้คำบริกรรม การฝึกสมาธิแบบเคลื่อนไหว การฝึกสมาธิแบบ
11
SKT การฝึ ก สมาธิ ด้ ว ยจิ ต ประสานกาย ที่ พ บว่า มี ผ ลต่ อ ทั้ งการทำงานของระบบประสาทส่ ว นกลาง ระบบประสาทอัตโนมัติ อารมณ์และพฤติกรรม ระบบไหลเวียนเลือด และระบบภูมิต้านทานของร่างกาย นอกจากนี้ การใช้วิธีอื่น ๆ เช่น ศิล ปะบำบัด ดนตรีบำบัด และ หั ว เราะบำบัด ก็พบว่าได้ผลดีเช่นกัน และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของผู้ป่วย การให้ความรัก ความเข้าใจ และพิธีกรรมตามความเชื่อ ความศรัทธา เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้ป่วย เป็นการสร้างความผาสุกทางจิตวิญญาณของผู้ป่วยได้ ชีวิตานามัย คือ การดำเนินชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี สถานที่พักอาศัยโปร่งสะอาด สภาพแวดล้อม รอบบ้านมีต้นไม้ มีบรรยากาศร่มรื่น และมีสังคมที่มีการเอือ้ อาทรและสงบสุขตามประเพณี นอกจากนี้ ยังมีการใช้ตำรับยาแผนไทย ที่มีสรรพคุณทั้งช่วยรักษามะเร็ง เช่น ตำรับยารักษา มะเร็งท่อน้ำดีจากตำรายาศิลาจารึกวัดโพธิ์ ตำรับยอดยาแก้มะเร็งของอโรคยศาล วัดคำประมง และตำรับ ยาที่ ช่ ว ยดู แ ลอาการอื่ น ๆ ที่ พ บในผู้ ป่ ว ยโรคมะเร็ ง อาทิ อาการไข้ ปวด เหนื่ อ ย เพลี ย กิ น ไม่ ได้ นอนไม่ ห ลั บ วิ ง เวี ย น คลื่ น เหี ย น อาเจี ย น โดยตำรั บ ยาไทยที่ ใช้ ร่ ว มรั ก ษา เช่ น น้ ำ มั น กั ญ ชาสู ต ร อาจารย์เดชา ตำรับยาสุขไสยาสน์ และตำรับยาอื่น ๆ โดยมีรายละเอียดดังตารางที่ 1
12
ตารางที่ 1 แสดงรายชื่อตำรับยาที่ใช้บรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคมะเร็ง[6-8]
อาการ / อาการแสดง ปวดตามร่างกาย กล้ามเนื้อ
ตำรับยา
ขนาดและวิธีใช้
ยาผสมเถาวัลย์เปรียง รับประทานครั้งละ 900 มิ ล ลิ ก รั ม - 1.5 ก รั ม วั น ล ะ 3 ค รั้ ง ห ลั ง อาหารทันที
ยาผสมโคคลาน
ยากษัยเส้น
ข้อห้ามและข้อควรระวัง - ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ - ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะ อาหารเนื่องจากเถาวัลย์เปรียงมีกลไกออกฤทธิ์ เช่นเดียวกับยาแก้ปวดในกลุ่มยาต้านการอักเสบ ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal AntiInflammatory Drugs: NSAIDs) - การใช้ยานี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองของ ระบบทางเดินอาหาร - อาการไม่พึงประสงค์ ปวดท้อง ท้องผูก ใจสั่น ปัสสาวะบ่อย คอแห้ง
ชนิดชง รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 ก รั ม ช ง น้ ำ ร้ อ น ประมาณ 120 - 200 มิ ล ลิ ลิ ต ร วั นละ 3 ครั้ ง ก่อนอาหาร ชนิดต้ม นำตั ว ยาทั้ งหมดมาเติ ม ให้ น้ ำท่ ว มตั ว ยา ต้ ม น้ ำ เคี่ ย ว 3 ส่ ว น เหลื อ 1 ส่ ว น ดื่ ม ครั้ งละ 120 – 200 มิ ลลิ ลิ ตร วั น ล ะ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รับประทานครั้งละ 750 - ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และ มิลลิกรัม เด็ก - 1 กรัม วันละ 4 ครั้ง - ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้ ก่อนอาหารและก่อน - ควรระวังการรับประทานร่วมกับ ยาในกลุ่ม นอน สารกันเลือดเป็นลิ่ม (Anticoagulant) และยา ต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelets) - ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ ไต เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิด พิษได้
13
อาการ / อาการแสดง ปวดเส้นเอ็น ข้อ กล้ามเนื้อ มือเท้า ตึงหรือชา
ตำรับยา ยาแก้ลม อัมพฤกษ์
ยาสหัศธารา
ขนาดและวิธีใช้
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 กรั ม ชงน้ ำ ร้ อ นดื่ ม ประมาณ 120 – 200 มิล ลิ ลิ ต ร วัน ละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 - 1 .5 ก รั ม วั น ล ะ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
- ห้ามใช้กับหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีไข้ และเด็ก - ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ ไต เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิด พิษได้ - ห้ามใช้กับหญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีไข้ - ขณะใช้ยาในช่วงฤดูร้อนต้องระมัดระวัง ปริมาณการใช้ยาและควรดื่มน้ำให้มาก หรือเมื่อ มีแผลร้อนในปากควรหยุดใช้ยา - ควรระวังการบริโภคในผู้ป่วยโรคความดันเลือด สูง โรคหัวใจ โรคแผลเปื่อยเพปติก และโรคกรด ไหลย้อน เนื่องจากเป็นตำรับยารสร้อน - ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ ไต เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิด พิษได้ - ควรระวังการใช้ยานี้ ร่วมกับยา Phenytoin, Propranolol, Theophylline และ Rifampicin
ยาสารสกัด เถาวัลย์เปรียง
รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารทันที
ยาเถาวัลย์ เปรียง
รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม - 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ทันที
14
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ - ควรระวังการใช้กับผู้ป่วยโรคแผลเปื่อยเพปติก เนื่องจากเถาวัลย์เปรียงออกฤทธิ์คล้ายยาแก้ปวด กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-Inflammatory Drugs: NSAIDs) - อาจทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดิน อาหาร
อาการ / อาการแสดง ปวดเส้นเอ็น ข้อ กล้ามเนื้อ มือเท้า ตึง หรือชา (ต่อ)
ตำรับยา ยาขี้ผึ้งไพล (ยาภายนอก) ยาประคบ (ยาภายนอก)
ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เคล็ด ยอก บวม ฟกช้ำ
ยาพริก (ครีม, เจล) (ยาภายนอก)
ขนาดและวิธีใช้ ทาและถูเบา ๆ บริเวณ ที่ มี อ าการ วั น ละ 2 3 ครั้ง นำยาประคบไปนึ่ง แล้ว ใช้ ป ระคบขณ ะยั ง อุ่ น วั น ละ 1 - 2 ครั้ ง โดย หลั ง ใช้ แ ล้ ว ผึ่ ง ให้ แ ห้ ง ก่อนนำไปเก็บไว้ในตู้เย็น
ข้อห้ามและข้อควรระวัง - ห้ามทายานี้บริเวณขอบตาและเนื้อเยื่ออ่อน - ห้ามทายานี้บริเวณผิวหนังที่มีบาดแผลหรือมี
แผลเปิด - ห้ามประคบบริเวณที่มีบาดแผล - ห้ามประคบเมื่อเกิดการอักเสบเฉียบพลัน - ไม่ควรใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไปโดยเฉพาะบริเวณ ผิวหนังที่เคยเป็นแผลมาก่อนหรือบริเวณที่มีกระดูก ยื่น และต้องระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยโรคเบาหวาน อัมพาต เด็กและผู้สูงอายุ เพราะมักมีความรู้สึกใน การรับรู้และตอบสนองช้า อาจทำให้ผิวหนังไหม้พอง ได้ง่าย - หลังจากประคบสมุนไพรเสร็จใหม่ๆ ไม่ควรอาบน้ำ ทันที เพราะเป็นการล้างตัวยาจากผิวหนัง และ ร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวได้ทัน (จากร้อนเป็น เย็นทันที ทันใด) อาจทำให้เป็นไข้ได้ - ระวังการใช้กับผู้ที่แพ้สมุนไพร ทาบริเวณที่ ปวด 3 – 4 - ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ Capsaicin ครั้ง ต่อวัน - ห้ามสัมผัสบริเวณตา - ระวัง อย่าทายาพริกบริเวณผิวที่บอบบางหรือ บริเวณผิวหนังที่แตกเนื่องจากทำให้เกิดอาการ ระคายเคือง - การใช้ร่วมกับยารักษาโรคหัวใจกลุ่ม Angiotensin-Converting enzyme Inhibitor (ACE inhibitor) อาจทำให้เกิดอาการไอเพิ่มขึ้น - อาจเพิ่มการดูดซึมของยาโรคหอบหืด คือ Theophylline ชนิดออกฤทธิ์เนิ่น - ควรระวังเมื่อใช้ยาพริกร่วมกับ ยากลุ่มต่อไปนี้ Angiotensin Converting Enzyme Inhibitors, Anticoagulants, Antiplatelet Agents, Barbiturates, Low Molecular Weight Heparins, Theophylline, Thrombolytic Agents
15
อาการ / อาการแสดง ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เคล็ด ยอก บวม ฟกช้ำ (ต่อ) เหนื่อย อ่อนเพลีย คลื่นไส้ วิงเวียน นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย
วิงเวียน คลื่นเหียน อาเจียน (ลมจุกแน่น ในอก) เบื่ออาหาร ท้องอืด อ่อนเพลีย
ตำรับยา
ขนาดและวิธีใช้
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
ยาไพล (ครีม, เจล) (ยาภายนอก) ยาน้ำมันไพล (ยาภายนอก) ยาหอม ทิพโอสถ ยาหอม เทพจิตร
ทาและถูเบา ๆ บริเวณ ที่มีอาการ วันละ 2 – 3 ครั้ง
- ห้ามทาบริเวณขอบตาและเนื้อเยื่ออ่อน - ห้ามทาบริเวณผิวหนังที่มีบาดแผลหรือมีแผล เปิด
รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 – 1.4 ก รั ม เมื่ อ มี อาการทุก 3 – 4 ชั่วโมง น้ ำ ก ร ะ ส า ย ย า ที่ ใช้ (น้ำดอกไม้)
ยาหอมนวโกฐ
รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 - 2 กรั ม ทุ ก 3 - 4 ชั่ว โมง เมื่ อมีอาการ ไม่ ควรเกิน วันละ 3 ครั้ง น้ำกระสายยาที่ใช้ • กรณี แก้ ล มวิ ง เวี ย น คลื่นเทียนใช้น้ำลูกผักชี (15 กรัม) หรือเทียนดำ (15 กรัม) • กรณี แ ก้ ล มปลายไข้ ใช้ก้านสะเดา (33 ก้าน ห รื อ 1 5 ก รั ม ) ลู ก กระดอม (7 ลูก หรือ15 กรัม) และเถาบอระเพ็ด (15 กรัม) *ถ้าหาน้ำกระสายยา ไม่ได้ ให้ใช้น้ำสุกแทน
- ควรระวังผู้ป่วยที่ใช้ยาในกลุ่มสารกันเลือดเป็น ลิ่ม และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด - ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ ไต เนื่องจาก อาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิด พิษได้ - ควรระรังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสร ดอกไม้ - ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีไข้ - ควรระวังการรับประทานร่วมกับยาในกลุ่มสาร กันเลือดเป็นลิ่ม (Anticoagulant) และยาต้าน การจับตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelets) - ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสร ดอกไม้
16
อาการ / อาการแสดง วิงเวียน อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ
จุกเสียด คลื่นเทียน อาเจียน เหนื่อย อ่อนเพลีย อ่อนเพลีย ไม่มีแรงหลังฟื้น จากไข้ ท้องเสีย
ไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อนภายใน
ตำรับยา
ขนาดและวิธีใช้
ยาหอมแก้ลมวิงเวียน รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 600 มิลลิกรัม 1 กรั ม ละลายน้ ำสุ ก เมื่ อ มี อ าการ ทุ ก 3 - 4 ชั่ ว โ ม ง ไม่ ค ว ร เกิ น วันละ 3 ครั้ง ยาหอมอินทจักร์ รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 - 2 กรั ม ทุ ก 3 - 4 ชั่ ว โ ม ง ไม่ ค ว ร เกิ น วันละ 3 ครั้ง ยาบำรุงโลหิต รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 กรั ม วั น ละ 2 ครั้ ง เช้าและเย็น ยาตรีเกสรมาศ รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 ก รั ม ช ง น้ ำ ร้ อ น ประมาณ 120 - 200 มิ ล ลิ ลิ ต ร ดื่ ม ขณ ะยา ยั ง อุ่ น วั น ล ะ 4 ค รั้ ง ก่ อ นอาหารและก่ อ น นอน ยามะระขี้นก ชนิดชง รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม – 1 กรัม วัน ละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
- ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 1 เดือน - หากใช้เกินจากขนาดที่แนะนำ อาจทำให้ ท้องผูก - ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสร ดอกไม้
- ห้ามใช้ในเด็กหรือหญิงให้นมบุตร เนื่องจากมี รายงานว่าทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่าง มากจนเกิดอาการชักได้ - ไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากอาจบดบังอาการของไข้เลือดออก ชนิดแคปซูลและชนิด - หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน3 วันแล้ว อาการไม่ เม็ด ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ รับประทานครั้งละ 500 - ควรระวังการใช้ยานี้ร่วมกับยาลดน้ำตาลใน มิลลิกรัม – 1 กรัม วัน เลือดชนิดรับประทาน (Oral Hypoglycemic ละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร Agents) อื่น ๆ หรือร่วมกับการฉีดอินซูลิน เพราะอาจทำให้เกิดการเสริมฤทธิ์กันได้ - ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคตับ เพราะเคย มีรายงานว่าทำให้การเกิดตับอักเสบได้
17
อาการ / อาการแสดง ไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อนภายใน
ตำรับยา ยาเขียวหอม
ยาจันทน์ลีลา
ยาประสะจันทร์แดง
คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด แน่นจุกเสียด
ยาขิง
ขนาดและวิธีใช้
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
ชนิดผง รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 ก รั ม ทุ ก 4 – 6 ชั่ ว โมง เมื่ อ มี อ าการ ชนิดเม็ด รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 ก รั ม ทุ ก 4 – 6 ชั่ ว โมง เมื่ อ มี อ าการ ชนิดผง รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 – 2 ก รั ม ล ะ ล า ย น้ำสุก ทุก 3 – 4 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ ชนิดแคปซูลและชนิด เม็ด รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 – 2 กรั ม ทุ ก 3 – 4 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1กรัม ทุก 3 – 4 ชั่วโมง
- ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ ละอองเกสร ดอกไม้ - ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากอาจบดบังอาการของไข้เลือดออก - หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 3 วัน แล้วอาการ ไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์
- ป้ อ งกั น และบรรเทา อาการคลื่ น ไส้ อ าเจี ย น จากการ เมารถ เมาเรือ รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 - 2 กรัม ก่อนเดินทาง 30 น าที - 1 ชั่ ว โม ง หรือเมื่อมีอาการ
18
- ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากอาจบดบังอาการของไข้เลือดออก - หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 3 วัน แล้วอาการ ไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
- ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสร ดอกไม้ - ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากอาจบดบังอาการของไข้เลือดออก - กรณีบรรเทาอาการไข้ ร้อนใน กระหายน้ำ หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 3 วันแล้วอาการไม่ดี ขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ - ควรระวังการใช้ยานี้ร่วมกับสารกันเลือดเป็น ลิ่ม (Anticoagulants) และยาต้านการจับตัว ของเกล็ดเลือด (Antiplatelets) - ควรระวังการใช้กับผู้ป่วยโรคนิ่ว ในถุงน้ำดี ยกเว้นภายใต้การดูแลของแพทย์ - ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ
อาการ / อาการแสดง ท้องผูก
ท้องผูก เถาดาน
ตำรับยา
ขนาดและวิธีใช้
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
ยาชุมเห็ดเทศ
ชนิดชง รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 3 - 6 กรั ม ชงน้ ำ ร้ อ น ประมาณ 120 - 200 มิลลิลิตร นาน 10 นาที วันละ 1 ครั้งก่อนนอน ชนิดแคปชูล รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 3 - 6 กรัม วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน
ยามะขามแขก
ชนิดชง รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 2 ก รั ม ช ง น้ ำ ร้ อ น ประมาณ 120 – 200 มิลลิลิตรก่อนนอน
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะทางเดินอาหารอุดตัน (Gastrointestinal obstruction) หรือปวดท้อง โดยไม่ทราบสาเหตุ - ควรระวังการใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้ นมบุตร - ควรระวังการใช้ในผู้ป่วย Inflammatory Bowel Disease - การรับประทานยานี้ในขนาดสูง อาจทำให้เกิด ไตอักเสบ (Nephritis) - ไม่ควรใช้ยานี้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะจะทำให้ท้องเสีย ซึ่งส่งผลให้มีการสูญเสีย น้ำและเกลือแร่มากเกินไปโดยเฉพาะ โพแทสเซียมและทำให้ลำไส้ใหญ่ชินต่อยา ถ้าไม่ ใช้ยาจะไม่ถ่าย - อาการไม่พึงประสงค์ อาจทำให้เกิดอาการปวด มวนท้อง เนื่องจากการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ - ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะทางเดินอาหารอุดตัน (Gastrointestinal Obstruction) หรือปวดท้อง โดยไม่ทราบสาเหตุ - ควรระวังการใช้ยานี้กับหญิงตั้งครรภ์และหญิง ให้นมบุตร - ควรระวังการใช้ในผู้ป่วย Inflammatory Bowel Disease - การรับประทานยาในขนาดสูง อาจทำให้เกิดไต อักเสบ (Nephritis) - ไม่ควรใช้ยานี้ติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะจะ ทำให้ท้องเสียซึ่งส่งผลให้มีการสูญเสียน้ำและ เกลือแร่มากเกินไปโดยเฉพาะโพแทสเซียม - การใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้ ลำไส้ใหญ่ชินต่อยาถ้าไม่ใช้ยาจะไม่ถ่าย - ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยที่ท้องเสียง่าย
ชนิ ด แคปซู ล และ ชนิ ด เม็ ด รับประทานครั้งละ 800 มิลลิกรัม – 1.2 กรัม ก่อนนอน
ยาตรีผลา
รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 – 2 กรั ม ชงน้ ำ ร้ อ น ประมาณ 120 – 200 มิ ล ลิ ลิ ต ร ทิ้งไว้ 3 – 5 นาที
19
อาการ / อาการแสดง ท้องผูก เถาดาน
ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
ตำรับยา
ขนาดและวิธีใช้
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
ยาธรณีสัณฑะฆาต
รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม – 1 กรัม วัน ละ 1 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้าหรือก่อนนอน
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีไข้ และเด็ก - ควรระวังการรับประทานร่วมกับยาในกลุ่มสาร กันเลือดเป็นลิ่ม (Anticoagulant) และยาต้าน การจับตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelets)
ยาธาตุบรรจบ
รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 ก รั ม ล ะ ล า ย น้ ำ กระสายยาวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร เฉพาะ เมื่อ มีอาการ รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ 1 5 – 3 0 มิ ล ลิ ลิ ต ร วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีไข้ - ควรระวังการรับประทานร่วมกับยาในกลุ่มสาร กันเลือดเป็นลิ่ม (Anticoagulant) และยาต้าน การจับตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelets)
ยาธาตุอบเชย
ท้องเสีย ธาตุไม่ปกติ
กล้วยผง
ยาเหลืองปิดสมุทร
เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ
ศุขไสยาศน์ -
- ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับไต เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิด พิษได้ รั บ ป ร ะ ท า น ค รั้ งล ะ - ไม่ควรใช้กับผู้ที่ท้องผูก 10 กรัม ชงน้ำร้อน 120 - การรับประทานยานี้ติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้ – 200 มิล ลิ ลิ ตร วันละ ท้องอืดได้ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รับประทาน 0.1 กรัม / เม็ด รับประทานครั้งละ 5 – 7 เม็ด เวลาก่อนอาหาร 0 .5 - 1 ก รั ม วั น ล ะ - ห้ามใช้ในผู้ที่มีไข้ และผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี 1 ครั้ง ก่อนนอน - ห้ามใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กดระบบประสาท น้ำกระสายยาที่ใช้ ส่วนกลาง เช่น ยานอนหลับ และยาต้านการ - น้ำผึ้งรวง ชัก หรือสิ่งที่มีผสมแอลกอฮอล์ - ถ้าหาน้ำกระสายยา - ระวังการรับประทานร่วมกับยาในกลุ่มสารกัน ไม่ได้ ให้ใช้น้ำสุกแทน เลือดเป็นลิ่ม (Anticoagulant) และยาต้าน การจับตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelets) - ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับไต - ระวังการใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคแผลเปื่อยเพปติค และโรคกรด ไหลย้อน
20
อาการ / อาการแสดง แก้นอนไม่หลับ
เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ
ตำรับยา
ขนาดและวิธีใช้
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
ตำรับยาแก้ นอนไม่หลับ/ แก้ไข้ผอม เหลือง
เริ่มต้นให้ รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้าและเย็น ติดต่อกัน 7 – 15 วัน อาจเพิ่มยาได้ถึง 4 กรัม ต่อวัน น้ำกระสายยาที่ใช้ - น้ำมะพร้าว น้ำผึ้ง น้ำส้มซ่า น้ำตาล ทราย กระทือสด น้ำ เบ็ญจทับทิมต้ม หากไม่มีให้ใช้น้ำต้ม สุก
- ห้ามใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กดระบบประสาท ส่วนกลาง เช่น ยานอนหลับ และยาต้านการชัก รวมทั้งแอลกอฮอล์ หรือสิ่งที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ - ควรระวังการรับประทานร่วมกับยาในกลุ่มสารกัน เลือดเป็นลิ่ม (anticoagulant) และยาต้านการแข็งตัว ของเลือด (antiplatelets) - ควรระวังการใช้รว่ มกับยา phenytoin, propranolol, theophylline และ rifampicin เนื่องจากตำรับนี้มีพริกไทยในปริมาณสูง - ยานี้อาจทำให้ง่วงซึมได้ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ ยานพาหนะ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล - ควรระวังในผู้ที่ประกอบอาชีพทางน้ำหรือผู้ที่ร่างกาย ต้องสัมผัสความเย็นเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เป็น ตะคริวตรงบริเวณท้องได้
น้ำมันกัญชา
รับประทานขนาด - ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสกัด 1 หยด ทางปาก กัญชา แล้วปรับขนาดใช้ตาม - ห้ามใช้กัญชาที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ THC (deltaคำสั่งของแพทย์แผน 9-tetrahydrocannabinol) ในผู้ป่วยโรคหัวใจและ ไทย และแพทย์แผน หลอดเลือดขั้นรุนแรง ปัจจุบัน หรือไม่สามารถควบคุมอาการได้ รวมถึงห้ามใช้ในผู้ที่ มีปัจจัยเสี่ยงหัวใจขาดเลือด - ห้ามใช้กัญชาที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ THC (delta-9tetrahydrocannabinol) เด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กัญชาที่มีสาร THC ความเข้มข้นสูงในผู้ป่วยที่มี ประวัติความผิดปกติทางจิตเวช และห้ามใช้ในบุคคล อายุต่ำกว่า 25 ปี ยกเว้นในกรณีที่แพทย์พิจารณาแล้ว ว่าน่าจะได้รับประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง - ยานี้อาจทำให้ง่วงซึม หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น
21
อาการ / อาการแสดง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ (ต่อ)
แก้กษัยเหล็ก ท้องเป็นเถาดาน ท้องมาน
ตำรับยา
ขนาดและวิธีใช้
น้ำมันกัญชา (ต่อ)
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
- ความดันโลหิตสูง มึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน กระวน กระวาย ซึม - ไม่ควรใช้กัญชาในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือ หลอดเลือดสมองที่รุนแรง เนื่องจากอาจทำให้ความ ดันเลือดต่ำ บางครั้งอาจทำให้ความดันเลือดสูง เป็น ลมหมดสติ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดสมอง - ไม่ควรใช้กัญชาในผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของตับ และไตบกพร่องรุนแรง - ควรใช้อย่างระมัดระวังในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา ร่วมกับยากล่อมประสาท หรือยาออกฤทธิ์ทางจิตอื่น ๆ เนื่องจากอาจเสริมฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง หรือ มีผลกระทบทางจิตประสาท น้ำมันสนั่นไตร - ใช้น้ำมันทารีด - ระวังการรับประทานร่วมกับยาในกลุ่มสารกันเลือด ภพ ท้อง นวดคลึง เป็นลิ่ม (Anticoagulant) และยาต้านการจับตัวของ บริเวณรอบสะดือ เกล็ดเลือด (Antiplatelets) ถึงชายโครง ทิศ - ควรระวังการใช้ร่วมกับยา phenytoin, ตามเข็มนาฬิกา propranolol, theophylline และ rifampicin 3 วันก่อน แล้วจึง เนื่องจากตำรับนี้มีพริกไทยเป็นส่วนประกอบ รับประทานยา - ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน น้ำมัน ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับไตเนื่องจากอาจเกิดการ สะสมของการบูรและเกิดพิษได้ - รับประทานครั้ง - ระวังการใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรค ละ 3 - 5 มล. แผลเปื่อยเพปติค และโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากเป็น วันละ 1 ครั้ง ตำรับยารสร้อน ก่อนอาหารเช้า - ควรระวังในการทาบริเวณผิวที่บอบบางหรือผิวหนังที่ แตก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เป็นเวลา 3 วัน
22
อาการ / ตำรับยา อาการแสดง แก้ลมจุกเสียด ลมปะทะ ตำรับยา อก ลมตามืดหูหนัก ปวด ทำลายพระ หัวมึนตึง ลมเมื่อยขบใน สุเมรุ ร่างกาย ลมสะดุ้งและสั่น ไป ใช้ในมะเร็งที่เกี่ยวข้อง กับระบบเลือดและ น้ำเหลืองเสีย มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก กรณีผู้ป่วย เรื้อรังที่มีไฟธาตุต่ำ อ่อนเพลีย เกล็ดเลือดต่ำ)
แก้คลื่นเหียนอาเจียน ที่ เกิดจากไฟย่อยอาหาร ผิดปกติ
ตำรับยาอัคคิ นีวคณะ
ขนาดและวิธีใช้
ข้อห้ามและข้อควรระวัง
เริ่มต้นให้ รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้าและเย็น ระยะเวลาในการใช้ ยา 7 วัน อาจเพิม่ ยา ได้ถึง 4 กรัม ต่อวัน
- ควรระวั ง การใช้ ใ นผู้ ป่ ว ยโรคความดั น เลื อ ดสู ง โรคหัวใจ โรคแผลเปื่อยเพปติก โรคกระเพาะอาหาร และโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากเป็นตำรับยารสร้อน - ควรระวังการใช้ยานี้ ร่วมกับยา phenytoin, propranolol, theophylline และ rifampicin เนื่องจากตำรับนี้มี พริกไทยในปริมาณสูง - ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ปว่ ยสูงอายุ - ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ ไต เนื่องจากอาจเกิด การสะสมของการบูรและเกิดพิษได้
น้ำกระสายยาที่ใช้ - น้ำอ้อยแดง น้ำนม โค หากไม่มีให้ใช้น้ำ ต้มสุก เริ่มต้นให้ รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า เย็น ติดต่อ 3 – 5 วัน อาจเพิ่มยาได้ถึง ครั้งละ 4 กรัม ต่อวัน น้ำกระสายยา ใช้ น้ำผึ้งรวง หรือน้ำต้ม สุก
23
- ควรระวังการรับประทานร่วมกับยาในกลุ่มสารกัน เลือดเป็นลิ่ม (anticoagulant) และยาต้านการแข็งตัว ของเลือด (antiplatelets) - ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ผู้ป่วยโรคแผลเปื่อยเพปติก โรคกระเพาะ อาหารและกรดไหลย้อน เนื่องจากเป็นตำรับยารสร้อน
การดูแลด้านอาหาร (โภชนบำบัด) อาหาร ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งส่วนหนึ่ง จะมีปั ญ หาทางด้านการกลื น การย่อย การรับรส รวมทั้ งความอยากอาหาร ซึ่งมีผ ลโดยตรงต่อภาวะ โภชนาการของร่างกาย ดังนั้น การกำหนดเมนูอาหารจึงมีความสำคัญในการแก้ไขและปรับสมดุลธาตุ ในร่างกายของผู้ป่วย ตัวอย่างของสมุนไพรที่ใช้เป็นอาหารและมีสรรพคุณบำบัดอาการของโรคมีดังต่อไปนี้ ตารางที่ 2 แสดงรายชื่อสมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร ชื่อสมุนไพร ตะไคร้ ข่า กระชาย ขิง หอมแดง กระเทียม พริก ผิวมะกรูด
สรรพคุณ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับปัสสาวะ บำรุงร่างกาย เจริญอาหาร ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง แก้ปวดบิดมวน บำรุงร่างกาย ขับลม แก้ลมวิงเวียน แน่นหน้าอก เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับลม แก้คลื่นไส้อาเจียน ช่วยให้นอนหลับ เป็นยาอายุวัฒนะ แก้อาการเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย เป็นลม เจริญธาตุ แก้อาการวิงเวียน มืนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ ปรับสมดุลในร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร แก้อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก และลดเสมหะ ขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด แน่นท้อง บำรุงหัวใจ แก้ลม หน้ามืด วิงเวียน
เมนูอาหารแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ได้แก่ ต้มยำเห็ด 3 อย่าง (ใส่ข่า ขมิ้น ใบมะกรูด พริก มะนาว ตะไคร้ เห็ ด ) แกงขี้ เหล็ ก แกงป่ า แกงเหลื อ ง แกงเลี ย ง เห็ ด หู ห นู ผั ด ขิ ง เครื่ อ งตุ๋ น ยาจี น น้ำพริกผักลวก ผัดผักโขม แกงส้มดอกแค เครื่องดื่มสมุนไพรที่แนะนำ เพื่อบำบัดและดูแลสุขภาพผู้ป่วย ได้แก่ น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำมะตูม น้ำมะนาว น้ำผักผลไม้รวม เช่น น้ำสับปะรด-กระชาย-ใบสะระแหน่ เป็นต้น สำหรับอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง/อาหารแสลง มีดังต่อไปนี้ - อาหารประเภทเนื้อสัตว์และเครื่องในที่ย่อยยาก อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด อาหาร ไม่ย่อย ในศาสตร์การแพทย์แผนไทย เนื้อสัตว์ถือว่าเป็นอาหารบำรุงเชื้อโรค ดังนั้นต้องระวังและ หลีกเลี่ยง - อาหารหมักดอง เช่น ขนมจีน ผั กกระป๋อง ผักกาดดอง อาหารแช่แข็ง เช่น ไส้ กรอก นมเปรี้ยว โยเกิร์ต ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม ด้วยอาหารเหล่านี้เป็นอาหารบำรุงธาตุไฟให้มากขึ้น - ผักที่มีกลิ่ น ฉุน มีผลให้ ท้องอืด กรดแก๊ส มาก เป็นเหตุให้ ธาตุแปรปรวน ทำให้ อาการ กำเริบ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ - อาหารปิ้ง ย่าง (มีรอยดำ รอยไหม้) น้ำมันเก่าทอดซ้ำ - ปลาไม่มีเกล็ด เช่น ปลาดุก ปลาไหล ปลาสวาย ปลาโอ ปลาอินทรีย์ - ข้าวเหนียว ย่อยยากกว่าข้าวจ้าว - พืชผักรสเย็น ที่อาจมีปัญหากับระบบย่อยอาหาร
24
- ผลไม้ที่มีรสหวานจัด ร้อนจัด เย็นจัด หรือฝาดจัด เช่น ขนุน ละมุด ทุเรียน กล้ วยไข่ กล้วยหอม แตงโม แตงไทย แคนตาลูป ลำไย ฝรั่ง กล่ าวโดยสรุ ป คื อ เลื อ กเมนู อ าหารที่ ห ลากหลายเพื่ อ สร้ างความสมดุ ล ไม่ เน้ น รสใดรสหนึ่ ง มากจนไป เน้นความกลมกล่อม
25
แนวทำงกำรดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ำยแบบประคับประคองของ โรงพยำบำลกำรแพทย์แผนไทยและกำรแพทย์ผสมผสำน กรมกำรแพทย์แผนไทยและกำรแพทย์ทำงเลือก
บทที่ 3
การดูแลผู้ ป่ วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและ การแพทย์ผสมผสาน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก[8] มีขั้นตอนแสดงตาม flow chart ดังต่อไปนี้ ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง ตรวจประเมินคัดกรอง
ใช่
ผ่านเกณฑ์การคัดกรอง
ไม่ใช่
แพทย์แผนปัจจุบัน
OPD แพทย์แผนไทย (คลินิกมะเร็ง) - การตรวจประเมิน - การประเมิน ESAS และ PPS
เข้าเกณฑ์การรับรักษาผู้ปว่ ยใน
- รักษาด้วยวิธีทางการแพทย์แผนไทย - จ่ายยา ปรับตรีธาตุ/พื้นฐาน (7-14 วัน) - ให้คำแนะนำ/ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม - ประเมินผลและติดตามการรักษา - ติดตามอาการ
ดีขึ้น
ไม่ใช่
ใช่
ใช่
รับไว้เป็นผู้ป่วยใน (admit)
- ปรับการรักษา - รักษาด้วยวิธีทางการแพทย์แผนไทย - จ่ายยา ที่มีส่วนผสมกัญชา (7-14 วัน) - ให้คำแนะนำ/ปรับเปลีย่ นพฤติกรรม - ประเมินผลและติดตามการรักษา - ติดตามอาการ
- รักษา - ให้คำแนะนำ - ประเมินผลและติดตามผลการรักษา 1 เดือน
ไม่ใช่
จำหน่าย
ใช่
ไม่ใช่ ดีขึ้น
ใช่
- สิ้นสุดการรักษา - ติดตามคนไข้ต่อเนื่อง
รูปภาพที่ 1 แสดงขั้นตอนการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคอง ด้วยการแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน
26
แนวทางการคัดกรอง และการวินจิ ฉัยโรค 1. เกณฑ์ที่รับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะประคับประคองเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลการแพทย์ แผนไทยฯ 1) ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะที่ 3, 4 ที่สมัครใจรับการรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย 2) มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป 3) ไม่มีประวัติการแพ้ยาสมุนไพรในตำรับยาที่ใช้รักษาโรคธาตุพิการ (มะเร็ง) ของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน 4) ผู้ป่วยมีสัญญาณชีพและอาการทางคลินิกคงที่ (Vital Signs Stable & Clinically Stable) 5) ผู้ป่วยที่ไม่อยู่ระหว่างการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบนั หรืออยู่ระหว่างการรักษา และได้รับการอนุญาตจากแพทย์เจ้าของไข้ 2. เกณฑ์ที่ไม่รับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะประคับประคองเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลการแพทย์ แผนไทยฯ 1) ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง หรือยังคงอยู่ในช่วงการรักษาด้วยวิธีทาง แผนปัจจุบัน เช่น การฉายรังสี, เคมีบำบัด เป็นต้น 2) ไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์เจ้าของไข้ 3) เป็นผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพที่ไตรุนแรง โดยมีค่า Serum creatinine สูงกว่า 2.0 มก./ดล. และ/หรือ ค่า BUN สูงกว่า 40 มก./ดล. 4) มีความผิดปกติของค่าอิเล็กโตไลต์ ที่รุนแรง (Electrolyte abnormalities) เช่น ภาวะ โซเดียมในเลือดต่ำ (hyponatremia), ภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ำ (hypokalemia) หรือภาวะเลือดเป็นกรด (acidosis) เป็นต้น 5) ผู้ป่วยมีภาวะทางคลินิกอื่น ๆ ซึ่งแพทย์ให้ความเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย 6) หญิงตั้งครรภ์ หรือ มารดาอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร 7) ผู้ป่วยโรคติดต่อร้ายแรง หรือผู้ป่วยโรคติดเชื้อในระยะแพร่กระจาย การตรวจประเมิน -
การตรวจประเมินอาการทางคลินิก/ การจับชีพจร การตรวจร่างกายตามเบญจอินทรีย์ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ การประเมิน ESAS และ PPS 1) แบบประเมิน ESAS (Edmonton symptom assessment system) เป็นการประเมินและติดตามอาการต่าง ๆ ในผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นลักษณะแบบสอบถามให้ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลเป็นผู้ประเมินทั้งหมด 10 ด้าน
27
ได้แก่ อาการปวด เหนื่อย/อ่อนเพลี ย คลื่นไส้ ซึมเศร้า วิตกกังวล อาการง่วงซึม อาการเบื่ออาหาร ความสบายดีทั้งกายและใจ เหนื่อยหอบ และอาการอื่น ๆ 2) แบบประเมิน PPS (Palliative Performance Scale) เป็นการประเมินระดับของผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์แผนไทย - การจ่ายยาสมุนไพรตำรับต่าง ๆ - การทำหัตถการอื่น ๆ ตามความเหมาะสม อาทิ การนวด ประคบ พอก หรือ แช่สมุนไพร เป็นต้น การให้คำแนะนำ/ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม - ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 - 10 แก้ว/วัน แต่ในกรณีทมี่ ีภาวะท้อง/ขาบวม ให้ดื่มพอประมาณ - ดื่มน้ำสมุนไพรรสเย็น เช่น บัวบก ใบย่านาง ใบเตย - ควรหลีกเลีย่ งของหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร - หลีกเลีย่ งการบริโภคเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ หรืออาหารที่ย่อยยาก - ในกรณีของมะเร็งกลุ่มทางเดินอาหารที่มีภาวะร้อนในช่องท้อง แนะนำให้พอกยา สมุนไพรเบื้องต้น เช่น ปูนแดงผสมใบย่านาง เพื่อลดพิษร้อน - แนะนำเรื่องอื่น ๆ เช่น การรักษาความสะอาด การสวดมนต์ นั่งสมาธิ การคลายเครียด เป็นต้น การประเมินผลและการติดตามผลดีขึ้น นัดผู้ป่วยทุก ๆ 1 - 3 เดือน เพื่อติดตามอาการ (อาจนัดติดตามให้ตรงกับแพทย์เจ้าของไข้นัด) - ประเมินอาการทางคลินิกเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการรักษา - การประเมินผล PPS และ ESAS เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาและปรับเปลี่ยนการ ให้คำแนะนำ การจำหน่าย - อาการผู้ปว่ ยดีขึ้น ตามแบบประเมิน PPS และ ESAS เมื่อสิ้นสุดการรักษา จะนัดติดตามอาการทุก 6 เดือน
28
แนวทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการนอนไม่หลับ (ตำรับยาศุขไสยาศน์)
ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการ เบื่ออาหาร
ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการ นอนไม่หลับ
ซักประวัติและตรวจร่างกายตามตรีธาตุ เพื่อวางแผนการรักษาทางการแพทย์แผนไทย
ซักประวัติและตรวจร่างกายตามตรีธาตุ เพื่อวางแผนการรักษาทางการแพทย์แผนไทย
ประเมินผลการตรวจร่างกายและซักประวัติ
ประเมินผลการตรวจร่างกายและซักประวัติ
พิจารณาจ่ายยา ยาบอระเพ็ด เป็นเวลา 3 วัน ยาบำรุงโลหิต เป็นเวลา 7 -15 วัน ยาธาตุบรรจบ เป็นเวลา 7 – 15 วัน
พิจารณาจ่ายยา ตามสาเหตุอาการนำ - กล่อมนางนอน - ยาหอมเทพจิตร - จิตรารมณ์ - ยาเขียวหอม เป็นเวลา 15 วัน อาการไม่ดีขึ้น
ติดตามอาการ
พิจารณาจ่ายยาตำรับศุขไสยาศน์
ไม่พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง
พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง ที่อาจเกิดความเสี่ยง - หญิงตั้งครรภ์ - มีไข้ - อายุต่ำกว่า 18 ปี - ระวังการใช้ร่วมกับยาต้านการ แข็งตัวของเลือด phenytoin,
จ่ายยาตำรับศุขไสยาศน์ อาการดีขึ้น
7 – 15 วัน
ติดตามอาการ
propranolol, theophylline rifampicin และผู้ป่วยโรคตับ
พิจารณาแนวทางการรักษาอื่น
29
แนวทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการนอนไม่หลับ (ตำรับยาแก้ไข้ผอมเหลือง)
ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการ นอนไม่หลับ หรือไข้ผอมเหลือง ซักประวัติและตรวจร่างกายตามตรีธาตุ เพื่อวางแผนการรักษาทางการแพทย์แผนไทย ประเมินผลการตรวจร่างกายและซักประวัติ พิจารณาจ่ายยา - ยาเบญจอมฤตย์ - ยาหอมเทพจิตร - ยากล่อมนางนอน - ยาหญ้าปักกิ่ง - ยาไฟโทเพล็กซ์ - ยาตรีผลา - ยาตำรับวัดคำประมง เป็นเวลา 7 – 15 วัน
ติดตามอาการ
อาการดีขึ้น
ไม่มีอาการ ใช่
อาการไม่ดีขึ้น พิจารณาจ่ายตำรับยาแก้นอนไม่หลับ/แก้ไข้ผอมเหลือง พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง ที่อาจเกิดความเสี่ยง - หญิงตั้งครรภ์ - มีไข้ - อายุต่ำกว่า 18 ปี - ระวังการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ไม่ใช่
หยุดยา
ไม่พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง จ่ายยาตำรับยาแก้นอนไม่หลับ อาการดีขึ้น
7 – 15 วัน
ติดตามอาการ
phenytoin, propranolol, theophylline rifampicin และผู้ป่วยโรคตับ
พิจารณาแนวทางการรักษาอื่น
30
แนวทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน (ตำรับยาอัคคินีวคณะ) ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ซักประวัติและตรวจร่างกายตามตรีธาตุ เพื่อวางแผนการรักษาทางการแพทย์แผนไทย ประเมินผลการตรวจร่างกายและซักประวัติ
- ยาขิง - ยาลูกยอ
พิจารณาจ่ายยา - ยาหอมเทพจิตร - ยาหอมนวโกศ - ยาหอมอินทจักร 3 – 7 วัน ติดตามอาการ
ไม่ใช่ อาการดีขึ้น
ไม่มีอาการ ใช่
อาการไม่ดีขึ้น พิจารณาจ่ายยาตำรับอัคคินีวคณะ
พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง ที่อาจเกิดความเสี่ยง - หญิงตั้งครรภ์ - มีไข้ - อายุต่ำกว่า 18 ปี - ระวังการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
หยุดยา
ไม่พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง
จ่ายยาอัคคินีวคณะ อาการดีขึ้น
3 – 5 วัน ติดตามอาการ
phenytoin, propranolol, theophylline rifampicin และผู้ป่วยโรคตับ
พิจารณาแนวทางการรักษาอื่น
31
แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งที่เกี่ยวกับเลือดและน้ำเหลือง ไฟธาตุต่ำ (ตำรับยาทำลายพระสุเมรุ) ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งที่เกี่ยวกับเลือดและน้ำเหลือง ไฟธาตุตำ่ ซักประวัติและตรวจร่างกายตามตรีธาตุ เพื่อวางแผนการรักษาทางการแพทย์แผนไทย ประเมินผลการตรวจร่างกายและซักประวัติ
พิจารณาจ่ายยา - ยาเบญจอมฤตย์ - ยาตำรับวัดคำประมง - ยาไฟโทเพล็กซ์ - ยาตรีผลา เป็นเวลา 7 วัน ไม่ใช่ ติดตามอาการ
อาการดีขึ้น
ไม่มีอาการ ใช่
อาการไม่ดีขึ้น พิจารณาจ่ายยาตำรับยาตำรับทำลายพระสุเมรุ
หยุดยา
ไม่พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง
พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง ที่อาจเกิดความเสี่ยง - หญิงตั้งครรภ์ - มีไข้ - อายุต่ำกว่า 18 ปี - ระวังการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
จ่ายยาตำรับทำลายพระสุเมรุ อาการดีขึ้น
7 วัน ติดตามอาการ
phenytoin, propranolol, theophylline rifampicin และผู้ป่วยโรคตับ
พิจารณาแนวทางการรักษาอื่น
32
แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งที่เกี่ยวกับเลือดและน้ำเหลือง ไฟธาตุต่ำ (น้ำมันสนั่นไตรภพ) ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งตับที่มีอาการกษัยเหล็กหรือลดอัดแน่นเป็นดานในท้องน้อย ซักประวัติและตรวจร่างกายตามตรีธาตุ เพื่อวางแผนการรักษาทางการแพทย์แผนไทย ประเมินผลการตรวจร่างกายและซักประวัติ
พิจารณาจ่ายยา - ยาเบญจอมฤตย์ - ยาธรณีสันฑะฆาต อาจพิจารณาให้ร่วมกับน้ำมันสนั่นไตรภพร่วมด้วย โดยใช้ในรูปแบบการทารีดท้อง เป็นเวลา 3 วัน ไม่ใช่ ติดตามอาการ
อาการดีขึ้น
ไม่มีอาการ ใช่
อาการไม่ดีขึ้น พิจารณาจ่ายยาตำรับยาตำรับน้ำมันสนัน่ ไตรภพ
หยุดยา
ไม่พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง
พบข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง ที่อาจเกิดความเสี่ยง - หญิงตั้งครรภ์ - มีไข้ - อายุต่ำกว่า 18 ปี - ระวังการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
จ่ายยาตำรับน้ำมันสนั่นไตรภพ อาการดีขึ้น ติดตามอาการ
phenytoin, propranolol, theophylline rifampicin และผู้ป่วยโรคตับ
พิจารณาแนวทางการรักษาอื่น
33
กำรศึกษำวิจัย ตำรับยำและกำรรักษำผู้ป่วยโรคมะเร็ง แบบประคับประคอง ตำมศำสตร์กำรแพทย์แผนไทย
บทที่ 4
กำรแพทย์พื้นบ้ำน และกำรแพทย์ทำงเลือก
การศึกษาวิจัยตำรับยาไทยและการดูแลผู้ป่วยตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย พบว่ามีอยู่ จำนวนหนึ่ง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 4.1 การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงสำรวจ 4.2 การศึกษาวิจัยก่อนคลินิก/การศึกษาวิจัยทางคลินิก 4.1 การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงสำรวจ พบการศึกษาจำนวน 5 ฉบับ ดังนี้ 4.1.1 รายงานการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเรื่องโรคมะเร็งตับและการบำบัดตามหลักการ แพทย์แผนไทย: การศึกษาเชิงคุณภาพ[9] โดยเป็นการศึกษาเอกสาร ได้แก่ จารึกวัดพระเชตุพนฯที่โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมและชำระ คัมภีร์แพทย์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งมีการคัดลอกและตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ ตำรายาศิลาจารึกในวัดพระเชตุ พนวิมลมังคลาราม, คัมภีร์แพทย์ที่โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมชำระในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีการคัดลอกและ ตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม 1 และเล่ม 2ของพระยาพิษณุประสาทเวช, คัมภีร์ แพทย์ จ ากเอกสารโบราณซึ่งรวบรวมและตีพิมพ์ เป็นหนังสื อชื่อ แพทย์ศาสตร์ส งเคราะห์ เล่ ม 3 โดย โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) ร่วมกับการสัมภาษณ์แพทย์แผนไทยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน ผลการรวบรวมข้อมูลมีดังต่อไปนี้ 4.1.1.1 การเกิดโรคมะเร็งตับตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย พบว่า สาเหตุของ โรคมะเร็งตับตามประสบการณ์และความเห็นของแพทย์แผนไทยผู้ทรงคุณวุฒิ เกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้ โรคมะเร็งตับจากพฤติกรรมและอารมณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้ธาตุแปรปรวน, โรคมะเร็งตับที่แปรมาจากการ ขับ พิษตานซางในวัยเด็กไม่หมด, โรคมะเร็งตับที่แปรมาจากไข้พิษ ไข้กาฬ, โรคมะเร็งตั บจากอุทรโรค, โรคมะเร็งตับจากอติสาร, โรคมะเร็งตับจากโรคกษัยบางชนิด , มะเร็งตับที่แปรมาจากโรคฝี และสาเหตุ นอกจากข้างต้น แพทย์แผนไทยผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การเป็นโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในช่องท้อง (ซึ่ งอาจมีเหตุปัจจัยมาจากพันธุกรรม หรือการมีพฤติกรรมก่อโรค) อาจลุ ก ลามเป็ นโรคที่ ท ำให้ ร่ า งกายเสื่ อ มโทรม (กษั ย) ห ากไม่ รั ก ษ า โรคจะพั ฒ นาไปเป็ น ฝีภายในท้อง ซึ่งจะแปรไปเป็นโรคมะเร็งตับได้เช่นกัน 4.1.1.2 การซักประวัติและตรวจร่างกาย แพทย์แผนไทยจะมีการซักถามและตรวจ ร่างกายของผู้ป่วย ดังนี้ 1) การซักถามอาการที่แสดงถึงปัญหาเกี่ยวกับตับ 2) การตรวจร่างกายที่แพทย์ แผนไทยผู้ทรงคุณวุฒิ แนะนำให้กระทำโดยเฉพาะกับผู้ป่วยมะเร็งตับ คือ การตรวจสีหน้า สีผิว ตา ลม หายใจ ความร้อนที่ผิวกาย ความร้อนที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า สีผิวที่โคนและเนินฝ่ามือใต้นิ้วหัวแม่มือ , การตรวจ คลำตับ เคาะตับ พิจารณาขนาดและความอ่อนแข็งของตับที่คลำพบ, การตรวจช่องท้อง, และการประเมิน กำลังกาย
34
4.1.1.3 การวินิจ ฉั ย แพทย์แผนไทยผู้ ท รงคุณ วุฒิ แนะนำให้ มีการวินิจฉัย และรักษา โรคมะเร็งตับได้ 2 แนวทาง คือ 1) วินิจฉัยตามตรีสมุฏฐาน โดยพิจารณาว่าเป็นผลจากโทษของสมุฏฐาน ใด ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่การบำบัดโทษของสมุฏฐานนั้น ๆ ด้วย 2) วินิจฉัยโรคตามตรีสมุฏฐาน โดยใช้การ พิจารณาลักษณะอสุรินทัณญาณธาตุ และอภิญญาณธาตุ (ว่าด้วยลักษณะธาตุ 4 กำเริบ หย่อน พิการที่ทำ ให้เกิดอาการต่าง ๆ) 4.1.1.4 การบำบัดรักษา แบ่งเป็น 2 แนวทาง 1) การบำบั ด รั ก ษาที่ วิ นิ จ ฉั ย โรคตามตรี ส มุ ฏ ฐาน โดยพิ จ ารณาโทษของตรี สมุฏฐาน จะใช้การบำบัดตามขั้นตอน ดังนี้ กระจาย คือ กระทุ้งพิษให้กระจายเพื่อรุออกต่อไป กรณีเป็นมะเร็งตับจากโทษของปิตตะ ให้ใช้ยา เย็น เช่น ยาเบญจโลกวิเชียร รุ คือ การขับพิษออกทางอุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อ ประจำเดือน ในช่วงแรกของการรักษาให้ รุ ติดต่อกัน 4 วัน ๆ ละครั้ง แล้วเว้นไป 7 วันรุอีกหนึ่งครั้ง รุซ้ำ ๆ ทุก 7 วัน กรณีมะเร็งตับ ให้ใช้ยาถ่ายหรือ ยาเบญจอำมฤตย์ในการรุ โดยควรให้กินก่อนนอนเพื่อให้ถ่ายตอนเช้า ล้อม คือ การไม่เอาพิษเข้าไปอีก (เช่น งดอาหารแสลง) และทำให้พิษไม่กระจายออกไปไกล กรณี มะเร็งตับจากโทษของปิตตะ ให้ใช้ยาล้อมตับดับพิษ งดกินอาหารรสเผ็ดร้อน กล่อม คือ การทำให้เป็นปกติ กรณีมะเร็งตับจากโทษของปิตตะ ให้ใช้ยาเขียว รักษา คือ การรักษามะเร็งโดยตรง กรณีมะเร็งตับจากโทษของปิตตะ ให้ใช้ยารักษามะเร็งตับ บำรุง คือ การบำรุงตับ ด้วยตัวยารสสุ ขุม ห้ ามใช้ยากระตุ้น เช่น โสม เด็ดขาด เพราะรสร้อน เกินไป ยาอื่น ๆ ที่สามารถใช้ร่วมได้ คือ ยาดับพิษตับ ยาบำรุงน้ำดี ยาจันทลีลา ยาจันทน์สามโลก การล้อม กล่อม รักษา บำรุง สามารถทำไปพร้อม ๆ กันได้ และให้ทำอย่างต่อเนื่อง 2) การบำบั ด รั ก ษาตามแนวทางที่ วินิ จ ฉัย โรคตามตรี ส มุ ฏ ฐาน โดยอาศั ยการ พิจารณาลักษณะอสุรินทัญญาณธาตุและอภิญญาณธาตุ มีการใช้ตำรับยาตามแนวทาง ดังนี้ แก้สมธาตุเตโช โดยการจุดไฟย่อยอาหารด้วยยารสประธานสุขุมร้อน ได้แก่ ยาหอมนวโกฐ หรือ ยาหอมอินทจักร์ แก้ พั ท ธะปิ ต ตะ โดยลดความร้อน (กำเดา) ของร่างกายด้ว ยยาเขียวหอม ยาจัน ทลี ล า หรือ ยาประสะพิมเสน ลดความร้อนของตับด้วยยากล่อมนางนอน และใช้ยาพอกเย็นที่ใต้ชายโครงขวา แก้สุมนาวาตะ โดยการขับลมด้วยยาขับลม ยาธาตุบรรจบ หรือยาประสะกะเพรา แก้คูถเสมหะ ด้วยยาธรณีสันฑะฆาตหรือยาเบญจอำมฤตย์อย่างใดอย่างหนึ่ง รุลมและน้ำออก จากช่องท้องด้วยยาต้มลดอาการบวมน้ำบวมลม บำรุงตั บ โดยใช้ย ากล่อมนางนอนและยาต้มบำรุงตับ บำรุงโลหิ ตโดยใช้ยากำลั งราชสีห์ หรือ ยาโลหิตาธิคุณและน้ำยาต้มบำรุงโลหิต บำรุงธาตุทั้งสี่โดยใช้ยาบำรุงไฟธาตุ รักษามะเร็ง โดยใช้ตำรับยาซึ่งประกอบด้วยเครื่องยารสเมาเบื่อ และจะใช้ต่อเมื่อผู้ป่วยมีอาการดี ขึ้นแล้วเท่านั้น
35
4.1.2 รายงานการศึ ก ษาวิ จั ย ภู มิ ปั ญ ญาการรั ก ษาโรคมะเร็ ง ของหมอพื้ น บ้ า น: กรณีศึกษาหมอพื้นบ้าน 4 ราย [10] เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพแบบกรณีศึกษา โดยศึกษาภูมิปัญญาการ รั ก ษาโรคมะเร็ ง และรวบรวมสมุ น ไพรและตำรั บ ที่ ใ ช้ รั ก ษาโรคมะเร็ ง ของหมอพื้ น บ้ า น 4 ราย จาก 4 ภูมิภาค (ภาคละ 1 ราย) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การบันทึก การสนทนา การ สังเกต การบันทึกเสียง และบันทึกภาพ จนได้ข้อมูลสมบูรณ์ครบถ้วน ผลการศึกษา พบว่า 1) แหล่ งที่ มาขององค์ ความรู้และการสื บทอดภู มิ ปั ญ ญาหมอมะเร็งพื้ นบ้ าน เป็ นการ ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น 2) กระบวนการรักษาโรคมะเร็ง มี 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นตอนก่อนการรักษา ต้องตั้งขัน บูชาครูตามที่ครูสั่งไว้ห้ามเรียกร้อง 2) ขั้นตอนการวินิจฉัยโรค ใช้เทคนิคการสังเกตและการคลำ บางคนใช้ ผลเลือดจากโรงพยาบาลด้วย 3) ขั้นตอนการรักษาโรคและการประเมินผล ประกอบด้วย พิธีกรรมการ ตรวจดวงชะตา การตรวจธาตุเจ้าเรือน และการใช้สมุนไพร การงดอาหารแสลง เช่น เนื้อวัว เนื้อควาย ของหมักดองทุกชนิด นมทุกชนิด เป็นต้น และการประเมินผลการรักษา ทำขณะให้การรักษาและหลังการ รักษา เปรียบเทียบกับก่อนการรักษา อาจใช้ผลเลือดจากโรงพยาบาล และประเมินคุณภาพชีวิตก่อนการ รักษาและหลังการรักษา 4) ขั้นตอนการฟื้นฟูสภาพร่า งกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ด้านร่างกายใช้การ ประเมินผลการรักษา ด้านจิตใจใช้การสนทนาให้กำลังใจ การเยี่ยมบ้าน และด้านจิตวิญญาณจะแนะนำให้ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และมาร่วมพิธีไหว้ครูประจำปี 3) สมุนไพรและตำรับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคมะเร็งของหมอพื้นบ้าน จำนวน 7 สูตร เป็นสูตรยาที่รักษามะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ดังนี้ สู ต รที่ 1 (ภ าค ใต้ ) พื ช ส มุ น ไพ รที่ ใช้ รั ก ษ าม ะเร็ ง มี 9 ช นิ ด ได้ แ ก่ หั ว ข้ า วเย็ น เหนื อ หั ว ข้ า วเย็ น ใต้ หิ้ ง หาย มะระขึ้ น ก เพชรสั ง ฆาต ฟ้ า ทะลายโจร พิลังกาสา เถานมวัว และหัวพุทธรักษา (ผู้ชายใช้ดอกสีแดง ผู้หญิงใช้ดอกสีขาว) สัตว์ สมุนไพร ได้แก่ กระดูกควายเผือก ธาตุวัตถุ ได้แก่ กำมะถัน (Sulphur) ใช้สมุนไพรมา ปรุงเป็น ตำรับยาต้มรับประทาน เมื่อหายจากโรคแล้วต้องรับยา เรียกว่า "ยาตัดราก" ตัวยา คือ งวงตาลหล่น (ห้ามเก็บจากต้นต้องเก็บที่หล่นมาใต้ต้น) และหญ้างวงช้าง สู ต รที่ 2 (ภาคเหนื อ ) พื ช สมุ น ไพรที่ ใ ช้ รั ก ษามะเร็ ง มี 10 ชนิ ด ได้ แ ก่ หั ว ข้ า วเย็ น เหนื อ หั ว ข้ า วเย็ น ใต้ หิ้ ง หาย มะระขี้ น ก เพชรสั ง ฆาต ฟ้ า ทะลายโจร พิลังกาสา เถานมวัว หัวพุทธรักษา และโคกกระสุน สัตว์สมุนไพร ได้แก่ กระดูกควาย เผือก ธาตุวัตถุ ได้แก่ กำมะถัน ใช้สมุนไพรมาปรุงเป็นตำรับยาต้มรับประทาน เมื่อรักษา หายแล้วต้องรับ "ยาตัดราก" ตัวยาตัดราก คือ งวงตาลหล่นจากต้น และหญ้างวงช้าง สูตรที่ 3 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สมุนไพรที่ใช้รักษามะเร็งเต้านม มี 10 ชนิ ด ได้ แ ก่ ต้ น เรี ย ง (ต้ น จิ ก หรื อ ต้ น กระโดน) ต้ น กั น เกรี ย ง (ผั ก หนาม) ต้ น ไก่ น า (ต้ น กระดูก ไก่ ขาว) ต้ น รัน ตุ ม (ต้ น ลั่ น ทมแดง/ปลาไหลแดงคล้ ายต้ น กำแพงเจ็ ด ชั้น ) ต้นกำแพงเจ็ดชั้น หัวข้าวเย็นเหนือ หัวข้าวเย็นใต้ พญายา หนอนตายหยาก และพุแดง (ลำพูแดง) สูตรที่ 4 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สมุนไพรที่ใช้รักษามะเร็งปอด มี 12 ชนิด ได้แก่ ต้น เรีย ง ต้น กัน เกรียง ต้นไก่นา ต้นรันตม ต้นกำแพงเจ็ดชั้น หั ว ข้าวเย็นเหนื อ หัวข้าวเย็นใต้ พญายา หนอนตายหยาก พุแดง ปลาไหลเผือก และต้นแสลงใจ
36
สูตรที่ 5 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สมุนไพรที่ใช้รักษามะเร็งตับ มี 16 ชนิด ได้แก่ ต้น เรีย ง ต้น กัน เกรียง ต้นไก่นา ต้นรันตุม ต้นกำแพงเจ็ดชั้น หั ว ข้าวเย็นเหนื อ หัวข้าวเย็นใต้ พญายา หนอนตายหยาก พุแดง ต้นทองพันชั่ง รากมะพร้าวไฟ เถานมวัว ต้นตองแตก ต้นม้ากระทืบโรง และเถาวัลย์เปรียง สูตรที่ 6 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สมุนไพรที่ใช้รักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และ ลำไส้ตรง มี 12 ชนิด ได้แก่ ต้นเรียง ต้นกันเกรียง ต้นไก่นา ต้นรันตูม ต้นกำแพงเจ็ดชั้น หั ว ข้าวเย็ น เหนื อ หั ว ข้าวเย็น ใต้ พญายา หนอนตายหยาก พุ แดง ต้น ตาไก และราก มะละกอตัวผู้ สูตรที่ 7 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สมุนไพรที่ใช้รักษามะเร็งชนิดอื่น ๆ มี 14 ชนิด ได้แก่ ต้นเรียง ต้นกันเกรียง ต้นไก่นา ต้นรันตุม ต้นกำแพงเจ็ดชั้น หัวข้าวเย็นเหนือ หัวข้าวเย็นใต้ พญายา หนอนตายหยาก พุแดง รากมะพร้าวไฟ รากมะละกอตัวผู้ ตาไผ่สี ทอง สารส้ม (ใช้ขนาดเท่าเม็ดพุทรา) สรุ ปได้ ว่า จากการรวบรวมสมุนไพรและตำรับยาสมุนไพรของหมอพื้นบ้าน รักษาโรคมะเร็ง เปิดเผยตำรับยารวบรวมได้ 7 สูตร มีตัวยาตั้งแต่ 9 - 14 ชนิด โดยทุก สูตรมีหัวข้าวเย็นเหนือและหัวข้าวเย็นใต้ ซึ่งใช้เป็นสมุนไพรหลัก เป็นตัวยาหลักมีผลต่อ การรัก ษา โดยเหตุ ผ ลของผู้ ป่ ว ยที่ มารับ การรักษาโรคมะเร็งกับ หมอพื้ น บ้ าน เพราะ ต้องการใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายในการดูแลสุขภาพ และหรือใช้รักษาร่วมกับแพทย์แผน ปัจจุบัน 4.1.2 รายงานการศึกษาการใช้สมุนไพรและประสบการณ์อาการของผู้ป่วยมะเร็ง: การสำรวจภาคตัด ขวางกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่รับตำรับยาสมุน ไพรของนายแสงชัย แหเลิศ ตระกูล [11] เป็นการศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวาง (Cross sectional descriptive survey) ประชากรตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยมะเร็งที่มารับตำรับยาสมุนไพรของนายแสงชัย แหเลิศตระกูล ระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2561 ผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งสิ้น 1,093 ราย ผ่านเกณฑ์คัดเข้า ร่วมวิจัย 1,086 ราย โดยศึกษาใน 4 ส่วน คือ 1) การประเมิ น อาการตามการรั บ รู้ ข องผู้ เข้ า ร่ ว มวิ จั ย 2) การรั ก ษามะเร็ ง ในกลุ่ ม ผู้ เข้ า ร่ ว มวิ จั ย 3) การประเมินอาการตามการรับรู้ของผู้เข้าร่วมวิจัย 4) ความปลอดภัยและผลการใช้ตำรับยาสมุนไพร นายแสงชัย ของผู้เข้าร่วมวิจัยรายเก่า ผลการศึกษาลักษณะประชากรของผู้ป่วยโรคมะเร็ง พบว่า เป็นผู้ป่วยมะเร็ง 5 ลำดับแรก คือ 1) มะเร็งเต้านม 382 ราย (ร้อยละ 35.20) 2) มะเร็งลำไส้ใหญ่ 110 ราย (ร้อยละ 10.10) 3) มะเร็งปาก มดลูก 93 ราย (ร้อยละ 8.60) 4) มะเร็งตับและมะเร็งปอดอย่างละ 69 ราย (ร้อยละ 6.40) และ 5) อื่น ๆ 363 ราย (ร้อยละ 33.30) โดยผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่อยู่ในระยะที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 22 รองลงมาระยะที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 20.10 และไม่สามารถระบุระยะได้ ร้อยละ 28.40 ผู้ป่วยเคยใช้วิธีทางการแพทย์ทางเลือกร่วมรักษามะเร็ง โดยเป็นการใช้สมุนไพรมากที่สุด ร้อยละ 85.97 อยู่ ในรู ป แบบสมุ น ไพรเดี่ ย วมากที่ สุ ด ร้ อ ยละ 70.53 ซึ่ ง สมุ น ไพรเดี่ ย วที่ ผู้ เข้ า ร่ ว มวิ จั ย นิ ย ม รับประทานมาก 3 ลำดับแรก คือ เห็ดหลินจือ งาดำ และหญ้าปักกิ่ง ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมวิจัยอีกร้อยละ 29.47 เลือกรับประทานแบบตำรับยาสมุนไพร นอกจากนี้ การรักษามะเร็งในปัจจุบันของผู้เข้าร่วมวิจัย พบว่า ผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 648 ราย ไม่ได้อยู่ในกระบวนการรักษามาตรฐานแล้ว แบ่งเป็นผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 429 ราย (ร้ อยละ 66.21) ได้รั บ การรัก ษามาตรฐานครบแล้ ว ขณะที่ผู้ เข้าร่ว มวิจัยจำนวน 123 ราย
37
(ร้อยละ 18.98) อยู่ระหว่างรอการรักษาหรือวางแผนการรักษา และผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 90 ราย (ร้อยละ 13.88) ปฏิ เสธการรั ก ษามาตรฐาน เหตุ ผ ลหลั ก ของการปฏิ เสธการรัก ษามาตรฐาน คื อ ผู้ ป่ ว ยกลั ว ผลข้างเคียงจากการรักษามาตรฐาน ผลการประเมิน อาการตามการรับรู้ของผู้เข้าร่วมวิจัย พบว่า อาการที่พบบ่อย 5 ลำดับแรกที่ ผู้ป่ วยมะเร็งรู้สึก คือ 1) รับรู้อาการปวดร้อยละ 32.97, 2) รับรู้อาการอ่อนล้ าร้อยละ 32.69, 3) รับรู้ อาการนอนไม่หลับร้อยละ 28 4) รับรู้อาการชาปลายมือร้อยละ 25.23 และ 5) มีอาการกังวลกลุ้มใจร้อย ละ 23.30 ผลการศึกษาความปลอดภัยและผลการใช้ตำรับยาสมุนไพรนายแสงชัย ของผู้เข้าร่วมวิจัยราย เก่ า (รั บ ยาต่ อ เนื่ อ ง) 478 ราย พบว่ า มี ผู้ เข้ าร่ ว มวิ จั ย ที่ พ บอาการผิ ด ปกติ 38 ราย (ร้ อ ยละ 7.95) เป็นอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหารสูงสุด 22 ราย (ร้อยละ 57.89) รองลงมา คือ ระบบผิวหนัง 6 ราย (ร้อยละ 15.79) ในด้านความเห็นต่อผลการรักษาจากการใช้ตำรับยาสมุนไพรนายแสงชัย พบว่า จำนวนส่วนใหญ่ 225 ราย (ร้อยละ 47.07) รู้สึกว่า อาการป่วยของตนดีขึ้น รองลงมา 174 ราย (ร้อยละ 36.40) รู้สึกว่า อาการตนเองเหมือ นจะดีขึ้ น และ 73 ราย (ร้อ ยละ 15.27) รู้สึ กว่าอาการตนเองเหมื อ นเดิ มหรือ ไม่ เปลี่ยนแปลง 4.1.3 การศึกษากระบวนการความร่วมมือการปฏิบัติงานระหว่างวิชาชีพแพทย์แผน ไทยกับทีมสหวิชาชีพ ในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายด้วยการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาล การแพทย์แผนไทย[12] เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนของวิชาชีพแพทย์แผนไทย และทีมสหวิชาชีพแผนปัจจุบันที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายด้วยการแพทย์ แผนไทย ในโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ 1) โรงพยาบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี 2) โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 3) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร 4) โรงพยาบาลวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว และ 5) โรงพยาบาลขุ น หาญ จั งหวั ดศรี สะเกษ จำนวน 60 คน ประกอบด้ ว ย แพทย์ จำนวน 4 คน เภสัชกรจำนวน 6 คน พยาบาลจำนวน 10 คน แพทย์แผนไทย จำนวน 40 คน ซึ่งมีประสบการณ์การ ทำงานในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย 1 ปีขึ้นไป โดยใช้แบบสอบถามประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) แบบสอบถามข้อ มู ล ทั่ ว ไป 2) แบบสอบถามเกี่ ยวกั บ กระบวนการพั ฒ นาความร่ว มมื อ ในการ ปฏิบั ติงานและปั ญ หาอุป สรรคที่ เกี่ยวกับกระบวนการพัฒ นาความร่วมมื อ ในการปฏิบัติงานระหว่าง วิชาชีพแพทย์แผนไทยและทีมสหวิชาชีพแผนปัจจุบันในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายด้วย การแพทย์แผนไทย ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการความร่วมมือในการปฏิบัติงานระหว่างวิชาชีพแพทย์แผนไทย และทีมสหวิช าชีพแผนปั จ จุ บั น ในการดูแลรักษาผู้ ป่วยมะเร็งตับระยะสุ ดท้ายด้ว ยการแพทย์แผนไทย โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง ( x =2.47, SD=0.18) โดยปัจจัยที่ผลต่อกระบวนการความร่วมมือ ดังนี้ 1) การมีผู้บริหารที่ สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือกัน อยู่ในระดับมาก ( x =3.94, SD=0.26) 2) การเตรียม ความพร้อมเพื่อสร้างความร่วมมืออยู่ระดับปานกลาง ( x =2.96, SD=0.15) 3) การกำหนดความสัมพันธ์ และขั้นตอนการปฏิบัติงานที่แสดงถึงความร่วมมือ อยู่ระดับน้อย ( x =2.27, SD=0.33) 4) การจัดให้มี ทรัพยากร บุคลากรที่เพียงพออยู่ระดับน้อย ( x = 2.25, SD=0.36) (5) ความร่วมมืออยู่ในระดับน้อย ( x =2.12, SD=0.26)
38
ปัญหาและอุป สรรคที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการความร่วมมือในการปฏิบัติงานระหว่างวิชาชีพ แพทย์แผนไทยและทีมสหวิชาชีพแผนปัจจุบันในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายด้วยการแพทย์ แผนไทยโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง ( x = 3.11, SD=0.36) โดยปัญหาอุปสรรค ได้แก่ 1) การจัดให้มี ทรั พ ยากรบุ คลากรที่ เพี ย งพอเป็ น ปั ญ หาอุป สรรคที่ อยู่ ในระดั บ มาก ( x = 3.74, SD=0.15) 2) การมี ผู้บริหารที่สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือ 3) การเตรียมความพร้อมเพื่อสร้างความร่วมมือ 4) การกำหนด ความสัมพันธ์และขั้นตอน 5) การปฏิบัติงานที่แสดงถึงความร่วมมือและความมุ่งมั่ นที่จะร่วมมือกันอยู่ใน ระดับ ปานกลาง ( x =3.37, SD=0.14), ( x =3.24, SD=0.36), ( x =2.68, SD=0.44) และ ( x =2.45, SD=0.48) ตามลำดับ สรุป ได้ว่า ความร่วมมือในการปฏิบัติภ ารกิจใด โดยเฉพาะงานบริการแพทย์แผนไทยเป็นการ ปฏิบัติภารกิจที่เกิดขึ้นใหม่ในองค์การ เป็นความร่วมมือของผู้ที่เกี่ยวข้ องทั้งหมดตลอดกระบวนการ ตั้งแต่ ร่วมคิดและร่วมปฏิบัติความร่วมมือในทางความคิด ความมุ่งมั่น ความพร้อมในการได้รับการสนับสนุนจาก ผู้บริหารเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนความร่วมมือในการปฏิบัติสามารถสังเกตได้การมีผู้บริหาร กระตุ้น จูงใจให้ บุคลากรเชื่อมั่นว่าการทำงานเป็นทีมด้วยความร่วมมือที่ดีจะทำให้การบริการแพทย์แผนไทยมีคุณภาพ 4.1.4 การศึกษาประสิทธิ ผ ลของรูป แบบการดูแ ลรักษาผู้ป่ วยมะเร็ งระยะสุดท้ า ย ด้ ว ยการแพทย์ แ ผนไทย ในโรงพยาบาลการแพทย์ แ ผนไทย [13] เป็ น การวิ จั ย กึ่ ง ทดลอง (quasi experimental research) แบบกลุ่ ม เดี ย ว โดยวั ด ผลก่ อ นและหลั ง การทดลอง ศึ ก ษาระหว่ า งเดื อ น พฤษภาคม - สิงหาคม 2561 ในโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยต้นแบบ 5 แห่ง ได้แก่ 1) โรงพยาบาลอู่ ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี 2) โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน กรมการแพทย์แผน ไทยและการแพทย์ ท างเลื อ ก 3) โรงพยาบาลสมเด็ จ พระยุ พ ราชสว่ า งแดนดิ น จั ง หวั ด สกลนคร 4) โรงพยาบาลวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว 5) โรงพยาบาลขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ โดยศึกษารูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายด้วยการแพทย์แผนไทย ในโรงพยาบาล การแพทย์ แผนไทยที่พัฒ นาขึ้น ซึ่งเป็ น รูปแบบการทำงานร่วมกันของทีมสหวิช าชีพผู้ให้ การดูแลรักษา ประกอบด้วย 1) แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายด้วยการแพทย์แผนไทย 2) บทบาททีมสหวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายด้วยการแพทย์แผนไทย 4 วิชาชีพ 3) แนวทางการดูแลแบบองค์รวมในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายด้วยการแพทย์แผนไทย 4) แนวปฏิบัติการส่งต่อเพื่อการดูแลต่อเนื่องและการเยี่ยมบ้าน ผลการศึกษาพบว่า ในช่ว งแรก ผู้ ปฏิ บัติงานในที มสหวิช าชีพไม่คุ้นชินกับ การดูแลรักษาด้ว ย การแพทย์แผนไทย ภาษาที่ใช้ในแนวทางปฏิบัติ สื่อความหมายไม่ตรงกัน เกิด ความสงสัย และข้อกังวล เกี่ยวกับวิธีการรักษา กระบวนการรักษา และวิธีการประเมิน ในส่วนแพทย์แผนไทยก็ไม่คุ้นชินในการทำงาน กับ ผู้ ป ฏิ บั ติงานจากวิช าชีพ อื่น และไม่ เ คยใช้แบบประเมิน Palliative Performance Scale version 2 (PPS V2) และ Edmonton Symptom Assessment System (ESAS)
39
สรุปผลการการศึกษา ได้ดังนี้ 1) ทีมสหวิชาชีพประเมินความเป็นไปได้ของการนำรูปแบบไปใช้ มีระดับค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) ทีมสหวิชาชีพประเมินความเป็นไปได้ของรูปแบบการดูแลรักษา สามารถแก้ปัญหาและเกิดผล ดีต่อผู้รับบริการ มีระดับค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ความพึ งพอใจต่ อ ระบบการดู แ ลรัก ษาผู้ ป่ ว ยมะเร็งระยะสุ ด ท้ ายด้ ว ยการแพทย์ แ ผนไทย หลังการพัฒนาระบบสูงกว่าก่อนพัฒนาระบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดย ผู้ป่วยและผู้ดูแล หลักมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ( x = 4.38, S.D. = 0.46 และ x = 4.22, S.D. = 0.38 ตามลำดับ) และทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจ ในระดับมาก ( x = 4.12, S.D. = 0.18) 4.2 การศึกษาวิจัยก่อนคลินิก/การศึกษาวิจัยทางคลินิกของตำรับยาสมุนไพร ส่วนใหญ่เป็ นการศึกษาของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่ง พบว่ามี รายงานการศึกษาวิจัยจำนวน 7 ฉบับ ดังนี้ 4.2.1 การศึกษาตำรับยารักษาโรคมะเร็งตับและมะเร็งในท่อน้ำดี พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งตับ ส่วนใหญ่เป็นผลงานวิจัยที่กรมการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานเครือข่าย ดำเนินการศึกษาวิจัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 2563 จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ • ตำรับยาเบญจอำมฤตย์ ตำรับยาเบญจอำมฤตย์เป็นยาตามองค์ความรู้ดั้งเดิมของประเทศไทย ถูกบันทึกและ ระบุหลักฐานไว้ในตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์จากหลักฐานตัวอักษรปรากฏชื่อยาเบญจอำมฤตย์อยู่ใน 2 คัมภีร์คือ คัมภีร์ธาตุบรรจบและคัมภีร์ปฐมจินดามีส่วนประกอบของสมุนไพร 9 ชนิด คือ มหาหิ งคุ์ รงทอง ยาดำบริสุทธิ์ มะกรูด ดีปลี พริกไทย ขิง รากทนดี และดีเกลือ ข้อบ่งใช้ตามตำราเดิมระบุว่าใช้ฟอก อุจจาระให้สิ้นโทษ สรรพคุณยาเบญจอำมฤตย์ที่ว่าชำระเสียให้สิ้นนั้นเป็นการเอาพิษออกจากตับ[14] การศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพ พบว่า สารสกัด 95% เอทานอลของตำรับยำเบญจอำ มฤตย์ มี ฤ ทธิ์ ยั บ ยั้ ง การเจริ ญ เติ บ โตของเซลล์ ม ะเร็ ง ท่ อ น้ ำ ดี (KKU-213) เซลล์ ม ะเร็ ง ตั บ (HepG2) เซลล์มะเร็งปอด (COR-L23) และเซลล์มะเร็งลำไส้ (LS-174T) และการศึกษาฤทธิ์ของตำรับยาเบญจอา มฤตย์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีในต้นแบบสัตว์ทดลองที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี พบว่า สามารถยับ ยั้ งการเจริญ เติบ โตของเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีในสั ตว์ทดลอง โดยมีกลไกการออกฤทธิ์คือการ กระตุ้ น ให้ เซลล์ เกิ ด การตายแบบอะพอพโทซิ ส ผ่ านวิถี ไมโทคอนเดรี ย (caspase-9) การลดลงของ ศั ก ย์ ไฟฟ้ า ที่ เยื่ อ หุ้ ม ไมโทคอนเดรี ย วิ ถี ภ ายนอก (caspase-8) มี ก ารผลิ ต ของสารอนุ มู ล อิ ส ระ(ROS) และภาวะเครียดเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม (ER stress) ภายในเซลล์[14] การวิ เคราะห์ อ งค์ ป ระกอบทางเคมี ของตำรับ ยาเบญจอำมฤตย์ ที่ ส กั ด ด้ ว ย 95% เอทานอลด้วยแก๊สโครมาโตกราฟีพบว่าสารที่มีปริมาณสูงที่สุด คือ Androsterene รองลงมาคือ Deltacadinene ผลการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง โดยใช้ SRB assay พบว่าสารสกัด ในเอทานอลเท่านั้นที่ ให้ผลยับยั้งเซลล์มะเร็ง โดยในจำนวนมะเร็ง 5 ชนิด ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งปาก มดลูก และมะเร็งต่อมลูกหมาก พบว่าสารสกัดสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งตับได้ดีที่สุด โดยความเข้มข้นที่ทำ ให้เซลล์ลดลงครึ่งหนึ่งมีค่าเท่ากับ 0.406 ± 0.339 มคก./มล.[14]
40
การทดสอบความเป็ น พิ ษ ของสารสกั ด ตำรับ ยาเบญจอำมฤตย์ พบว่ า มี ค่ า LD50 เท่ากับ 3.55 ก./กก. และผลการตรวจอวัยวะภายในทางจุลพยาธิวิทยา พบว่า หนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัด 250 และ 500 มก./กก. การเปลี่ ย นแปลงที่ พ บของ ปอด ไต ลำไส้ ต่ อ มหมวกไต และต่ อ มน้ ำนมมี อุบัติการณ์ที่ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมทั้งสอง[14] การศึกษาโดยการติดตามผลการรักษาโรคมะเร็งตับโดยการใช้ยาเบญจอำมฤตย์ตาม ศาสตร์การแพทย์แผนไทย จำนวน 89 ราย พบว่าผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (มีความสุข สบายขึ้น อาการ อื ด แน่ น ท้ อ งและอาการท้ อ งผู ก ลดลง ผู้ ป่ ว ยสามารถรั บ ประทานอาหารรวมทั้ งนอนหลั บ ได้ ดี ขึ้ น ) และนอกจากนั้น ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงในผู้ป่วยทุกราย [14] และรายงานการวิจัย เรื่อง ตำรับ ยาเบญจอำมฤตย์ในผู้ป่วยมะเร็งตับ: ความปลอดภัยแลคุณภาพชีวิต[15] เพื่อติดตามความปลอดภัยและผล ของการใช้ตำรับยาเบญจอำมฤตย์ในผู้ป่วยมะเร็งตับโดย เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบ Prospective descriptive study เป็นเวลา 6 เดือน ในผู้ป่วยมะเร็งตับจำนวน 96 รายที่มีผลการตรวจทางรังสีวินิจฉัย และผลการตรวจค่ า อั ล ฟาฟี โ ตโปรตี น (Alpha-fetoprotein: AFP) หรื อ ผลการตรวจชิ้ น เนื้ อ ยื น ยั น เก็บข้อมูลในโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ 5 แห่ง ใช้แบบเก็บข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคล ผลการตรวจเลือด แรกเข้า รายงานอาการไม่ พึ งประสงค์ จากการใช้ยาด้ว ยแบบประเมิ น Thai Algorithm ขององค์ การ อาห ารและยา (อย.) ร่ ว มกั บ Naranjo’s algorithm และผลการป ระเมิ น คุ ณ ภ าพ ชี วิ ต ด้ ว ย Thai Modified Function Living Index Cancer Questionnaire Version 2 (T-FLIC 2) พร้ อ มทั้ ง ติ ด ตามอั ต รารอดชี พ (Survival rate) เป็ น ระยะเวลา 1 ปี ผลการประเมิ น คุ ณ ภาพชี วิ ต พบว่ าเมื่ อ เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยรายเดือนเป็นเวลา 3 เดือนในอาสาสมัครที่ได้รับการประเมินซ้ำและมาติดตาม ต่อเนื่อง 3 เดือน พบว่าคะแนนประเมินคุณภาพชีวิตด้วย T-FLIC 2 มีผลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.029) เมื่อได้รับการรักษาด้วยตำรับยาเบญจอำมฤตย์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 เดือน ในขณะทำการศึกษามีจ ำนวนอาสาสมัครเข้ารับการติดตามผลและรับยาเบญจอำมฤตย์ต่อเนื่องน้อยลง เรื่อย ๆ ซึ่งสาเหตุของการไม่มาติดตามการรักษาตามแพทย์นัด ส่วนหนึ่งเกิดจากอาสาสมัครเสียชีวิตและ ส่วนหนึ่งเกิดเนื่องจากอาสาสมัครอาศัยอยู่ต่างจังหวัดทำให้มีความลำบากในการเดินทาง นอกจากนี้ผู้ป่วย บางรายที่ มี อ าการดี ขึ้ น แล้ ว มั ก มารั บ การรั ก ษาไม่ ส ม่ ำ เสมอ ผลการติ ด ตามอาการไม่ พึ ง ประสงค์ ของอาสาสมัครทั้ง 96 ราย ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง พบเพียงอาการไม่พึงประสงค์เล็กน้อยที่ สามารถจัดการได้ ได้แก่ มีอาการท้องเสียเพิ่มขึ้นโดยไม่มีอาการเพลียหรือปวดบิด ซึ่ง ในภายหลังอาการดี ขึ้นเองหลังจากใช้ยาครบ 1 สัปดาห์ , มีอาการแสบร้อนท้องเมื่อรับประทานยาเบญจอำมฤตย์ก่อนอาหาร ซึ่งเมื่อปรับการรับประทานเป็นหลังอาหารทำให้อาการแสบร้อนท้องหายไป เป็นต้น นอกจากนี้ ผลจาก การติดตามผู้ป่วยเป็นระยะเวลา 1 ปี มีผู้ป่วยเสียชีวิตจำนวนทั้งสิ้ น 26 ราย คำนวณอัตรารอดชีวิตรวมที่ 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 27.08[15] ขณะนี้ อยู่ ระหว่างการศึกษาฤทธิ์ยับ ยั้งเซลล์มะเร็งและกลไกในระดับ โมเลกุล ของ ตำรับยาเบญจอำมฤตย์และการศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของสารสกัดตำรับยาเบญจอำมฤตย์ ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเซลล์ตับ: การวิจัย ทางคลินิกระยะที่ 2
41
• ตำรับยา 5 ราก การศึกษาประสิทธิผลการพอกตำรับยาห้ารากบรรเทาอาการปวดบริเวณตำแหน่งตับ ใต้ชายโครงข้างขวาตามแนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายด้านการแพทย์แผน ไทยในโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน โดยกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นผู้ป่วย มะเร็งตับระยะสุดท้ายที่ มารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยในโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ผสมผสาน จำนวน 60 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มควบคุมไม่ได้รับการพอกตำรับยาห้าราก กลุ่มทดลอง ได้รับการพอกตำรับยาห้าราก ประกอบด้วย รากคนทา รากชิงชี่ รากเท้า ยายม่อม รากมะเดื่อชุมพร และ รากย่านาง อย่างละเท่ากัน ขนาด 30 กรัม พอกขนาดความกว้าง 10 เซนติเมตร และยาว 15 เซนติเมตร วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น เป็นระยะเวลา 3 วัน ตามแนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับ ระยะ สุดท้ายด้านการแพทย์แผนไทย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ Visual Analogue Scale และ แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า ความปวดของผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายหลังพอก ตำรับยาห้าราก ลดลงจากก่อนการพอกยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อเปรียบเที ยบความแตกต่าง ระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง ระดับคะแนนความปวดภายหลังการพอกตำรับยาห้ารากบรรเทา อาการปวดบริเวณ ของกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มควบคุมและแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยที่ ความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการพอกตำรับยาห้ารากบรรเทาอาการปวดอยู่ในระดับมาก ดังนั้นการพอก ตำรับยาห้ารากบรรเทาอาการปวดบริเวณตำแหน่งตับใต้ชายโครงข้างขวาตามแนวทางเวชปฏิบัติการดูแล รักษาผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายด้านการแพทย์แผนไทยนี้ เหมาะสมที่จะนำไปใช้ในการบรรเทาอาการ ปวดบริเวณตำแหน่งตับใต้ชายโครงข้างขวาให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายได้[16] 4.2.2 การศึกษาตำรับยารักษาโรคมะเร็งปากมดลูก • ตำรับยา 040 กับมะเร็งปากมดลูก การศึกษาความปลอดภั ยและประสิ ท ธิผ ลทางคลิ นิกของตำรับ ยา N040 ในผู้ ป่ ว ย มะเร็งปากมดลูกระยะแพร่กระจายและไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน[17] เป็นการศึกษาวิจัยทาง คลินิกระยะที่ 1b ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะแพร่กระจายที่ไม่ตอบสนองต่อ การรักษามาตรฐานจำนวน 44 ราย ศึกษาวิจัยในผู้เข้าร่วมวิจัยกลุ่มเดียว ผู้เข้าร่วมวิจัยจะได้รับประทาน ยาแคปซูล N040 ขนาด 360 มิลลิกรัม ซึ่งมีสารสกัดสมุนไพรตำรับ N040 จำนวน 267.50 มิลลิกรัมต่อ แคปซูล โดยรับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน มี การนั ด ติ ด ตามข้ อ มู ล ทุ ก 4 สั ป ดาห์ เป็ น ระยะเวลา 36 สั ป ดาห์ โดยเก็ บ ข้ อ มู ล พื้ น ฐานส่ ว นบุ ค คล ประเมินผลเลือดทางห้องปฏิบัติการ 6 ครั้ง (36 สัปดาห์) , ประเมินรังสีวินิจฉัย 3 ครั้ง ณ สัปดาห์ที่ 1, 12 และ 36 สรุปการตอบสนองต่อยาตาม RECIST criteria ณ สัปดาห์ที่ 1 และ 36 และประเมินคุณภาพชีวิต ด้ว ย Thai Modified Function Living Index Cancer Questionnaire Version 2 (T-FLIC 2) 2 ครั้ ง ณ สัปดาห์ที่ 1 และ 24 พร้อมทั้งติดตามอัตรารอดชีพ (Survival rate) เป็นระยะเวลา 1 ปี มีผู้เข้าร่วม วิจัยที่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ที่กำหนดและสามารถติดตามผลได้ครบทั้งสิ้นจำนวน 32 ราย พบผล การศึกษา ดังนี้ ผลการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติ การก่อนและหลังทานยาของผู้เข้าร่วมวิจัยอยู่ใน ระดับปกติ ทว่ามีผลการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3 รายการ คือ จำนวนเม็ ด เลื อ ดขาวชนิ ด นิ ว โทรฟิ ล (% Neutrophils), ค่ า Blood Urea Nitrogen (BUN) และค่ า
42
เอนไซม์อัล คาไลน์ ฟอสฟาเตส (Alkaline phosphatase: ALP) แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทั้งนี้ไม่พบการ รายงานอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงใด เมื่อวิเคราะห์ในรายละเอียด พบว่ามีเพียงจำนวนเม็ดเลือดขาว ชนิดนิวโทรฟิล (%Neutrophils) เท่านั้นที่สัมพันธ์กับการตอบสนองต่อยา N040 ตาม RECIST Criteria กล่าวคือ กลุ่มที่ตอบสนองต่อยา N040 มีระดับนิวโทรฟิล (Neutrophil) เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากกว่ากลุ่ม ที่ไม่ตอบสนองต่อยา N040 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.008) ผลประเมิน การตอบสนองต่อยา N040 ตาม RECIST criteria พบว่า ผู้ เข้าร่ว ม วิจัย จำนวน 20 ราย (ร้อยละ 62.5) ตอบสนองต่อการได้รับยา N040 คุณ ภาพชีวิต ค่าคะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิต T-FLIC 2 เปรียบเทียบก่อนและหลัง ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อัตราการรอดชีพที่ 1 ปี พบว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตทั้งสิ้นจำนวน 12 รายในระยะเวลา 1 ปี มีอัตราการรอดชีพที่ 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 62.50 อาการไม่พึงประสงค์ ไม่พบการรายงานอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงใด สรุ ป ผลการศึ ก ษา การใช้ย า N040 ร่ว มรัก ษาในผู้ ป่ ว ยมะเร็งปากมดลู ก ระยะ แพร่กระจายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐานมีความปลอดภัย และผู้ป่วยร้อยละ 62.5 ตอบสนองต่อยาดังกล่ าว แต่งยังควรมี การศึกษาทางคลิ นิ กแบบมีกลุ่ มควบคุมตามหลั ก มาตรฐานสากลเพิ่มเติมเพื่อข้อสรุปทางประสิทธิผลที่ชัดเจนต่อไป 4.2.3 มะเร็งเต้านม พบรายงานการศึกษาวิจัยจำนวน 1 ฉบับ ได้แก่ การประเมิ น เบื้ อ งต้ น ในหลอดทดลองถึ ง ฤทธิ์ ต้ า นอนุ มู ล อิ ส ระ และฤทธิ์ ต้ า น เซลล์มะเร็งเต้านม MCF7 ในตำรับยาบำรุงกำลังของหมอพื้นบ้าน[18] เป็นการประเมิน ตำรับยาหรือ สมุน ไพรที่มีสรรพคุณ บำรุงกำลัง จำนวน 15 ตำรับ จากหมอพื้นบ้าน 11 คน เพื่อประเมินเบื้องต้นใน ระดั บ หลอดทดลองถึ ง ฤทธิ์ ต้ า นอนุ มู ล อิ ส ระด้ ว ยวิ ธี DPPH radical scavenging assay และ Ferric reducing antioxidant power (FRAP) หาปริ ม าณสารฟี น อลิ ก ทั้ ง หมด โดยวิ ธี Folin-Ciocalteu Colorimetric Method ห าป ริ ม าณ ส ารฟ ล าโว น อ ย ด์ ทั้ งห ม ด โด ย วิ ธี Aluminium Chloride Colorimetry hexahydrate รวมทั้ งหาปริม าณกลุ่ ม สารแทนนิ น ทดสอบความเป็ น พิ ษ ต่ อเซลล์ ป กติ (Vero cell) และทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเต้านม (MCF7) ของสารสกัดเอทานอล ผลการศึกษา พบว่า ตำรับยาหรือสมุนไพร 15 ตำรับ ประกอบด้วยสมุนไพร 34 ชนิด (species) สามารถจำแนกเป็ น วงศ์ (families) สมุ น ไพรส่ ว นมากอยู่ ใ นวงศ์ STRYCHNACEAE และ MORACEAE จำนวน 6 ชนิด รองลงมา คือ วงศ์ GNETACEAE และ RHAMNACEAE จำนวน 4 ชนิด ส่วน ของพื ช ที่ น ำมาใช้ ป ระโยชน์ ประกอบด้ วย 6 ส่ ว น ได้แ ก่ เนื้ อไม้ หั ว หรือ เหง้า แก่ น ใบ ราก ฝั ก เมื่ อ วิเคราะห์รสยา 9 รส เป็นสมุนไพรที่มี รสขม รสเผ็ดร้อน รสหอมเย็น รสเมาเบื่อ รสมัน รสฝาด และรส หวาน แต่ไม่พบสมุนไพรรสเค็มและรสเปรี้ยว และมีสมุนไพรที่ไม่ทราบรสยา 2 ชนิด และคำนวณหาร้อย ละของปริมาณสารสกัดหยาบ (%yield) ของตำรับยาหรือสมุนไพร พบว่า อยู่ในช่วงระหว่าง 1.3 ถึง 5.2 ซึ่ ง ทั้ ง 15 ตำรั บ มี วิ ธี ก ารปรุ ง ยาเป็ น การต้ ม โดยการใส่ น้ ำ ให้ ท่ ว มตั ว ยา (ประมาณ 1 ถึ ง 2 ลิ ต ร) ต้มจนน้ำเดือด 10 ถึง 15 นาที ตำรับยาที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุด เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH คือ ตำรับ THS013, THS007 และ THS006 มีค่าเท่ากับ ร้อยละ 81.6 ± 0.9, 71.7 ± 3.9 และ 69.9 ± 2.0 ตามลำดับ ตำรับ ที่ มี ฤ ท ธิ์ ใน ก าร รี ดิ ว ซ์ เฟ อ ร์ ริ ก สู งสุ ด คื อ THS0 0 8 , THS0 1 5 แ ล ะ THS0 1 3 มี ค่ า เท่ ากั บ
43
3.2 ± 0.0, 3.1 ± 0.1 และ 3.0 ± 0.0 mg of ferrous sulphate equivalence/g of extract สารสกัด ที่มีป ริมาณฟีนอลิกสูงสุด คือ THS015, THS005 และ THS009 พบในปริมาณ 3.4–3.0 mg GAE/ml สารสกัดที่มีป ริมาณฟลาโวนอยด์สู งสุด คือ ตำรับที่ THS014, THS011 และ THS005 พบในปริมาณ 4.4–3.3 mg CE/ml และสารสกั ด ที่ มี ป ริ ม าณแทนนิ น สู ง สุ ด คื อ ตำรั บ ที่ THS003, THS004 และ THS001 พบในปริมาณ 2.3–2.2 mg TAE/ml นอกจากนี้ตำรับยาที่มีความสามารถในการลดความเป็น พิษต่อเซลล์ปกติ มากที่สุด คือ THS001 มีค่า IC50 เท่ากับ 18.73 µg/ml และฤทธิ์ต้านมะเร็งเต้านมของ ทุกตำรับมีค่า IC50 > 50 µg/ml จึงน่าจะมีการศึกษาโดยละเอียดถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพต่อไป 4.2.4 การศึกษาการใช้น้ำมันกัญชาในผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะท้าย จากรายงานผลการใช้น้ำมันกัญชาสูตรอาจารย์เดชา[19-20] ในผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะ ท้ายจำนวน 2,359 ราย จาก 22 โรงพยาบาล พบว่า อาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้คุณภาพ ชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนที่ 1 - 3
44
บรรณานุกรม 1. คณะกรรมการจัดทำแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุ ข . แผนการป้ อ งกั น และควบคุ ม โรคมะเร็ ง แห่ ง ชาติ National Cancer Control Programme (พ.ศ. 2561-2565). 2. รายงานตามตัวชี้วัดกระทรวง ปี 2564. [ออนไลน์ ]. ที่มา: https://hdcservice.moph.go.th/ hdc/reports/page.php?cat_id=59acae7a68f02c8e2c0cb88dfc6df3b3 3. World Health Organization. National cancer control Programmes: Policy and Managerial Guidline. 2002. [Internet]. Available from: http://apps.who.int/iris/bitstream/10665/42494/1/9241545577.pdf. 4. โรงพยาบาลสงฆ์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาแบบ ประคับประคอง. 2551. 5. สถาบั น การแพทย์ แ ผนไทย. คู่ มื อ ประชาชนในการดู แ ลสุ ข ภาพด้ ว ยการแพทย์ แ ผนไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระราชูปถัมภ์; 2547. 6. ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ และคณะ. คู่มือการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายแบบประคับประคอง (Palliative Care) แบบบู ร ณาการ. พิ มพ์ ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษั ท เบสท์ ส เต็ ป แอ็ดเวอร์ไทซิ่ ง จำกัด ; 2561. 128 หน้า. 7. เอื้อกานต์ วรไพฑูรย์. แนวทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองแบบบูรณาการ (สำหรับแพทย์แผนไทยและสหวิชาชีพ). กรุงเทพฯ: บริษัท เบสท์สเต็ป แอ็ดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ; 2563. 108 หน้า. 8. โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน. แนวเวชปฏิบัติในการใช้ยากัญชาใน ผู้ป่วยมะเร็งในโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน. กรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข. 2562. ไม่ได้ตีพิมพ์. 9. ยงศักดิ์ ตันติปิฎก, รวงทิพย์ ตันติปิฎก, ธนัช นาคะพันธ์, มณฑกา ธีรชัยสกุล . โรคมะเร็งตับและ การบำบัดตามหลักการแพทย์แผนไทย: การศึกษาเชิงคุณภาพ. Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 2018;16(3). 10. สิริรัตน์ จันทรมะโน, เจนระวี สว่างอารีย์รักษ์. การศึกษาวิจัยภูมิปัญญาการรักษาโรคมะเร็งของ หมอพื้ น บ้ าน: กรณี ศึกษาหมอพื้นบ้ าน 4 ราย. Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 2017;15(3). 11. มณฑกา ธี ร ชั ย สกุ ล , ธนั ช นาคะพั น ธ์ , รสสุ ค นธ์ กลิ่ น หอม, ฉั ต รทิ พ ย์ ศิ ล ารั งษี , กมลวรรณ บานชื่น , ธนั ญ ชนก ฉ่ำเย็ น อุร า, นุช ลดา โรจนประภาพรรณ, ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ . การใช้ สมุนไพรและประสบการณ์อาการของผู้ป่วยมะเร็ง: การสำรวจภาคตัดขวางกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่รับตำรับ ยาสมุ น ไพรของนายแสงชั ย แหเลิ ศ ตระกู ล . Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 2020;18(1). 12. ปรี ชา หนู ทิ ม, ณั ฏฐิญา ค้ าผล, วารณี บุ ญช่ วยเหลื อ. กระบวนการความร่วมมือการปฏิบั ติงาน ระหว่างวิชาชีพแพทย์แผนไทยและทีมสหวิชาชีพแผนปัจจุบันในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับ
45
ระยะสุ ด ท้ า ยด้ ว ยการแพทย์ แ ผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์ แ ผนไทย . Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 2018;16(3). 13. ปรีชา หนูทิม, รัชนี จันทร์เกษ, อมรรัตน์ ราชเดิม. ประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วย มะเร็งระยะสุดท้ายด้วยการแพทย์แผนไทย ในโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย. Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 2020;18(3). 14. ดวงแก้ว ปัญญาภู และคณะ. การควบคุมมาตรฐานสมุนไพร ฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ในหลอดทดลอง พิษวิทยา และการติดตามผลการรักษาโรคมะเร็งตับด้วยยาเบญจอำมฤตย์ตามศาสตร์การแพทย์ แผนไทย. มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ ปี 2559; 17-21 สิงหาคม 2559:โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์. กรุงเทพฯ. 15. กุลสิริ ยศเสถียร, วิวรรณ วรกุลพาณิชย์ , มณฑกา ธีรชัยสกุล , ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ . ตำรับยา เบญจอำมฤตย์ในผู้ป่วยมะเร็งตับ: ความปลอดภัยและคุณภาพชีวิต Traditional Thai Medicine Formulary “Benja Amarit” in liver cancer patients: A Safety and Quality of life. Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 2017;15(3). 16. ปรีชา หนูทิม, อมรรัตน์ ราชเดิม, วรวุฒิ รักไทรทอง. ประสิทธิผลการพอกตำรับยาห้ารากบรรเทา อาการปวดบริเวณตำแหน่งตับใต้ชายโครงข้างขวาตามแนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วย มะเร็งตับระยะสุดท้ายด้านการแพทย์แผนไทย ในโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ผสมผสาน. Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 2020;18(1). 17. มณฑกา ธีรชัยสกุล, ธนุตม์ ก้วยเจริญพานิชก์, วิวรรณ วรกุลพาณิชย์, กมลวรรณ บานชื่น, อัญชลี ไชยสัจ, ธวัช ชัย กมลธรรม. ความปลอดภัยและประสิทธิผลทางคลินิกของตำรับยา N040 ใน ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะแพร่กระจายและไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน. Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 2018;16(3). 18. ปริยาภัทร สิงห์ทอง, พรประภา ชุนถอม, ศศิธร ชูศรี. การประเมินเบื้องต้นในหลอดทดลองถึง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งเต้านม MCF7 ในตำรับยาบำรุงกำลังของหมอ พื้นบ้าน. Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 2018;16(3). 19. Stienrut P et al. Thai Cannabis Practice Patterns and Quality of Life Study (Thai Cannabis PQ): A Preliminary Analysis#471887. Department of Thai Traditional and Alternative Medicine report. 2020. 20. Phutrakool P. Thai CannabisPQ Report. Department of Thai Traditional and Alternative Medicine report. 2020.
46
คณะผู้จัดทำ
ที่ปรึกษา 1. แพทย์หญิงอัมพร
เบญจพลพิทักษ์
อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
2. นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์
รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
3. นายแพทย์ธิติ
แสวงธรรม
รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
4. ดร.รัชนี
จันทร์เกษ
ผู้อำนวยการกองวิชาการและแผนงาน
ผู้รวบรวมและเรียบเรียง 1. ดร.ภญ.ดวงแก้ว
ปัญญาภู
เภสัชกรชำนาญการพิเศษ
2. พท.อมรรัตน์
ราชเดิม
แพทย์แผนไทยชำนาญการ
3. พท.วัชราภรณ์
นิลเพ็ชร์
แพทย์แผนไทยปฏิบัติการ
4. นางสาวธัญลักษณ์ พลอยงาม
นักวิชาการคอมพิวเตอร์