Data Loading...
ประวัติศาสตร์นาฎศิลป์ไทย Flipbook PDF
ประวัติศาสตร์นาฎศิลป์ไทย
146 Views
145 Downloads
FLIP PDF 1.82MB
ประวัติศาสตร์นาฎศิลป์ไทย นาฏศิลป์ไทย เป็นศิลปะการแสดงประกอบดนตรีของไทย เช่น ฟ้อน รำ ระบำ โขน แต่ละท้องถิ่นจะมีชื่อเรียก และมีลีลาท่าการแสดงที่แตกต่างกันไป สาเหตุหลักมาจากภูมิประเทศ ภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น ความเชื่อ ศาสนา ภาษา นิสัยใจคอของผู้คน ชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละภาค
เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “ฟ้อน” การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เป็นต้น ลักษณะของการฟ้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบดั้งเดิม และแบบที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ แต่ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่ แช่มช้า อ่อนช้อยมีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวง ดนตรีพื้นบ้าน เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว เป็นต้น โอกาสที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณีหรือ ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
นาฏศิลป์ไทยเป็นการเล่นเครื่องดนตรีหลายๆชนิดการละครฟ้อนรำและดนตรีอันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะ หรือนาฏยะกำหนดว่า ต้องประกอบไปด้วย 3 ประการ คือ การฟ้อนรำ การดนตรี และการขับร้อง รวมเข้า ด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ เป็นอุปนิสัยของคนมาแต่ดึกดำบรรพ์ นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดจากสาเหตุแนวคิด ต่าง ๆ เช่น เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ไม่ว่าจะอารมณ์แห่งสุข หรือความทุกข์และสะท้อน ออกมาเป็นท่าทางแบบธรรมชาติและประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นท่าทางลีลาการฟ้อนรำ หรือเกิดจากลัทธิความเชื่อใน การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธ์ เทพเจ้า โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรำ ขับร้องฟ้อนรำให้เกิดความพึงพอใจ เป็นต้น
นาฏศิลป์ไทยยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น วัฒนธรรมอินเดีย เกี่ยวกับวรรณกรรมที่เป็นเรื่องของเทพเจ้าและตำนานการฟ้อนรำโดยผ่านเข้าสู่ประเทศไทยทั้งทางตรงและ ทางอ้อมคือผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์ของไทย เช่น ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราชที่สร้างเป็นท่าการร่ายรำของพระอิศวร ซึ่งมีทั้งหมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครั้งแรกในโลก ณ ตำบลจิทรัมพรัม เมืองมัทราส อินเดียใต้ ปัจจุบันอยู่ในรัฐทมิฬนาดู นับเป็นคัมภีร์สำหรับการฟ้อนรำ แต่งโดยพระภรตมุนี เรียกว่า"คัมภีร์ภรตนาฏยศาสตร์" ถือเป็นอิทธิพลสำคัญ ต่อแบบแผนการสืบสานและถ่ายทอดนาฏศิลป์ของไทยจนเกิดขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่มีรูปแบบ
แบบแผนการเรียน การฝึกหัด จารีต ขนบธรรมเนียมมาจนถึงปัจจุบัน บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาทางด้าน นาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐานว่า อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฏศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามประวัติการสร้างเทวาลัยศิวะนาฏราชที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็นระยะที่ ไทยเริ่มก่อตั้งกรุงสุโขทัย ดังนั้นท่ารำไทยที่ดัดแปลงมาจากอินเดียในครั้งแรกจึงเป็นความคิดของนักปราชญ์ใน สมัยกรุงศรีอยุธยา และมีการแก้ไขปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในกรุงรัตนโกสินทร์ จนนำมาสู่การประดิษฐ์ท่า ร่ายรำและละครไทยมาจนถึงปัจจุบัน
บันทึกในสมัยอยุธยา ในสมัยอยุธยามีหลักฐานปรากฏในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า มีการให้จัดแสดงโขน และการ แสดงประเภทอื่นขึ้นในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา ในลักษณะที่กล่าวได้ว่าเกือบจะเหมือนกับรูปแบบ ของนาฏศิลป์ไทยที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน และที่แพร่หลายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยใน ระหว่างที่ราชอาณาจักรอยุธยายังมีสัมพันธ์ทางการทูตโดยตรงกับฝรั่งเศส ราชทูตฝรั่งเศส ชื่อ ซีมง เดอ ลาลู แบร์ ได้เข้ามายังประเทศสยาม ในปี ค.ศ. 1687 และพำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้จด บันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศสยาม ตั้งแต่การปกครอง ภาษา ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี โดย ลาลูแบร์ ได้ มีโอกาสได้สังเกตการแสดงนาฏศิลป์ประเภทต่างๆในราชสำนักไทย และจดบันทึกไว้โดยละเอียดดังนี้:
"ชาวสยามมีศิลปะการเวทีอยู่สามประเภท: ประเภทที่เรียกว่า"โขน"นั้น เป็นการร่ายรำเข้า ๆ ออก ๆ หลายคำ รบ ตามจังหวะซอและเครื่องดนตรีอย่างอื่นอีก ผู้แสดงนั้นสวมหน้ากาก และถืออาวุธ แสดงบทหนักไปในทางสู้ รบกันมากกว่าจะเป็นการร่ายรำ และมาตรว่าการแสดงส่วนใหญ่จะหนักไปในทางโลดเต้นเผ่นโผนโจนทะยาน และวางท่าอย่างเกินสมควรแล้ว นาน ๆ ก็จะหยุดเจรจาออกมาสักคำสองคำ หน้ากาก (หัวโขน) ส่วนใหญ่นั้น น่าเกลียด เป็นหน้าสัตว์ที่มีรูปพรรณวิตถาร หรือไม่เป็นหน้าอสูรปีศาจ" ส่วนการแสดงประเภทที่เรียกว่า "ละคร" นั้นเป็นบทกวีที่ผสมผสานกัน ระหว่างมหากาพย์ และบทละครพูด ซึ่งแสดงกันยืดยาวไปสามวันเต็มๆ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า จนถึง ๑ ทุ่ม ละครเหล่านี้เป็น ประวัติศาสตร์ที่ร้อยเรียงเป็นบทกลอนที่เคร่งครึม และขับร้อง โดยผู้แสดงหลายคนที่อยู่ในฉากพร้อมๆกัน และเพียงแต่ร้องโต้ตอบกันเท่านั้น โดยมีคนหนึ่งขับร้องในส่วนเนื้อ เรื่อง ส่วนที่เหลือจะกล่าวบทพูด แต่ทั้งหมดที่ขับร้องล้วนเป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย ... ส่วน "ระบำ" นั้นเป็นการ รำคู่ของหญิงชาย ซึ่งแสดงออกอย่างอาจหาญ ... นักเต้นทั้งหญิงและชายจะสวมเล็บปลอมซึ่งยาวมาก และทำ จากทองแดง นักแสดงจะขับร้องไปด้วยรำไปด้วย พวกเขาสามารถรำได้โดยไม่เข้าพัวพันกัน เพราะลักษณะการ เต้นเป็นการเดินไปรอบๆ อย่างช้าๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แต่เต็มไปด้วยการบิดและดัดลำตัว และ ท่อนแขน”
ในส่วนที่เกี่ยวกับการแต่งกายของนักแสดงโขน ลา ลูแบร์ ได้บันทึกไว้ว่า:
"นักเต้นใน "ระบำ" และ "โขน" จะสวมชฎาปลายแหลมทำด้วยกระดาษมีลวดลายสีทอง ซึ่งดูคล้ายๆหมวกของ พวกข้าราชการสยามที่ใส่ในงานพิธี แต่จะหุ้มตลอดศีรษะด้านข้างไปจนถึงใต้หู และตกแต่งด้วยหินอัญมณี เลียนแบบ และมีห้อยพู่สองข้างเป็นไม้ทาสีทอง"
ชฎาเกิดขึ้นช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โดยพัฒนาการจากลอมพอก ชฎาและมงกุฎต่างกัน คือชฎาจะมียอด ปัดไปข้างหลังเหมือนลอมพอก ส่วนมงกุฎจะมียอดแหลมเป็นปลียอด
ชฎาที่เป็นเครื่องราชศิราภรณ์ส่วนใหญ่เรียกว่า "พระชฎา" หรือ "มงกุฎรอง" มีหลายชนิด ชฎามักใช้ในงาน พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเจ้านายชั้นสูงและใช้ในงานนาฏศิลป์ วัฒนธรรมสมัยใหม่มีการใช้ชฎาเป็นเครื่องแต่งตัว ในการเดินแบบ ถ่ายภาพยนตร์ และประกอบการแสดง
อิทธิพลต่อประเทศในอุษาคเนย์
นาฏศิลป์ และการละครของสยาม ที่ถูกพัฒนาขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีความสมบูรณ์แบบสูง และมีอิทธิพล ต่อศิลปวัฒนธรรมอาณาจักรข้างเคียงมาก ดังที่ กัปตันเจมส์ โลว์ นักวิชาการอังกฤษผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้บันทึกไว้ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์: "พวกชาวสยามได้พัฒนาศิลปะการแสดงละครของตนจนเข้าถึงความสมบูรณ์แบบในระดับสูง -- และในแง่นี้ ศิลปะของสยามจึงเผยแพร่ไปในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในพม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งล้วนแต่เสาะหานักรำละคร ของสยามทั้งสิ้น"
นาฏศิลป์ไทย เป็นเครือญาติ “วัฒนธรรมร่วม” กับนาฏศิลป์สุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ นาฏศิลป์ไทย มีรากเหง้าเก่าแก่อยู่ในอุษาคเนย์ราว 5,000 ปีมาแล้ว เป็น “เครือญาติ” วัฒนธรรมร่วมของ นาฏศิลป์สุวรรณภูมิบนผืนแผ่นดินใหญ่อุษาคเนย์ นาฏศิลป์เป็นคำที่มีผู้ผูกขึ้นใหม่ หมายถึงการละเล่นฟ้อนระบำรำเต้น นาฏศิลป์ไทยกับนาฏศิลป์สุวรรณภูมิเป็นการละเล่นฟ้อนระบำรำเต้นเดียวกัน มีความเป็นมายาวนาน ร่วมกันอย่างแยกไม่ได้ เช่นเดียวกับดินแดนและผู้คนในประเทศไทย มีพัฒนาการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับดินแดนและผู้คน สุวรรณภูมิ รวมทั้งบรรพชนคนไทยกับประวัติศาสตร์ไทย นับเป็นส่วนหนึ่งอย่างแยกไม่ได้จากบรรพชนคนสุวรรณ ภูมิและประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ
เหตุที่ทุกวันนี้ต้องแยกกัน มาจากการล่าอาณานิคมของเจ้าอาณานิคมยุโรปเมื่อ 100 ปีที่แล้ว (ตรงกับแผ่นดิน รัชกาลที่ 4, 5) กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ราวหลัง พ.ศ. 2488 ทำให้เกิดเส้นกั้นอาณาเขตแบ่งแต่ละประเทศ ออกจากกัน แล้วตัดขาดความสัมพันธ์แบบเครือญาติที่เคยมีตั้งแต่หลายพันปีมาแล้ว แต่พื้นฐานทางสังคม วัฒนธรรมยังสืบเนื่องคล้ายคลึงกัน
นาฏศิลป์ไทยกับคนไทย นาฏศิลป์ไทยกับนาฏศิลป์สุวรรณภูมิเป็นการเล่นฟ้อนรำ มีรากเหง้าความเป็นมาเดียวกัน แยกออกจากกันไม่ได้ เช่นเดียวกับคนไทยมีบรรพชนร่วมกันกับคนสุวรรณภูมิ แยกออกจากกันไม่ได้ และไม่ได้อพยพอย่าง ถอนรากถอนโคนมาจากที่ไหนๆ ดังนั้นที่ว่าคนไทยอพยพมาจากที่อื่น แล้วเอานาฏศิลป์กับดนตรีไทยติดมาด้วยจึงไม่จริง
นาฏศิลป์มีประวัติศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์ของฟ้อนระบำรำเต้นและเพลง คลุกเคล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มตราบจนถึงปัจจุบันและอนาคต กำเนิดของฟ้อนระบำรำเต้นและเพลง ไม่ได้มีขึ้นเพื่อความสุขสนุกสนานของมนุษย์ทั้งในแง่ส่วนตัวและ ส่วนรวม
แท้จริงแล้วฟ้อนระบำรำเต้นและเพลง เมื่อแรกมีพัฒนาการเพื่อวิงวอนร้องขอในพิธีกรรมเพื่อความอยู่ รอดของคนและ ชุมชนยุคดึกดำบรรพ์ เช่น ขอให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย, ขอให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อให้พืช พันธุ์ธัญญาหารเติบโตอุดมสมบูรณ์มีกินเลี้ยง ชีวิตตลอดฤดูกาล ต่อมาฟ้อนระบำรำเต้นและเพลงมีพัฒนาการเป็นการละเล่นศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจรัฐ ก่อนจะเป็นสินค้า อุตสาหกรรมตราบจนปัจจุบัน
นาฏศิลป์เพื่อพิธีกรรม ไม่ใช่นาฏศิลป์เพื่อดู นาฏศิลป์สุวรรณภูมิ รวมทั้งนาฏศิลป์ไทย เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม เพื่อความอุดมสมบูรณ์ในพืชพันธุ์ ธัญญาหาร และรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ใช่นาฏศิลป์เพื่อดูเพลินๆ สนุกๆ ซึ่งเพิ่งพัฒนาขึ้นสมัยหลัง มีคำคล้องจองแสดงลักษณะนาฏศิลป์ฟ้อนระบำรำเต้นเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม คือ ร้องรำทำเพลง ระบุชัดเจนว่ารำ เป็นส่วนสำคัญของร้อง, และเพลงดนตรีในพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง นาฏศิลป์ในประเทศไทย นาฏศิลป์ไทย หมายถึงฟ้อนระบำรำเต้นในดินแดนประเทศไทย มีทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างอยู่ในภาคต่างๆ คือ ภาคเหนือ มี ฟ้อนผี, ฟ้อนแห่ครัวทาน, ฟ้อนต่างๆ ฯลฯ ภาคอีสาน มี ฟ้อนผี, ฟ้อนต่างๆ ฯลฯ ภาคใต้ มี โนรา, ชาตรี, ฯลฯ ภาคกลาง มี รำ, ระบำ, โขน, ละคร ฯลฯ
เทียบได้กับ คนไทย หมายถึงคนในดินแดนประเทศไทย แม้จะมีรากเหง้าเผ่าพันธุ์เป็นลาว (เหนือ, อีสาน), เขมร (ลุ่มน้ำ มูล), มลายู (ใต้) เมื่อมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยหรือมีบรรพชนเป็นคนในไทย ก็นับเป็น คนไทยทั้งนั้น เอกสารทางการระบุอย่างคับแคบว่า นาฏศิลป์ไทย หมายถึง รำ, ระบำ, โขน, ละคร เท่ากับยกย่องนาฏศิลป์ ภาคกลางเท่านั้นเป็น “นาฏศิลป์ไทย” ส่วนภาคอื่น คือ ภาคใต้, ภาคอีสาน, ภาคเหนือ เป็น “นาฏศิลป์ พื้นเมือง” เท่ากับดูถูกว่าไม่ใช่ไทย
นาฏศิลป์ไทย ไม่ได้มาจากอินเดีย นาฏศิลป์ไทย มีพัฒนาการร่วมกันกับนาฏศิลป์หรือฟ้อนระบำรำเต้น สุวรรณภูมิ อยู่ในภูมิภาคอุษาคเนย์ราว 5,000 ปีมาแล้ว ฉะนั้นนาฏศิลป์ไทยไม่ได้มีกำเนิดจากเมืองจิทัมพรัม รัฐทมิฬนาฑู อินเดียใต้ ตามตำนานศิวนาฏราช ปราบอสูรมูลาคนี ที่สถาบันต่างๆ ยึดถือเป็นตำราถูกต้อง นาฏศิลป์ไทย ไม่ได้มาจากจีน คนไทยและความเป็นไทยมีบรรพชนร่วมกันกับคนสุวรรณภูมิไม่น้อยกว่า 5,000 ปีมาแล้ว ไม่มีหลักฐาน ว่า “อพยพ” จากเทือกเขาอัลไต, อาณาจักรน่านเจ้า, ฯลฯ ในดินแดนจีน ฉะนั้นนาฏศิลป์ไทยจึงไม่มีกำเนิดในจีน ไม่ว่าที่อัลไต, หรือน่านเจ้า
ร้องรำทำเพลง ร้องรำทำเพลง หมายถึง ร้อง, รำ, และดีดสีตีเป่า รำ เป็นคำเขมร เช่นเดียวกับระบำ ตรงกับคำลาวว่า ฟ้อน แล้วไทยขอยืมมาใช้ซ้อนกัน เช่น ฟ้อนรำ, เต้นรำ, ฟ้อนระบำ, เต้นระบำ ปัจจุบันผูกคำบาลีสันสกฤตเรียกรวมๆ ว่า นาฏศิลป์ เพลง หมายถึง ทำนองได้จากเสียงสูงต่ำที่มนุษย์สร้างขึ้นมีจังหวะต่างๆ คำนี้มีรากจากภาษาเขมรว่า เภฺลง (อ่านว่า เพลง) คำไทย-ลาว มีความหมายใกล้เคียงกับเพลง คือ ขับ, ลำ (มักเข้าใจผิด แล้วเขียนผิดเป็น รำ)
ประเภทของนาฏศิลป์ไทย
นาฏศิลป์ไทย แบ่งออกเป็น 4 ประ 1.รำ คือการแสดงที่มุ่งเน้นถึงศิลปะท่วงท่า ดนตรี ไม่มีการแสดงเป็น เรื่องราว รำบางชุดเป็นการชมความงาม บางชุดตัดตอนมาจากวรรณคดี หรือบางที่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเนื้อ เพลงเช่นการรำหน้าพาทย์เป็นต้น รำจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
1) รำ 1.1 รำเดี่ยว เป็นการแสดงที่มุ่งอวดศิลปะทางนาฏศิลป์อย่างแท้จริงชึ่งผู้รำจะต้อมมีผีมือดีเยี่ยม เพราะเป็นการ แสดงที่แสดงแต่เพียงผู้เดียว รำเดี่ยวโดยส่วนมากก็จะเป็นการรำฉุยฉายต่างๆ เช่น ฉุยฉายเบญจกาย ฉุยฉายวัน ทอง ฯลฯ เป็นต้น
1.2 รำคู่ การแสดงชุดนี้ไม่จำเป็นจะต้องพร้อมเพียงกันแต่อาจมีท่าที่เหมือนก็ได้ เพราะการรำคู่นี้เป็นการใช้ ลีลาที่แตกต่างกันระหว่างผู้แสดงสองคน เช่นตัวพระ กับตัวนาง หรือบทบาทของตัวแสดงนั้น รำคู่นี้ก็จะแบ่ง ออกเป็นสองประเภท คือ 1.2.1 รำคู่สวยงามจากวรรณคดี เช่น หนุมานจับนาสุพรรณมัจฉา เป็นต้น 1.2.2 รำ มุ่งอวดการใช้อุปกรณ์ เช่น การรำอาวุธ รำกระบี่กระบอง 1.3 รำหมู่ รำชุดนี้เป็นการรำที่เน้นความพร้อมเพรียง เช่นรำอวยพรชุดต่างๆ 1.4 รำละคร คือการรำที่ใช้ในการแสดงละครหรือโขน เป็นการแสดงท่าท่างสื่อความหมายไปกับบทร้อง หรือ บทละคร และเพลงหน้าพาทย์ต่างๆในการแสดงละครเภท
ความหมายของการรำ รำ หมายถึง ศิลปะแห่งการรายรำที่มีผู้แสดง ตั้งแต่ 1-2 คน หรือมากกว่า เช่น การรำเดี่ยว การรำคู่ การรำหมู่ เป็นต้น มีลักษณะการแต่งการตามรูปแบบของการแสดง ไม่เล่นเป็นเรื่องราวอาจมีบทขับร้องประกอบการรำ เข้ากับทำนองเพลงดนตรี มีกระบวนท่ารำ โดยเฉพาะการรำคู่จะต่างกับระบำ เนื่องจากท่ารำจะมีความ เชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องกัน และเป็นบทเฉพาะสำหรับผู้แสดงนั้น ๆ เช่น รำเพลงช้าเพลงเร็ว รำแม่บท รำ เมขลา –รามสูร เป็นต้น
ศิลปะแห่งการฟ้อนรำ หรือนาฏศิลป์ ซึ่งเป็นหัวใจของการแสดงระบำและละครรำ การฟ้อนรำ หรือนาฎศิลป์ ย่อมประกอบด้วยท่าทางเคลื่อนไหว หรือกิริยาอาการ ซึ่งท่านคณาจารย์ทางนาฏศิลป์ได้คัดเลือกนำมาประยุกต์ขึ้น เป็นท่าฟ้อนรำ ท่าบางท่า ก็เอา มาจากกิริยาท่าทางของมนุษย์ เช่น ท่ารำแม่บทในตำราฟ้อนรำของไทยหลายท่า เช่น ท่าที่เรียกว่าสอดสร้อย มาลา พิสมัยเรียงหมอน นางกล่อมตัว และโจงกระเบนตีเหล็ก เป็นต้น ท่าบางท่าก็เอามาจากกิริยาท่าทางของ สัตว์ เช่น ท่าเรียกในตำราฟ้อนรำว่า สิงโตเล่นหาง แขกเต้าเข้ารัง นกยูงฟ้อนหาง กวางเดินดง ท่าชะนีร่ายไม้ หงส์ลินลา และท่าฟ้อนรำบางท่าก็นำมาจากสิ่งธรรมชาติ อย่างเช่น ท่าที่เรียกในตำราฟ้อนรำว่า ลมพัดยอด ตอง บัวชูฝัก เครือวัลย์พันไม้ พระจันทร์ทรงกลด ท่ารำของไทยนั้น แม้จะเอามาจากกิริยาท่าทางของมนุษย์ สัตว์และสิ่งธรรมชาติ ตลอดจนบางท่าที่เราเลียนแบบมาจากต่างชาติ แต่ก็ได้ประดิษฐ์ดัดแปลงให้เข้ากับหลัก แห่งความเชื่อถือ ประกอบด้วยจารีตประเพณีและวิถีชีวิตประจำวันของคนไทย ซึ่งถือเป็นแบบฉบับสืบมา ฉะนั้น ท่าระบำรำฟ้อนของนาฏศิลป์ไทย แม้จะดูห่างไกลไปจากกิริยาท่าทางและสิ่งธรรมชาติจริงๆ ไปบ้าง ก็ พึงทราบว่าท่านมิได้นำเอามาโดยตรง หากแต่ได้เลียนเอามา แล้วมีการประดิษฐ์ดัดแปลงให้เป็นศิลปะที่งดงาม เพริศพริ้งยิ่งขึ้นอีกด้วย
ท่ารำหรือนาฏศิลป์ของไทยนั้น เป็นการประดิษฐ์ขึ้นให้เห็นงามด้วยความคิดฝันเป็นจินตนาการ ท่ารำของโขน ละครไทยจึงเป็นอย่างวิถีแห่งกวี หลักการในเรื่องศิลปะของไทยเรา เป็นเรื่องที่ควรพิจารณานำมาศึกษาในด้าน จิตใจหรือเจตนารมณ์ แล้วจะมีความเข้าใจ และเมื่อเกิดความเข้าใจแล้ว ก็จะซาบซึ้งในรสของศิลปะเป็นอย่างดี ดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า ศิลปะของไทยนั้นหลายอย่างหลายประการเราเลียนมาจากธรรมชาติ โดยเฉพาะ ท่ารำหรือนาฏศิลป์ เราเลียนมาจากกิริยาท่าทางของคนและสัตว์ บางท่าเลียนมาจากธรรมชาติ แต่เมื่อเรา เลียนมาแล้ว เราเอามาประดิษฐ์ให้เป็นศิลปะที่งดงามตามลีลา ท่ารำ และเยื้องกรายให้เข้ากับท่วงทำนองขับ ร้องและดนตรี เช่น จะชี้นิ้วก็มีท่ายกแขนวาดข้อมือแล้วชี้นิ้ว ศิลปินคนใดทำได้สวยงามก็จะน่าดูมาก การรำซ้ำ ท่าหรือทำนองดนตรีที่มีลีลาซ้ำก็เป็นแบบแผนประเพณีนิยมของไทย เป็นการย้ำซ้ำจังหวะซึ่งถือว่าเก๋ ในศิลปะ ทางวรรณคดีของไทยยังใช้คำซ้ำ เช่น พะพราย ยะยิ้ม ยะแย้ม บางครั้งยืดเสียง เช่น เพราะ-ไพเราะ ฯลฯ แต่ก็ มิได้ซ้ำเฉยๆ หากแต่มกี ารพลิกแพลง ถ้าดูและฟังด้วยความเข้าใจก็จะรู้สึกว่างดงามและไพเราะ ผู้ดูผู้ฟังจำต้อง ใช้ความคิดและปัญญาโดยสร้างจินตนาการของตนเองตามไปด้วย ถ้าทราบหลักการและจารีตประเพณีของไทย แล้วตั้งใจและใช้ความสังเกตเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้สามารถติดตามเรื่องและเข้าใจความหมาย ทั้งอาจ มองเห็นไปถึงจิตใจอันประณีตแจ่มใสของประชาชนคนไทย ซึ่งแฝงอยู่ในศิลปะที่สวยงามเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
ฉะนั้น สถานที่สำหรับแสดงโขนละครฟ้อนรำของไทยแต่โบราณ จึงไม่มีฉากประกอบจะมีแต่ม่านกั้น มีช่อง ประตูเข้าออก ๒ ข้าง หลังม่านเป็นที่พักของผู้แสดงโขนและละคร ข้างหน้าม่านออกมามีเตียงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สำหรับให้โขนละครตัวสำคัญนั่ง หรือนอน หรือยืนตามแต่บท ถัดออกมาเป็นที่ว่าง จะปูเสื่อหรือพรมก็ได้ ตามแต่ฐานะ สำหรับให้ตัวโขนละครนั่ง ยืน เดิน หรือรบพุ่งต่อสู้กัน ตามแต่จะมีบทบอกให้แสดง ถ้าเป็นละคร นอก เมื่อยังไม่ถึงบท ผู้เล่นจะไปนั่งอยู่กับคนดูก็ได้
2.)ระบำ
ระบำ เป็นคำกริยา หมายถึง การแสดงที่ต้องใช้คนจำนวนมากกว่า 2 คนขึ้นไป ซึ่งการแสดงนั้นๆจะใช้เพลง บรรเลงโดยมีเนื้อร้องหรือไม่มีเนื้อร้องก็ได้ ระบำนั้นเป็นศิลปะของการร่ายรำที่เป็นชุด ไม่ดำเนินเป็นเรื่องราว ผู้ รำแต่งกายงดงาม จุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความงดงามของศิลปะการรำไม่มีการดำเนินเรื่อง
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้คำจำกัดความไว้ว่า การฟ้อนรำเป็นชุดเดียวกัน สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้ว่า ระบำ คือ การรำเล่น เป็นคู่ เข้ากับการขับ ร้องปี่พาทย์ เป็นของสำหรับให้ดูกระบวนการที่รำงามกับฟัง ลำนำขับร้อง และ ดนตรีที่ไพเราะหาได้เล่นเป็น เรื่องเหมือนอย่างโขน ละครไม่ ระบำ เป็นการแสดงหมู่ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ความงามของระบำ อยู่ที่ความพร้อม เพรียงเป็นสำคัญ กระบวนการท่ารำมีหลากหลาย และมีความสมบูรณ์ในตัวเองในแต่ละชุดไม่ดำเนินเรื่องราว เหมือนละคร นอกจากนี้ความงามของระบำยังอยู่ในรูปแบบการแปรแถว เข่น แถวหน้ากระดาน แถวคู่ วงกลม แยกกลุ่ม สลับซ้าย-ขวา เป็นต้นดังนั้น
ระบำ คือการแสดงที่มีความหมายในตัวใช้ผู้แสดงสองคนขึ้นไป คือผู้คิดได้มีวิสัยทัศน์และต้องการสื่อการแสดง ชุดนั้นผ่านทางบทร้อง เพลง หรือการแต่งกายแบบ ที่มาจากแรงบัลดาลใจ จากเรื่องต่างๆเช่นวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และเป็นการแสดงที่จบในชุดๆเดียว เป็นต้น ระบำ จะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ 2.1 ระบำมาตรฐาน เป็นระบำที่บรมครูทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นไว้ ทั้งเรื่องเพลง บทร้อง การแต่งกาย ท่ารำ ซึ่ง ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ระบำมาตรฐานจะมีอยู่ทั้งหมด 6ชุด คือ ระบำสี่บท ระบำย่องหงิดหรือยู่หงิด ระบำพรมมาตร ระบำดาวดึงส์ ระบำกฤษดา ระบำเทพบันเทิง
2.2 ระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เป็นระบำที่บรมครูหรือผู้รู้ทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นและปรับปรุงชึ้นมาใหม่ ชึ่ง สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาส อาจเป็นระบำที่ได้แรงบัลดาลใจที่ผู้ประดิษฐ์ต้องการสื่ออาจเป็น เรื่องของการแต่งกาย วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ระบำปรับปรุงมีอยู่หลากหลายเช่น ระบำชุมนุมเผ่าไทย ระบำไกรราศสำเริง ระบำไก่ ระบำสุโขทัย ฯลฯ เป็นต้น ฟ้อน และ เซิ้ง ก็จัดว่าเป็นระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เพราะผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นขึ้นมา มีการ แต่งการตามท้องถิ่นเพราะการแสดงแต่ละชุดได้เกิดขึ้นมาจากแรงบัลดาลใจของผู้คิดที่จะถ่ายทอดไม่ว่าจะเป็น เรื่องของวิถีชีวิต การแต่งกาย ดนตรี เพลง และการเรียกชื่อการแสดงนั้น จะเรียกตาม ภาษาท้องถิ่น และการ แต่งกายก็แต่งกายตามท้องถิ่น เช่นภาคเหนือก็จะเรียกว่าฟ้อน เช่นฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ภาคอิสานก็จะเรียก และแต่งกายตามท้องถิ่น ทางภาคอิสานเช่น เซิ้งกะติ๊บข้าว เซิ้งสวิง เป็นต้น การแสดงต่างๆล้วนแล้วแต่เกิด ขึ้นมาจากท้องถิ่นและแต่งกายตามท้องถิ่นไม่ได้มีหลักหรือ เกณฑ์ที่ใช้กันโดยทั่วไปในวงการนาฏศิลป์ไทยทั่ว ประเทศสามารถปรับปรุงหรื่อเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาสที่แสดง จึงถือว่า การฟ้อนและการเซิ้งเป็นระบำที่ ปรับปรุงขึ้นใหม่
ฟ้อน เป็นการแสดงพื้นเมือง อันเป็นศิลปะของไทยฝ่ายเหนือ เป็นการร่ายรำที่แสดงพร้อมกันเป็นชุดๆ ไม่ ดำเนินเป็นเรื่องราว ท่าทางกรีดกรายร่ายรำบางท่า แม้จะไม่มีความหมายนอกจากความสวยงาม แต่บางท่า มีความหมายตามท่าและบทร้อง ในสมัยโบราณฟ้อนใช้แสดงประกอบเฉพาะในวันสำคัญในพระราชพิธีและ พระราชฐานเท่านั้น เช่น ในคุ้มหลวง ผู้ฟ้อนโดยมากล้วนเป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์ฝ่ายในทั้งสิ้น ศิลปะการ ฟ้อนอยู่ที่ความพร้อมเพรียงและความอ่อนช้อยของท่ารำเป็นสำคัญ จำนวนผู้แสดงมักแสดงเป็นหมู่ราว 8 คน หรือ 4 คู่ บางทีก็แสดงกลางแจ้งนับ 10 คู่ หรือจำนวนร้อยคู่ขึ้นไป เครื่องแต่งกายเป็นแบบชาวเหนือสลับสี กันอย่างงดงาม การฟ้อนที่นิยมในปัจจุบันได้แก่ ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนลาวแพน ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ฟ้อนม่านมงคล ฟ้อนบายศรี เป็นต้น
คุณค่าและประเภทของการฟ้อน การฟ้อนได้กล่าวว่าเป็นการแสดงออกถึงวัฒนธรรมและขนบประเพณีชาวเหนือ ซึ่งมี ลักษณะเฉพาะ ทั้งการต่างกาย จังหวะ และลีลา ท่าทางการฟ้อนรำ เพลงและดนตรีที่ใช้ประกอบ จึง นับเป็นศิลปะและวัฒนธรรมของชาวภาคเหนือโดยแท้ การแต่งกาย การฟ้อนทุกชนิดของภาคเหนือจะเห็นว่า ผู้หญิงจะนุ่งผ้ามีเชิงยาวกรอมเท้า ใส่เสื้อแขนยาวจรด ข้อมือ ห่มสไบ หรือมีสไบยาวคล้องคลุมปล่อยชายลงมาถึงเข่า เพราะอากาศทางภาคเหนือเย็นสบาย ประชาชนจึงนิยมใส่เสื้อแขนยาวและห่มสไบ ผมเกล้าสูงทัดดอกไม้แล้วห้อยอุบะ เพราะทางภาคเหนือมี อากาศดี ดอกไม้จึงสวยงาม โดยเฉพาะดอกเอื้อง หรือดอกกล้วยไม้มีมาก นำมาประดับผมทำให้สวยงามทั้ง ผู้ฟ้อนและลีลาการฟ้อน
ดนตรีประกอบเพลงในการฟ้อน
เครือ่ งดนตรีประกอบด้วยเครื่องให้จังหวะและเครื่องประกอบทำนองการบรรเลง คือ ปี่ ท่วงท่าลีลาท่าทาง การฟ้อนจะเป็นไปอย่างช้าๆ อ่อนช้อยสวยงาม แสดงถึงอุปนิสัยของชาวภาคเหนือว่ามีความเรียบร้อยอ่อนโยน นุ่มนวล โอบอ้อมอารี และยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ การฟ้อนซึ่งจะเห็นจากการฟ้อนบายศรี ฟ้อนเทียน ฟ้อน ม่านมงคล เป็นต้น ซึ่งการฟ้อนหลายอย่างจะใช้ในการต้อนรับแขกเมือง หรือแขกเกียรติยศของประเทศ
การฟ้อนมีความงามอยู่ที่ความอ่อนช้อยและความพร้อมเพรียงเป็นสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ความร่วมมือประสานสามัคคีกลมเกลียวของชาวภาคเหนือได้เป็นอย่างดี แม้ว่าสังคมปัจจุบันจะเริ่มก้าวไปสู่ แสงสีแห่งอารยธรรมตะวันตก หันความนิยมไปยังสิ่งที่คิดว่าแปลกใหม่ มากขึ้นก็ตาม แก่การฟ้อนของชาว ภาคเหนือก็ยังเป็นที่ยอมรับและนิยมในสังคมปัจจุบันอยู่ ดังจะเห็นได้จากการฟ้อนของชาวเชียงใหม่ใน เทศกาลต่างๆ ในเฉพาะเกี่ยวกับงานทางศาสนา เช่น เทศกาลเข้าพรรษา ทางสลากภัติ กฐิน ทอดผ้าป่า ฯลฯ ก็จะมีการฟ้อนต่างๆให้ได้ชมกันอยู่เสมอ ในงานขันโตกดินเนอร์ (คือการเลี้ยงอาหารแบบไทยทาง ภาคเหนือในเวลาเย็น ส่วนมากใช้ในโอกาสต้อนรับแขกต่างประเทศ) ก็จัดขึ้นเพื่อต้อนรับแขกเมือง สิ่งที่เชิด หน้าชูตาอย่างยิ่งก็คือ ลีลาอ่อนช้อยงดงามของการฟ้อนนี่เอง การฟ้อนมิได้นิยมแต่เฉพาะในสังคมของชาว เหนือเท่านั้น แต่ยังได้รับความยกย่องว่าเป็นศิลปะประจำชาติไทยอีกด้วย มีการนำไปแสดงยังต่างประเทศ ทั้งยังเป็นศิลปะที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นอีกด้วย
ปัจจุบัน การฟ้อนได้มีการดัดแปลงท่ารำต่างๆ ให้ดูแปลกใหม่อยู่เสมอและสวยงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีผู้ดัดแปลงการฟ้อนต่างๆ ให้แปลกออกไป แต่ยังคงลักษณะการแต่งกาย และความอ่อนช้อยให้ ลีลาเหมือนเดิม การฟ้อนที่หาดูได้ยากก็คือ ฟ้อนบายศรี ซึ่งในพิธีบายศรีต้อนรับแขกเมือง เนื่องจากการจัด พิธีบายศรีเป็นการยุ่งยากมีพิธีรีตองมากมาย จึงไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก ข้อเสนอแนะที่คิดว่าจะสามารถดำรงการ ฟ้อนบายศรีให้คงอยู่ก็คือ ควรมีการดัดแปลงโดยตัดเอาพิธีต่างๆ ที่เป็นแบบแผนให้น้อยลงบ้างในบางโอกาส ก็จะสามารถจัดพิธีฟ้อนบายศรีสู่ขวัญได้ในงานต้อนรับแขกเมืองต่างๆ ทำให้เกิดบรรยากาศแห่งมิตรไมตรี อบอุ่นประทับใจแกแขก และยังเป็นโอกาสเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยอีกส่วนหนึ่งอีกด้วย
การเซิ้ง
“เซิ้ง” นิยมใช้ในงานบุญบั้งไฟ การเซิ้งบั้งไฟเป็นการฟ้อนประกอบการขับกาพย์เซิ้ง ลักษณะขึ้นลงตามจังหวะ ช้าๆ ของกลองตุ้ม พังฮาด หรือในบางครั้งก็มีโทนประกอบ นิยมเซิ้งกันเป็นกลุ่มๆ ตั้งแต่ 3-4 คนขึ้นไป จะมี หัวหน้าเป็นคนขับกาพย์เซิ้งนำ แล้วคนอื่นๆ จะร้องรับไปเรื่อยๆ
เซิ้งกระติบข้าว
กระติบข้าว หรือภาษาอีสานบางแห่งเรียกว่าก่องข้าว เป็นภาชนะใช้สำหรับใส่ข้าวเหนียว ที่ทรงคุณค่ามากด้วย ภูมิปัญญา เก็บความร้อนได้ดี ในขณะที่ยอมให้ไอน้ำระเหยออกไปได้ ทำให้ข้าวเหนียวที่บรรจุอยู่ภายในกระติบ หรือก่องข้าวไม่แฉะด้วยไอน้ำ (ต่างจากกระติกน้ำแข็งที่เก็บความร้อนได้แต่ไม่ยอมให้ไอน้ำระเหยออก ข้าว เหนียวจึงเปียกแฉะ) ภูมิปัญญานี้มีเคล็ดลับอยู่ที่การสานกระติบเป็นสองชั้น ชั้นในสุดจะสานด้วยตอกให้มีตาห่างเล็กน้อย เพื่อให้ไอ น้ำระเหยออกจากข้าวผ่านช่องว่างภายในกระติบข้าวชั้นในได้ ในขณะที่ชั้นนอกสุดจะสานด้วยตอกที่มีความชิด แน่นหนากว่าเพื่อเก็บกักความร้อนไว้ ไอน้ำที่มีความร้อนอยู่ภายในช่องว่างนี้ จะช่วยทำให้ข้าวเหนียวที่อยู่ ภายในกระติบข้าว ยังคงความร้อนได้อีกนาน โดยเมล็ดข้าวจะไม่มีไอน้ำเกาะ จึงไม่แฉะเหมือนกับการบรรจุใน ภาชนะพลาสติกยุคใหม่ ฝาปิดและตัว กระติบ จะมีลักษณะที่เหมือนกัน เพียงแต่มีขนาดที่ต่างกันเล็กน้อยให้ สามารถสวมใส่กันได้พอดี ในส่วนตัวกระติบจะมีฐานรอง ขดเป็นวงกลม มีขนาดเล็กกว่าตัวกระติบเล็กน้อย ยึด ด้วยหวายหรือไนล่อนให้ติดกับตัวกระติบ เซิ้งกระติบข้าว เป็นการแสดงของภาคอีสานที่เป็นที่รู้จักกันดี และแพร่หลายที่สุดชุดหนึ่ง จนทำให้คนทั่วไป เข้าใจว่า การแสดงของภาคอีสานมีลักษณะเป็นการรำเซิ้งเพียงอย่างเดียว
เซิ้งกระติบข้าวได้แบบอย่างมาจากการเซิ้งบั้งไฟ ซึ่งแต่เดิมนั้น เซิ้งบั้งไฟในขบวนแห่ หรือเซิ้งในขบวนแห่ต่างๆ ไม่มีท่าฟ้อนรำที่อ่อนช้อย เป็นเพียงยกมือร่ายรำ(ยกมือสวกไปสวกมา)ให้เข้ากับจังหวะกลองและรำมะนา เท่านั้น
ในราว พ.ศ. 2507 เมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระประสงค์การแสดงของภาคอีสาน เพื่อต้อนรับ สมเด็จพระนางเจ้าอะเลียนา และเจ้าหญิงบีทริกซ์ แห่งประเทศเนเธอแลนด์ จึงมีการนำเอาเพลงเซิ้งอีสานคือ จังหวะลำเซิ้งมาใช้ โดยมีท่าถวายบังคม ท่านกบิน ท่าเดิน ท่าดูดาว ท่าม้วนตัว ท่าสนุกสนาน ท่าปั้นข้าวเหนียว ท่าโปรยดอกไม้ ท่าบังแสงอาทิตย์ ท่าเตี้ย (รำเตี้ย) และในการแต่งกายครั้งแรกนั้นจะนุ่งผ้าซิ่นห่มผ้าสไบ เกล้า ผมสูง แต่ยังไม่ได้ห้อยกระติบข้าวเพราะเห็นว่ารุงรัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตร พระองค์จึงรับสั่งให้ใครสักคนหนึ่งลองรำดูว่า ถ้าไม่ห้อยกระติบข้าว หรือห้อยกระติบข้าวแล้วจะเป็นอย่างไร? คุณหญิงเบญจวรรณ อรวรรณ เป็นผู้ทดลองรำดู ครั้งแรกไม่ห้อยกระติบข้าวก็น่ารักดี ครั้งที่สองรำโดยห้อย กระติบข้าวทุกคนก็คิดว่ากำลังน่ารัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งคำเดียวว่า “น่าเอ็นดูดีนี่” ผู้รำทุก คนก็พากันรีบห้อยกระติบข้าวกันใหญ่ทางไหล่ขวาทุกคน การเซิ้งครั้งนั้น ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เรียกชื่อ ว่า “เซิ้งอีสาน” ต่อมามีผู้นำเซิ้งอีสานไปแสดงกันทั่วไปแต่เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “เซิ้งกระติบข้าว” อ้างอิงจาก: บ้านรักษ์ไทยดอทคอมดนตรี ใช้ลายเต้ยโขง
การแต่งกาย ผู้แสดงใช้ผู้หญิงล้วน สวมเสื้อแขนกระบอกคอกลมสีพื้น นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ ห่มผ้าสไบเฉียง ผมเกล้ามวยทัด ดอกไม้ห้อยกระติบข้าวทางไหล่ซ้ายเฉียงไปทางขวา
เซิ้งโปงลาง
โปงลางเดิมเป็นชื่อของโปงที่แขวนอยู่ที่คอของวัวต่าง โปงทำด้วยไม้หรือโลหะ ที่เรียกว่าโปงเพราะส่วนล่างปาก ของมันโตหรือพองออก ในสมัยโบราณชาวอีสานเวลาเดินทางไปค้าขายยังต่างแดน โดยใช้บรรทุกสินค้าบนหลัง วัว ยกเว้นวัวต่างเพราะเป็นวัวที่ใช้นำหน้าขบวนผูกโปงลางไว้ตรงกลางส่วนบนของต่าง เวลาเดินจะเอียงซ้ายที ขวาทีสลับกันไป ทำให้เกิดเสียงดัง ซึ่งเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่าหัวหน้าขบวนอยู่ที่ใด และกำลังมุ่งหน้าไป ทางไหนเพื่อป้องกันมิให้หลงทางส่วนระนาดโปงลางที่ใช้เป็นดนตรีปัจจุบันนี้ พบมากที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เรียกว่า “ขอลอ” หรือ “เกาะลอ” ดังเพลงล้อสำหรับเด็กว่า “หัวโปก กระโหลกแขวนคอ ตีขอลอดังไปหม่องๆ” ชื่อ “ขอลอ” ไม่ค่อยไพเราะจึงมีคนตั้งชื่อใหม่ว่า “โปงลาง” และนิยมเรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน ไม้ที่นำมาทำเป็น โปงลางที่นิยมกันได้แก่ ไม้มะหาด และไม้หมากเหลื่อม การเล่นทำนองดนตรีของโปงลางจะใช้ลายเดียวกันกับ แคน และพิณ ลายที่นิยมนำมาจัดท่าประกอบการฟ้อน เช่น ลายลมพัดพร้าว ลายช้างขึ้นภู ลายแม่ฮ้างกล่อม ลูก ลายนกไซบินข้ามทุ่ง ลายแมงภู่ตอมดอก ลายกาเต้นก้อน เป็นต้นเครื่องแต่งกาย ใช้ผู้แสดงหญิงล้วนสวม เสื้อแขนกระบอกสีพื้น นุ่งผ้ามัดหมี่ใช้ผ้าสไบเฉียงไหล่ ผูกโบว์ตรงเอว ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้เครื่องดนตรี ใช้ ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ลายโปงลางหรือลายอื่นๆ
3.) ละคร หมายถึงการแสดงรำที่เป็นเรื่องเป็นราว ดำเนินเรื่องไปโดยลำดับ มีตัวเอกของเรื่อง ฝ่ายชายเรียกว่า ตัวพระ เพราะสมัยโบราณแสดงแต่เรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ เป็นเรื่องของกษัตริย์ มีชื่อว่าพระต่าง ๆ เช่น พระอนิ รุทธิ์ พระไชยเชษฐ์ พระอภัยมณี ฝ่ายหญิงเรียกว่า ตัวนาง เพราะในเรื่องที่แสดงมักชื่อว่านางต่าง ๆ เช่น นางสี ดา นางบุษบา นางทิพย์เกสร ยังไม่มีการแบ่งเป็นนางสาวและนางที่มีสามีแล้ว และตัวประกอบอื่น ๆ แล้วแต่ ในเรื่องจะมีละครมีหลายแบบ แต่ละละครมีการแสดงและความมุ่งหมายแตกต่างกัน เช่น ละครโนรา ละคร นอก ละครใน ละครถาม และละครไม่ดึกดำบรรพ์
ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีการจดบันทึกโดย ซิมง เดอ ลาลูแบร์ ราชทูตแห่งราชอาณาจักรฝรั่งเศส ใน ปี ค.ศ. 1687 ถึงการแสดงละครสยาม ในราชสำนักของอยุธยาไว้ดังนี้: การแสดงประเภทที่เรียกว่า "ละคร" นั้นเป็นบทกวีที่ผสมผสานกัน ระหว่างมหากาพย์ และบทละครพูด ซึ่ง แสดงกันยืดยาวไปสามวันเต็ม ๆ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า จนถึง ๑ ทุ่ม ละครเหล่านี้เป็น ประวัติศาสตร์ที่ร้อยเรียงเป็น บทกลอนที่เคร่งครึม และขับร้องโดยผู้แสดงหลายคนที่อยู่ในฉากพร้อม ๆ กัน และเพียงแต่ร้องโต้ตอบกัน เท่านั้น โดยมีคนหนึ่งขับร้องในส่วนเนื้อเรื่อง ส่วนที่เหลือจะกล่าวบทพูด แต่ทั้งหมดที่ขับร้องล้วนเป็นผู้ชาย ไม่ มีผู้หญิงเลย ... ส่วน "ระบำ" นั้นเป็นการรำคู่ของหญิงชาย ซึ่งแสดงออกอย่างอาจหาญ ... นักเต้นทั้งหญิงและ ชายจะสวมเล็บปลอมซึ่งยาวมาก และทำจากทองแดง นักแสดงจะขับร้องไปด้วยรำไปด้วย พวกเขาสามารถรำ ได้โดยไม่เข้าพัวพันกัน เพราะลักษณะการเต้นเป็นการเดินไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่ รวดเร็ว แต่เต็มไปด้วยการบิดและดัดลำตัว และท่อนแขน
ละครโนรา ละครโนราเป็นละครที่เก่าแก่ที่สุด เป็นละครของชาวภาคใต้ ในสมัยโบราณผู้แสดงมีเพียง 3 คน เป็นผู้ชายล้วน แต่งตัวงามพิเศษอยู่แต่ตัวเอกซึ่งเป็นตัวพระ เรียกว่า ตัวยืนเครื่องเพียงคนเดียว ตัวนางก็ใช้ผ้าขาวม้าห่มโดยวิธี ต่าง ๆ เช่น สไบเฉียง คาดอก และตะเบ็งมาน ตามฐานะ อีกคนหนึ่งเป็นตัวตลก ต้องแสดงเป็นตัวประกอบทุก ๆอย่าง เป็นฤษี เป็นพราน เป็นม้า เป็นสัตว์ต่าง ๆ ตามเรื่อง ทุกคนไม่สวมเสื้อ แม้ตัวยืนเครื่องก็แต่งอาภรณ์กับ ตัวเปล่า เป็นละครที่มุ่งหมายตลกขบขัน และการดำเนินเรื่องรวดเร็ว ในสมัยปัจจุบันมีผู้หญิงแสดงร่วมด้วยและ จำนวนผู้แสดงก็เพิ่มขึ้นไม่จำกัด การแต่งกาย มีการสวมเสื้อ ซึ่งประดับประดาด้วยลูกปัดเป็นอันมาก เครื่อง ดนตรีมี ปี่ใน (ภาคใต้เรียกปี่ต้น) กลองขนาดย่อมลูกเดียว โทน (ภาคใต้เรียกทับ) 2 ลูก ฆ้องคู่ (ภาคใต้เรียก โหม่ง) ฉิ่ง และกรับ (ภาคใต้เรียกแกระ) โรงสมัยโบราณปลูกอย่างง่าย ๆ มีเสา 4 ต้น เป็นมุม 4 มุม กับเสา กลางสำหรับผูกซองใส่เครื่องอุปกรณ์การแสดง เช่น ธง อาวุธต่าง ๆ เรียกว่า ซองคลี สมัยปัจจุบันมีตัวละคร มากขึ้นต้องใช้โรงละครอย่างโรงละครนอก การแสดงเริ่มต้นด้วยไหว้ครู แล้วรำซัด แล้วจึงจับเรื่อง ผู้แสดงร้อง เองบ้าง มีต้นเสียงร้องให้บ้าง นักดนตรีก็ร้องเป็นลูกคู่ด้วย ละครแบบนี้ชาวภาคกลางเรียกว่า ละครชาตรี การที่ เรียกว่าโนราก็เพราะตามประวัติว่าครั้งแรกแสดงแต่เรื่องนางมโนห์รา จึงเรียกว่ามโนห์รา แต่สำเนียงพูดของ ชาวภาคใต้นั้นคำที่เป็นลหุอยู่ข้างหน้าจะตัดทิ้งไม่ต้องพูด เช่น ไปเล (ไปทะเล) ไปหลาด (ไปตลาด) มโนห์รา จึง เรียกเป็นโนรา
ละครนอก
ละครนอกเป็นละครของภาคกลาง นัยว่าวิวัฒนาการมาจากมโนราห์ เพราะมีความมุ่งหมายเช่นเดียวกันคือ ดำเนินเรื่องรวดเร็ว และตลกขบขัน สมัยโบราณผู้แสดงผู้ชายล้วน เพิ่งมีผู้หญิงแสดงในปลายสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกการห้ามมิให้บุคคลทั่วไปมีละครผู้หญิง ในตอนหลังผู้แสดงเป็นผู้หญิงโดยมาก ผู้ชาย เกือบจะไม่มี ตัวละคร มีครบทุกตัวตามเนื้อเรื่อง ไม่จำกัดจำนวน ดนตรี ใช้วงปี่พาทย์ จะเป็นเครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ ได้ทั้งนั้น โรงละคร มีฉากเป็นผ้าม่าน มีประตูเข้าออก 2 ประตู หลังฉากเป็นที่แต่งตัว และ สำหรับให้ตัวละครพัก หน้าฉากเป็นที่แสดงตั้งเตียงตรงกลางหน้าฉาก การแต่งกาย เลียนแบบเครื่องต้นของ กษัตริย์ ตัวพระสวมชฎา ตัวนางสวมเครื่องประดับศีรษะตามฐานะ เช่น มงกุฎกษัตรี รัดเกล้ายอด รัดเกล้า เปลว และกระบังหน้า เสื้อผ้าปักดิ้นเลื่อมแพรวพราว การแสดง มีคนบอกบท มีต้นเสียงและลูกคู่สำหรับร้อง บางตัวละครอาจร้องเอง การรำเป็นแบบแคล่วคล่องว่องไวพริ้งเพรา จังหวะของการร้องและการบรรเลงดนตรี ค่อนข้างเร็ว เวลาเล่นตลกมักเล่นนาน ๆ ไม่คำนึงถึงการดำเนินเรื่อง และไม่ถือขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น ตัวกษัตริย์หรือมเหสีจะเล่นตลกกับเสนาก็ได้ เริ่มต้นแสดงก็จับเรื่องที่เดียว ไม่มีการไหว้ครู เรื่องที่ละครนอก แสดงได้สนุกสนานเป็นที่นิยมแพร่หลาย บทที่สามัญชนแต่งได้แก่ เรื่องแก้วหน้าม้า ลักษณวงศ์ และจันทโครพ บทที่เป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 ได้แก่ เรื่องสังข์ทอง สังข์ศิลป์ชัย ไชยเชษฐ์ คาวี มณีพิชัย ไกรทอง
ละครใน
ละครในเป็นละครที่เกิดขึ้นในพระราชฐานจึงเป็นละครที่มีระเบียบแบบแผน สุภาพ ละครในมีความมุ่งหมาย สำคัญอยู่ 3 ประการ คือ รักษาศิลปะของการรำอันสวยงาม รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเคร่งครัด รักษา ความสุภาพทั้งบทร้องและเจรจา เพราะฉะนั้น เพลงร้อง เพลงดนตรี จึงต้องดำเนินจังหวะค่อนข้างช้า เพื่อให้ รำได้อ่อนช้อยสวยงาม ดนตรี ใช้วงปี่พาทย์ จะเป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้า วงปี่พาทย์เครื่องคู่หรือ วงปี่พาทย์ เครื่องใหญ่ ก็ได้โรงมีลักษณะเดียวกับโรงละครนอก แต่มักเรียบร้อยสวยงามกว่าละครนอก เพราะใช้วัสดุที่มีค่า กว่า เนื่องจากมักจะเป็นละครของเจ้านาย หรือผู้ดีมีฐานะ เครื่องแต่งกาย แบบเดียวกับละครนอก แต่ถ้าแสดง เรื่องอิเหนา ตัวพระบางตัวจะสวมศีรษะด้วยปันจุเหร็จในบางตอน (ปันจุเหร็จในสมัยปัจจุบัน มักนำไปใช้ในการ แสดงเรื่องอื่น ๆ ด้วย) การแสดง มีคนบอกบท ต้นเสียง ลูกคู่ การร่ายรำสวยงามตามแบบแผน เนื่องจากรักษา ขนบประเพณีเคร่งครัด การเล่นตลกจึงเกือบจะไม่มีเลย บทที่แต่งใช้ถ้อยคำสุภาพ คำตลาดจะมีบ้างก็ในตอนที่ กล่าวถึงพลเมือง ผู้แสดงเป็นผู้หญิงล้วน ตัวประกอบอาจเป็นผู้ชายบ้าง เรื่องที่ใช้แสดงละครใน แต่โบราณมี เพียง 3 เรื่อง คือ เรื่องรามเกียรติ์ อิเหนา และอุณรุท โอกาสที่ใช้แสดง ในงานรื่นเริง
ละครพันทาง ละครพันทางเป็นละครแบบผสม ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์ พงศ์รัชกาลที4่ ทรงปรับปรุงการแสดงขึ้น มีลักษณะดังต่อไปนี้ ละครพันทางเป็นละครที่แสดงบนเวทีเปลี่ยนฉาก ตามเนื้อเรื่อง เรื่องตอนนั้นเป็นสถานที่ใด สวน ท้องพระโรง ห้องนอน หรือที่ใด ก็เขียนและจัดให้เป็นสถานที่ นั้น
ท่ารำเป็นแบบผสม ละครแบบนี้มักจะแสดงเป็นเรื่องของต่างภาษา เช่น พม่า ลาว แขก จีน ท่ารำก็เป็นท่ารำ ของชาตินั้น ๆ ผสมกับท่ารำของไทย เพลงร้อง เพลงดนตรีก็ผสมตามภาษานั้นๆอาจเป็นเพลงภาษานั้นแท้ๆ หรือที่ไทยแต่งให้เป็นสำเนียงภาษานั้น ๆ และอาจมีเพลงไทยแท้ ๆ ผสมด้วยก็ได้ เครื่องแต่งตัว เป็นไปตามภา ของเรื่องที่แสดงนั้น เช่น พม่าก็แต่งเป็นพม่า ลาวก็แต่งเป็นลาว และจีนก็แต่งเป็นจีนดนตรี ใช้วงปี่พาทย์ไม้ นวม
การแสดง มีทั้งต้นเสียง ลูกคู่ เป็นผู้ร้อง บางตอนตัวละครก็ร้องเอง การรำก็ผสมดังกล่าวแล้ว แต่ถ้าเรื่องแสดง เป็นไทยล้วน ไม่มีภาษาอื่นเลย ก็ใช้ท่ารำไทยผสมกับท่ารำสามัญชน คือท่ารำของคนเรานี้ผสมกับท่ารำ เมื่อ แสดงจบเนื้อเรื่องของฉากหนึ่งแล้ว ก็ปิดม่าน แล้วเปิดม่านแสดงฉากต่อไปทีละฉากจนจบเรื่องผู้แสดง มิได้ กำหนดว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แล้วแต่สะดวก
ละครดึกดำบรรพ์ ละครดึกดำบรรพ์เป็นละครที่นำแบบโอเปร่ามาใช้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติ วงศ์ เป็นผู้ทรงปรับปรุงขึ้น เพื่อให้คณะละครของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) แสดง ละครดึกดำบรรพ์ มีลักษณะดังต่อไปนี้ การแสดงแสดงบนเวที เปลี่ยนฉากตามเนื้อเรื่องเช่นเดียวกับละครพันทาง ท่ารำ ใช้ท่ารำตามแบบแผน แต่ตัดทอนเพิ่มเติมและดัดแปลงให้พอเหมาะกับเพลงร้องและเพลงดนตรี เพลงร้องและเพลงดนตรี ใช้เพลงไทยของเก่า แต่แก้ไขเปลี่ยนแปลงบางเพลงให้สั้นยาวพอเหมาะกับการแสดง กับมีเพลงที่พลิกแพลงให้แปลกและไพเราะยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการแต่งเพิ่มเติมขึ้นใหม่อีกด้วย การแสดง ผู้แสดงเป็นผู้ร้องในบทของตนเอง เพราะบทร้องเป็นบทคำพูดของตัวละครไม่มีบทบอกชื่อ บอก กิริยา หรือบอกอารมณ์ของตัวละคร รวมความว่าตัวละครทุกตัวพูดเป็นเพลง ดนตรี เป็นวงปี่พาทย์ที่ปรับปรุงขึ้นเป็นพิเศษ มีแต่เครื่องดนตรีที่เสียงทุ้มนุ่มนวล ไม่มีพวกเสียงดังเสียงสูง เสียง เล็กแหลมเลย คือไม่มีกลองทัด ปี่ใน ฆ้องวงเล็ก และระนาดเอกเหล็ก ส่วนระนาดเอกก็ตีด้วยไม้นวม เพื่อให้ เสียงนุ่มนวลไม่แกร่งกร้าว มีสิ่งแปลกกว่าวงปี่พาทย์อื่น ๆ ก็คือ กลองตะโพน ซึ่งใช้ตะโพน 2 ลูก เอาเท้าที่ตั้ง ออกให้เหลือแต่ตัวตะโพน แล้วตั้งหน้าด้านใหญ่ขึ้น ติดข้าวสุกให้เสียงต่ำตีแทนกลองทัด ฆ้องชัย (หรือฆ้องหุ่ย) มี 7 ลูก เทียบเสียงเรียงลำดับกันเป็น 7 เสียง ตีห่างๆ อนุโลมอย่างเบสส์ของฝรั่ง
เรื่องทีแ่ สดงเป็นเรื่องที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงพระนิพนธ์ปรับปรุง จากบทละครพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 โดยมาก เช่น คาวี สังข์ทอง สังข์ศิลป์ชัย มณีพิชัย และอิเหนา ที่เป็น พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ได้แก่ เรื่องศกุลตลา พระเกียรติรถ และท้าวแสนปม และพระนิพนธ์ของพระเจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณอินทราชัย ได้แก่เรื่องพระยศเกตุ จันทกินรี และสองกรวรวิก
4.)มหรสพ มหรสพไทยที่นอกเหนือไป จาก โขน ละคร ลิเก ยังมีมหรสพอื่นๆ ได้แก่ การละเล่นของหลวงหรือมหรสพ หลวง กระบี่กระบอง หุ่นไทย หนังใหญ่ มหรสพไทยจะมีขึ้นเมื่อมีงานต่างๆ ส่วนมากจะเป็นงานฉลอง สมโภช และงานศพซึ่งจัดได้ทุกระดับ ในงานพระเมรุมาศใหญ่ๆ ก็เคยมีมหรสพให้ประชาชนมาดูกัน ถ้าเป็นงานของ หลวงก็จะยิ่งใหญ่และมีการแสดงต่างๆ หลากหลายกว่างานของสามัญชน สิ่งเหล่านี้เป็นมรดกสมบัติอันมีค่า ของสังคมอันควคแก่การอนุรักษ์อย่างยิ่ง
มหรสพหลวง มหรสพ ของหลวง มีมาแต่โบราณสมัยอยุธยา เป็นการเล่นในงานสมโภชของหลวง ซึ่งมีอยู่หลายอย่าง แต่ที่ มีการฟ้อน การเต้น การรำ ด้วยนั้น มีอยู่ไม่กี่อย่าง เช่น ระเบง โมงครุ่ม กุลาตีไม้ แทงวิไสย รำโคม มหรสพใน งานสมโภชของหลวงนี้ มีตำนานเรื่องราวสืบต่อมาจนปรากฏอยู่ในกฎมนเทียนบาลบ้าง พงศาวดารและ วรรณคดีต่างๆ บ้าง แม้ในการเขียนภาพจิตรกรรมประดับผนังโบสถ์บางแห่ง ก็ยังได้เขียนภาพ การแสดงการ เล่นต่างๆ ไว้ การเล่นอื่นๆ นอกเหนือจากข้างต้น ก็ยังมี หกคะเมน ไต่ลวด ลอดบ่วง นอนดาบ โยนมีด พุ่งหอก ยิงธนู รำแพน เป็นต้น ตัวอย่างการการละเล่นของหลวง ได้แก่ ระเบง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงอธิบายว่า "...เป็นกษัตริย์ ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนคร จะไปช่วยโสกัต์ใครก็ไม่ทราบที่เขาไกรลาส บทมีว่า
โอละพ่อ เทวดามาบอก โอละพ่อ ยกออกจากเมือง โอละพ่อ พร้อมกันทั้งปวง โอละพ่อ จะไปไกรลาสฯ
แล้ว ไปถูกพระกาลห้ามไม่ให้ไป แต่ฉันเข้าใจว่าเป็นพระขันธกุมาร เพราะมีรูปนกยูงซึ่งเป็นพาหนะอยู่ ทั้งพระ ขันธกุมารก็เกี่ยวข้องกับพระอิศวรซึ่งอยู่ ณ เขาไกรลาส ถ้าเป็นพระกาลรูปพาหนะจะต้องเป็นนกแสก เมื่อ กษัตริย์ทั้งนั้นไม่ฟังห้าม จะยิงเอาพระกาล พระกาลก็สาปให้สลบ เมื่อพอใจแล้วก็ถอนสาปให้ฟื้น พวกกษัตริย์ก็ กลับบ้านเมืองเท่านั้น ไปไม่ถึงไกรลาส..." ระเบง น่าจะจัดแสดงในงานสมโภชพระราชพิธีโสกันต์ เพราะมีการ สร้างเขาพระสุเมรุหรือเขาไกรลาสจำลองด้วย โดยพระมหากษัตริย์ทรงแต่งพระองค์อย่างเทวดา สมมุติเป็น องค์พระอิศวร ทรงจูงพระกรพระราชโอรสหรือพระราชธิดาเสด็จขึ้นไกรลาส การเล่นระเบงมีไม่บ่อยนัก สำหรับการแต่งกายของผู้แสดงระเบงนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ชาววังฝ่าย ใน ซึ่งเป็นสตรีเล่นระเบงเลียนแบบผู้ชาย โดยนุ่งผ้าลายทับสนับเพลา สวมเสื้อผ้ามัสหรู่แขนยาว มีผ้าเข้มขาบ ไหมคาดเอว ศีรษะสวมเทริดลงรักปิดทอง มือขวาถือลูศร มือซ้ายถือคันธนู มีการตีฆ้องสามใบเถา ซึ่งเรียกว่า ฆ้องระเบง เป็นจังหวะสำหรับการร้องและการรับพร้อมกับยกขาเต้นก้าวเดินตามไปด้วย มือก็ตีลูกศรกับคันธนู การเล่นระเบงนี้ กรมศิลปากรเคยจัดแสดงที่โรงละคร เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ถึง ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ โดย จัดระเบียบเสียใหม่ เป็น ๕ ตอน โดยเชื่อว่า เทวดาที่มาพบนั้น เป็นพระขันธกุมารมากกว่าจะเป็นพระกาล ที่ จัดไว้ ๕ ตอน และปรับปรุงเนื้อร้องของเดิมที่พระยาเทวาธิราชถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรม พระยานริศรานุวัตติวงศ์ ไว้ เพื่อให้สมบูรณ์ขึ้น กุลาตีไม้ เป็นการเล่นที่มีลักษณะคล้ายกับการเล่นพื้นเมืองของอินเดียใต้ ที่เรียกว่า"ทัณฑ รส" มีคำอธิบายของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในสาสน์สมเด็จ ว่า"กุลาตีไม้เป็นของแขก อินเดียแน่ ชื่อกุลาก็บอกอยู่ในตัวแล้ว เกล้ากระหม่อมเคยเห็นรูปตีพิมพ์ของฝรั่ง ซึ่งเขาลอกรูปเขียนในอินเดีย มา มีรูปเทวดายืนเป็นวง สองมือถือไม้ประกับ ล้อมอยู่รอบกลอง พอเห็นก็เข้าใจทันทีว่า นี่คือรูปเล่นกุลาตีไม้ ..." การแต่งกายของผู้แสดงกุลาตีไม้ คือ แต่งตัวนุ่งผ้าโจงกระเบนหยักรั้งทับสนับเพลา สวมเสื้อแขนกระบอก คาดประคดรัดเอวทับเสื้อ ศีรษะสวมเทริด ถือคทารูปคล้ายกระบองทั้งสองมือ ยืนล้อมเป็นวงหันหน้าเข้าหากัน วงหนึ่ง ๖ หรือ ๘ จะมีกี่วงก็ได้ ไม่มีดนตรีอื่นประกอบนอกจากการร้อง ซึ่งมีบทร้องมีลักษณะเป็นโคลง หรือ โคลงกระทู้ และอาจเขียนเป็นลักษณะกาพย์ได้ด้วย เริ่มแสดงโดยผู้แสดงถวายบังคมตามสัญญาณจากฆ้อง โหม่ง ทุกคนร้องเองตามบทร้อง แล้วใช้ไม้ที่ถือตีเข้าจังหวะ มีท่าที่เต้นพร้อมกับการรำอยู่ ๖ ท่า คือ๑. นั่งคุกเข่าล้อมเป็นวงหันหน้าเข้าหากัน ตบมือเข้าจังหวะและลอยหน้าเข้าหากันเป็นคู่ๆ ซ้ายขวาสลับกัน จบบท หนึ่งก็เอาไม้ตีเป็นจังหวะ๒. หันตัวไปกึ่งขวาแล้วย่อเข่าก้าวเดินขยับไปเป็นวงกลม ต่างคนต่างเอาไม้เคาะเป็น จังหวะ เดินเข้าจังหวะฆ้องโหม่งและไม้ที่ตี แล้วเดินเวียนกลับมาที่เก่า๓. เดินย่อเข่าเวียนขวาแล้วกลับมา ทางซ้าย ตีไม้โดยการพลิกขวาตีซ้าย ซ้ายตีขวา สลับกัน๔. หันไปตีโต้กันเป็นคู่ๆ โดยหันไปทางคู่ขวาแล้วหันมา ทางคู่ซ้ายสลับกัน๕. หันหน้าเข้าหากันเป็นคู่ๆ โดยยืนเป็นวงแล้วยกไม้ตีโต้กันขวาต่อขวา ซ้ายต่อซ้าย และ เดินหน้าคนหนึ่ง ถอยหลังคนหนึ่งเป็นคู่ๆ เคลื่อนไปเป็นวงกลม๖. เช่นเดียวกับท่าที่ ๕ แต่ตีไม้โต้กันโดยขวาตี ขวาสูง ซ้ายตีซ้ายสูง แล้วเปลี่ยนมาเป็นขวาตีขวาต่ำ ซ้ายตีซ้ายต่ำสลับกันไป พร้อมกับเดินเป็นวงกลม จากนั้น ก็นั่งลงถวายบังคม
กระบี่กระบอง กระบี่ กระบอง จัดเป็นการเล่นแบบกีฬาประเภทหนึ่ง ที่มักจัดให้แสดงเป็นการมหรสพในงานต่างๆ และยัง เป็นการเล่นของไทยโดยแท้จริง เพราะไม่เคยปรากฏมีในประเทศใดในโลก เป็นกีฬามหรสพที่นิยมกันมาตังแต่ โบราณ เป็นการฝึกหัดใช้อาวุธในยามสงบไปในตัว นับว่าเป็นการแสดงที่ทำให้ตื่นเต้น เร้าใจ มักแสดงในบริเวณ ที่กว้างๆ เช่น สนามหรือลานใหญ่ๆ ในวัดเครื่องกระบี่กระบอง มีอยู่ ๒ ชนิด คือ เครื่องไม้รำ กับเครื่องไม้ตี ทั้ง ๒ ชนิดนี้เป็นอาวุธจำลอง ส่วนมากทำมาจากหวาย มีความเหนียวและเบามือ เครื่องไม้รำนั้นลงรักปิดทอง ประดับกระจกอย่างสวยงาม ส่วนเครื่องไม้ตีไม่ได้ตกแต่งอะไร กระบี่ เครื่องไม้รำทำด้วยหวายหรือเอ็นสัตว์ถัก เป็นปลอก สวมแกนโลหะที่ยาวตลอดลงไปถึงด้ามด้วย ตอนปลายเป็นหวายหรือเอ็นถึกคล้ายหางกระเบน มักจะลงรักให้แข็ง บางทีทาสีแดงตลอด ด้ามมีโกร่งกันมือ ส่วนเครื่องไม้ตีนั้นทำอย่างเดียวกันแต่ไม่ตกแต่งอะไร กระบองหรือพลอง เครื่องไม้รำทำด้วยหวายหรือไม้จริงลงรักปิดทอง เขียนลายรดน้ำหรือทาสีแดงตลอด ไม่มี โลหะประกอบอยู่ด้วยเลย บางทีก็ประดับกระจกอย่างกระบองของเจ้าเงาะในละครรำ เครื่องไม้ตีทำด้วยไม้ราก ไทรหรือหวายขนาดใหญ่ ลงรักดำหรือทาสีแดงตลอด ตอนปลายทั้งสองข้างใช้เชือกขนาดเล็กพันไว้ ดาบ เช่นเดียวกับกระบี่ แต่ไม่มีโกร่งกันมือ เครื่องไม้รำทำสวยงามมากดูคล้ายมีฝักอยู่ด้วย ส่วนเครื่องไม้ตีทำด้วย หวายเพื่อให้สามารถตีได้ไม่หัก การใช้ดาบนั้น มีทั้งดาบเดี่ยว ดาบคู่ ดาบกับดั้ง ดาบกับเขน ดาบกับโล่ แล้วแต่ จะกำหนด ง้าว เครื่องไม้รำประดิษฐ์ตกแต่งสวยงามมาก ทำด้วยไม้จริง มีลักษณะใกล้เคียงกับง้าวของจริงมาก ส่วนเครื่องไม้ตีทำด้วยหวาย ไม่มีการตกแต่งอย่างใด
วิธีแสดง
การเล่นกระบี่กระบอง มีอยู่ ๒ ประเภท คือ ประเภทแสดง กับประเภทแข่งขัน ประเภทแสดง - เป็นการเล่น ของนักกระบี่กระบองในคณะเดียวกัน จึงเป็นไปอย่างรู้เชิงกันหรือนัดหมายกันไว้อย่างดี ตามภาษากระบี่ กระบอง เรียกว่า "รู้ไม้" กันอยู่แล้ว ประเภทแข่งขัน - ต่างคณะจะลงประอาวุธกัน มีรสชาติขึ้นมาก เพราะ สุดแต่ว่า ใครที่มาจากคณะใดจะมีความสามารถมากกว่ากัน การเล่นกระบี่กระบองที่ครบกระบวนการ จะต้อง มีวงปี่ชวาและกลองแขก เสียงปี่เสียงกลองทำให้เกิดความคึกคักขึ้นทั้งผู้แสดงและผู้ดู ในวงปี่ชวา ๑ เลา กลอง แขก ๒ ลูก ฉิ่ง ๑ คู่ สถานที่แสดง ได้แก่ ลานกว้างๆ พอที่จะให้ผู้แสดงได้ต่อสู้กันได้ไม่คับแคบนัก ก่อนจะลง มือแสดงจะต้องไหว้ครูกันก่อน จากนั้นก็ถึงการต่อสู้ ปี่ชวาจะขึ้นเพลงเร่งเร้าฟังคึกคัก แตกต่างออกไปจากเพลง ไหว้ครู โดยคู่ต่อสู้จะต้องรำอาวุธก่อน ซึ่งเป็นการรำที่ผสมกันระหว่างแบบนาฏศิลป์ กับแบบเฉพาะของแต่ละ คณะหรือแต่ละสำนัก เป็นการอวดความสวยงามกัน ตอนรำอาวุธนี้ จะใช้ไม้รำซึ่งขัดทำอย่างประณีตงดงาม มาก ท่ารำที่ถือว่าเป็นแบบอย่างของกระบี่กระบอง มี "ขึ้นพรหม" เป็นการรำโดยหันไปสี่ทิศ แล้วก็ถึงท่า "คุม" ตามแบบฉบับคือ รำลองเชิงกันโดยต่างฝ่ายต่างรุกล้ำเข้าไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง จากนั้นก็เป็นท่า "เดินแปลง" โดย การสังเกตดูเชิงกันและกัน แล้วจำไว้ว่าใครมีจุดอ่อนที่ใดบ้าง แล้วจึงคุกเข่า "ถวายบังคม" คือ กราบ ๓ ครั้ง จากนั้น จึงเปลี่ยนเครื่องไม้รำมาเป็นเครื่องไม้ตี นักกระบี่กระบองจะต้องสวมมงคลที่ทำด้วยด้ายดิบพันเป็น เกลียว มีขนาดใหญ่เท่าเชือกมนิลา ใช้ผ้าเย็บหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ปล่อยปลายทั้งสองยื่นออก ส่วนเครื่องแต่งกายนั้น ขึ้นอยู่กับความนิยม สมัยโบราณแต่งกายอย่างทหาร หรือนุ่งโจงกระเบนแบบหยักรั้ง คาดผ้าประเจียด ตะกรุด หรือนุ่งกางเกงขาสั้น การแสดงก็จะเริ่มจากการจับอาวุธต่อสู้กันเป็นคู่ๆ เช่น กระบี่กับกระบี่ พลองกับพลอง ง้าวกับง้าว พลองกับไม้สั้น จากนั้นก็สุดแต่จะยักเยื้องใช้อาวุธต่างๆ ในที่สุดก็เป็นการตะลุมบอนหรือหลายคู่ หรือการต่อสู้แบบ "สามบาน" คือ คนหนึ่งต่อสู้กับอีก ๒ คน เพลงที่ใช้นั้น เพื่อความเหมาะสมกับการร่ายรำ อาวุธแต่ละอย่าง ก็มักจัดเพลงขึ้นตามความเหมาะสม เช่น กระบี่ ใช้เพลงกระบี่ลีลา ดาบสองมือ ใช้เพลงจำปา เทศหรือขอมทรงเครื่อง ง้าวใช้เพลงขึ้นม้า พลองใช้เพลงลงสรงหรือขึ้นพลับพลา การต่อสู้สามบาน ใช้เพลง กราวนอกหรือเพลงฝรั่งรำเท้า
หุ่นไทย
การแสดงอย่างหนึ่งของไทย ซึ่งมีมาแต่โบราณนั้น มีมหรสพอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ หุ่น ประกอบด้วย "หุ่น ใหญ่" และ "หุ่นกระบอก" ซึ่งเป็นการแสดงที่ใช้หุ่นแทนคน โดยคนที่เชิดหุ่นจะเป็นผู้สร้างสรรค์ความมีชีวิตชีวา ให้กับหุ่น เพราะการแสดงนั้นใช้เรื่องที่แสดงเช่นเดียวกับละครหรือโขนนั่นเอง หุ่นรุ่นแรกๆ เรียกกันว่า "หุ่น หลวง" เพราะมีขนาดใหญ่ ต่อมามีการประดิษฐ์หุ่นอีกแบบหนึ่งเล็กว่าเดิม จึงเรียกของเดิมว่า "หุ่นใหญ่" และ เรียกหุ่นที่ประดิษฐ์ใหม่ว่า "หุ่นเล็ก" ซึ่งต่อมาก็มีการประดิษฐ์หุ่นกระบอก และหุ่นละครเล็กขึ้นอีกด้วย หุ่น หลวง หุ่นรุ่นเก่าเรียกกันตามขนาดว่า "หุ่นใหญ่" ซึ่งเป็นชื่อภายหลังที่เกิดหุ่นขนาดเล็ก ที่เรียกว่า "หุ่น หลวง" เพราะเป็นของเจ้านายหรือในวังหลวง หุ่นหลวงมีขนาดสูงราว ๑ เมตร มีลำตัว แขน ขา และแต่งตัว เช่นเดียวกับละคร ภายในตัวหุ่นทำสายโยงติดกับอวัยวะของตัวหุ่น และปล่อยเชือกลงมารวมกันที่แกนไม้ ส่วนล่าง เพื่อใช้ดึงบังคับให้เคลื่อนไหวได้แม้กระทั่งลูกตา หุ่นรุ่นเก่าสุดมีปรากฏหลักฐานว่า อยู่ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย นอกจากนั้นยังเล่ากันสืบต่อมาว่า ทรงฝากฝีพระหัตถ์การทำหน้าหุ่น หลวงไว้คู่หนึ่ง เรียกกันว่า "พระยารักน้อย พระยารักใหญ่" หุ่นหลวงนั้นแสดงเรื่องต่างๆ เช่นเดียวกับละครในที่ ให้นางในเป็นผู้แสดงทั้งตัวพระตัวนาง มีเรื่องรามเกียรติ์ เรื่องอุณรุทธ เป็นต้น ลีลาการแสดงก็ไม่แตกต่างจาก ละคร ในการเล่นหุ่นมีการขับร้องและการบรรเลงดนตรีประกอบ คือ มีวงปี่พาทย์อันประกอบด้วยระนาด ฆ้อง วง เปิงมาง กลองใหญ่ กลองกลาง กลองเล็ก ฉิ่ง ฉาบ ตะโพน บางแห่งมีวงปี่พาทย์ถึง ๒ วง คนเจรจา ๔ คน หรือ ๕ คน ต่างคนต่างฟังต่างดูกัน จึงเข้าใจเรื่องราวและชักหุ่นออกท่าทางพร้อมการเจรจาไปด้วยกันได้ดี
หุ่นเล็ก เป็นหุ่นซึ่งประดิษฐ์ใหม่โดย กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงประดิษฐ์ขึ้น ๒ ชนิด คือ หุ่นไทย กับ หุ่นจีน ขนาดของตัวหุ่นสูง ๑ ฟุต ซึ่งเล็กกว่าหุ่นหลวงมาก แต่มีความประณีตงดงามเช่นกัน หุ่นจีน เป็นตัวละครของเรื่องซวยงัก และเคยเล่นเรื่องหลวงจีนเจ้าชู้ มี ลักษณะเป็นหุ่นมือ โดยมีลำคอใหญ่ เพื่อให้สามารถสอดนิ้วชี้เข้าไปภายในได้ หน้าหุ่นเขียนสีต่างๆ ตามลักษณะ ของหน้างิ้ว ครั้งที่สร้างหุ่นจีนนี้ขึ้น คงจะมีจำนวนมาก เพราะจะต้องใช้เป็นตัวละครต่างๆ พร้อมทั้งพวกพล ทหารด้วย แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น คือ ๑๓๗ ตัว ยังรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และคงเคยเล่นมาหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องสามก๊กด้วย สำหรับเรื่องหลวงจีนเจ้าชู้นี้ กรมพระราชวังบวรวิไชย ชาญทรงพระราชนิพนธ์บทด้วยพระองค์เองเป็นภาษาไทย หุ่นไทย มีขนาดเท่าหุ่นจีน แต่แต่งเครื่องแบบไทย โดยมากเป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ทั้งหมด ลักษณะของหุ่น เป็นสายใยชักได้ จีงมีทั้งศีรษะ แขน ขา สมบูรณ์ทุกอย่าง สายใยจะโยงไปตามอวัยวะต่างๆ และมีก้านไม้อยู่ตรงกันของตัวหุ่นเพื่อใช้มือถือเชิด และยังมี ถุงคลุมก้านไม้นั้นไว้พร้อมทั้งสายใยด้วย หุ่นไทยเท่าที่จัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเพียง ๕๓ ตัว โรง หุ่นก็จะคล้ายโรงหุ่นใหญ่ มีวงปี่พาทย์ประกอบ หุ่นละครเล็ก หรือเรียกว่า ละครเล็ก มีขนาดเล็กกว่าหุ่นหลวง เดิมเป็นของนายแกร ศัพทวานิช คณะหนึ่ง กับของนายเปียก ประเสริฐกุล อีกคณะหนึ่ง ละครเล็กของนายแกร มีมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๖๕ นิยมเล่นเรื่อง พระอภัยมณีและเรื่องอื่นๆ บ้าง ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง ๓๐ กว่าตัว และได้รับการรักษาไว้ที่เมืองโบราณ จังหวัด สมุทรปราการ ใช้คนเชิด ๓ คน เพราะใช้ส่วนขาเคลื่อนไหวด้วย โดยเฉพาะตัวยักษ์ พระ ลิง แต่ตัวนางใช้คน เชิด ๒ คน แสดงทั้งตัว โดยใช้ขาประกอบการร่ายรำด้วย จึงต้องมีกลไกสายใยมาก ทำให้สามารถขยับคอ นิ้ว มือ และยกขาได้ แต่ก็ไม่แนบเนียนและซับซ้อนเท่าหุ่นหลวง ละครเล็กของนายเปียก เริ่มเล่นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ เดิมนายเปียกมีโรงหุ่นกระบอกก่อน ต่อมาอีก ๑๕ ปี จึงได้คิดสร้างหุ่นละครเล็กขึ้น โดยอาศัยแบบอย่างของหุ่น กระบอก แต่ว่าตัวใหญ่กว่าหุ่นกระบอก จะมีแต่ลำตัว ศีรษะ แขน มือเท่านั้น ไม่มีขา ใช้คนเชิดคนเดียวและมี วิธีการเชิดเช่นเดียวกับหุ่นกระบอก หุ่นกระบอก มีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยหม่อมราชวงศ์เถาะพยัคฆเสนา มีประวัติกล่าวไว้ว่า ได้แนวความคิด มาจากหุ่นของช่างแกะชื่อ เหน่ง ซึ่งทำเล่นอยู่ก่อนที่เมืองอุตรดิตถ์ และนายเหน่งก็ลอกแบบมาจากหุ่นไหหลำ แต่ประดิษฐ์ใหม่ให้เป็นแบบไทย กระบวนร้องในการเชิดหุ่นใช้ทำนอง สังขาราการเล่นหุ่นกระบอก ก็คล้าย ละคร แต่ใช้หุ่นแทนคนจริง ผู้เชิดหุ่นจะต้องรู้วิธีบังคับตัวหุ่น โดยมือหนึ่งจับกระบอกไม้ไผ่ อีกมือหนึ่งจับไม้ที่ ตรึงไว้กับข้อมือหุ่น เรียกว่า "ไม้ตะเกียบ" เวลาเชิด ผู้เชิดมักจะขยับตัวตามจังหวะดนตรีไปด้วย พร้อมกันนั้นก็ บังคับหุ่นให้อ่อนไหวกล่อมตัวตามไปด้วย การทำท่าอ่อนช้อยเลียนแบบละครรำอย่างแนบเนียน ย่อมเกิดจาก ความสามารถของคนเชิดหุ่น ไม่ว่าจะกล่อมตัว กระทบตัว เชิดย้อนมือ โยกตัว และรำเพลง หุ่นกระบอกจะมีผ้า คลุมตัวลงมาจากช่วงไหล่ ยาวเลยปลายไม้กระบอกด้านล่าง
ผู้เชิดหุ่นจึงสามารถซ่อนมือไว้ภายในได้ การร้องและเจรจา ผู้เชิดหุ่นที่เป็นสตรีมักจะร้องและเจรจาด้วย นอกจากตัวตลกหรือตัวอื่นๆ มักใช้ผู้ชาย แต่การขับร้องดำเนินเรื่องแล้วจะใช้เสียงผู้หญิงทั้งหมด พร้อมกันนั้น ลูกคู่ก็จะรับกันให้เสียงแน่นและเป็นช่วงๆ หนังใหญ่ หนัง ใหญ่ เป็นมรสพที่ใหญ่และสำคัญ มีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๐๑ ตามหลักฐานที่กล่าวไว้ ในกฎมฯเทียรบาล สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และในเรื่องสมุทรโฆษชาดคำฉันท์ หนังใหญ่มีการเล่นตลอดมา จนสุดสิ้นสมัย อยุธยา ในพ.ศ. ๒๓๐๑ จึงยุติการเล่นหนังใหญ่ไปโดยปริยาย แต่เมื่อกรุงธนบุรีขึ้นมามีศักดิ์ศรีราชธานีใหม่ โดย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช การเล่นหนังใหญ่ก็ฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง ซึ่งยังคงยืนยาวต่อมาจนถึงสมัย รัตนโกสินทร์ ดังนั้น มหรสพใดๆ ก็ไม่อาจเทียบหนังใหญ่ได้ เพราะเป็นมหรสพที่ค่อนข้างมโหฬาร คล้าย ภาพยนตร์จอยักษ์ในสมัยปัจจุบัน หนังใหญ่มีขนาดโตกว่าหนังตะลุงเกือบ ๕ เท่า การทำหนังใหญ่นั้น ใช้แผ่น หนังวัวหรือหนังควายดิบ ที่ตากแห้งโดยวิธีขึงลงในกรอบให้ตึง แล้วเขียนภาพลงบนแผ่นหนัง จากนั้นจึงฉลุด้วย เครื่องมือ ตอกฉลุให้เป็นช่องหลุดขาดออกไป จะใช้เครื่องมืออย่างเดียวกับหนังตะลุงก็ได้ แต่ในปัจจุบันการทำ ตัวหนังใหญ่อาจน้อยลงหรือเกือบไม่มีใครทำกันแล้ว เพราะไม่ได้ทำขาย แต่ทำเพื่อใช้แสดงเท่านั้น ไม่เหมือน หนังตะลุงที่ทำขายเป็นของที่ระลึก ลักษณะของหนังใหญ่ เมื่อฉลุแล้วจะเป็นภาพโปร่ง อาจเป็นแผ่นหนังที่มีภาพตัวเดียว เรียกว่า หนังเดี่ยว หรื เมีภาพกำลังต่อสู้กัน เรียกว่า หนังจับ มีการฉลุ ๒ แบบ คือ การฉลุเอาหนังออกเหลือแต่เส้นแสดงวงหน้า ตา คิ้ว ปาก หรือเส้นขอบแขน คอ เท่านั้น เรียกว่า "หน้าแขวะ" อีกแบบหนึ่งต้องฉลุเอาเส้นตา คิ้ว วงหน้า ขอบ แขนออก เรียกว่า "หน้าเต็ม" จึงดูกลับกัน ลักษณะของภาพตัวหนังแยกออกได้ ดังนี้ ๑. ตัวหนังที่มีภาพเดี่ยว หรือ หนังเดี่ยว เป็นภาพอยู่ในท่าเดิน ยืน ทำความเคารพ ท่าผาดแผลง มีชื่อ ต่างกันออกไป เช่น หนังคเนจร ได้แก่ หนังที่มีภาพในท่าเดิน หนังง่า ได้แก่ หนังที่มีภาพในท่าแผลงศร ท่าเหาะ หนังเฝ้า ได้แก่ หนังที่มีภาพในท่านอบน้อม ท่านั่งพนมมือ หรือกิริยาเข้าเฝ้า หนังเหล่านี้ใช้ประกอบในการ ดำเนินเรื่อง ๒. ตัวหนังที่มีภาพ ๒ ตัวขึ้นไป หรือ หนังเรื่อง อยู่ในแผ่นเดียวกัน เช่น หนังจับ ได้แก่ ภาพที่แสดงการต่อสู้ กัน ซึ่งในทางจิตรกรรมไทยเรียกว่า ภาพจับ มีทั้ง ลิงรบยักษ์ มนุษย์รบยักษ์ หรือลิงขาวดำรบกัน หนังปราสาท โลม ได้แก่ หนังที่มีภาพโลม เช่น หนุมานโลมนางสุวรรณกันยุมา หนังเมือง ได้แก่ หนังที่มีภาพปราสาทราชวัง บ้านเรือน ศาลา ฯลฯ บางทีเรียกว่า หนังพิธี หนังพลับพลา หรือ หนังประสาทพูด ๓. ตัวหนังที่ไม่จำกัดว่าจะเป็นภาพอะไร เช่น คนถืออาวุธ ลิงพวกเดียวเพชร พลยักษ์ ตัวตลก ตัวหนีฉาก ภาพราชรถ ลิงเขน และเครื่องอาวุธ ฉัตร ช้าง ม้า ราชสีห์ ซึ่งรวมเรียกว่า หนังเบ็ดเตล็ด
ในการแสดงหนังใหญ่นั้น มีทั้งหนังสีและหนังดำ ซึ่งจะต้องระบายสีลงบนภาพหนังซึ่งเป็นหนังชนิดบาง โดย การขูดเยื่อใยต่างๆ ออกจนหมด การเชิดหนังใหญ่นั้น ผู้ที่เชิดจะเต้นและทำท่าทางไปตามจังหวะเพลงด้วย แต่ ภาพที่ปรากฏบนจอจะไม่สะดุ้งตาม ส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะเชิดตัวพระ ตัวนางก็ตาม การฝึกหัดก็ เช่นเดียวกับการฝึกหัดโขน โดยมีการเต้นเสา เพราะในการเชิดนั้น จะต้องยืด ยุบ กระทบเท้า ลงเหลี่ยม ขยั่น เท้า กระดกเท้า มือทั้งสองจะต้องชูตัวหนังขึ้นสูง ส่วนหนังตัวเล็กจะต้องจับไม้คาบอันเดียวทั้งสองมือ การเต้นก็ เต้นตามจังหวะ มีการเก็บเท้า สะดุดเท้า ขยั่นเท้าสลับกัน ตัวหนังพระก็ทำท่าอย่างพระ ตัวหนังนางก็ทำท่า อย่างนาง ตัวหนังยักษ์ก็ทำท่าอย่างยักษ์ ตัวหนังลิงก็ทำท่าอย่างลิง ซึ่งแต่ละประเภทจะมีท่าเฉพาะของตัวเอง การพากย์ก็จะต้องเข้าใจกันดีระหว่างผู้เชิดกับผู้พากย์ ตอนใดขึงขัง ตอนใดอ่อนโยน หรือตอนใดนอบน้อม โดยเฉพาะหนังเฝ้า ซึ่งตัวหนังนั่งพนมมือ ก็จะต้องโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อยเชิงก้มศีระษะรับคำสั่งหรือราช โองการ ความสัมพันธ์กันระหว่างผู้เชิดหนัง กับผู้พากย์ก็เช่นเดียวกับการแสดงโขน โดยที่ตัวโขนก็จะต้องเข้าใจ เรื่องแต่ละตอน คนพากย์ก็จะต้องเข้าใจลีลาการรำ และการทำท่าทางที่เรียกว่า "ภาษาท่า" ดนตรีที่ใช้ในการ เล่นหนังใหญ่ ใช้วงปี่พาทย์ แต่จะเป็นวงขนาดใดแล้วแต่ฐานะเจ้าภาพ วงปี่พาทย์จะตั้งอยู่หน้าจอหนัง เว้น ระยะห่างจากจอราว ๔ เมตร เพื่อให้คนเชิหนังเต้นได้สะดวก เพราะการเชิดหนังใหญ่นั้น เชิดหน้าจอและหลัง จอด้วย ไม่เหมือนหนังตะลุงที่เชิดหลังจอตลอด
ดนตรีและเพลงประกอบการแสดงนาฏศิลป์
ดนตรี เพลง และการขับร้องเพลงไทยสำหรับประกอบการแสดง สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ดนตรีที่ใช้ ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย และเพลงสำหรับประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย
ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย ประกอบด้วย ดนตรีประกอบการแสดงโขน – ละคร วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนและละครของไทยคือ วงปี่พาทย์ ซึ่งมีขนาดของวงเป็นแบบวงประเภทใด นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของการแสดงนั้น ๆ ด้วย เช่น การแสดงโขนนั่งราวใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า 2 วง การแสดง ละครในอาจใช้วงปี่พาทย์เครื่องคู่ หรือการแสดงดึกดำบรรพ์ต้องใช้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์เป็นต้น
ดนตรีประกอบการแสดงรำและระบำมาตรฐาน การแสดงรำและระบำที่เป็นชุดการแสดงที่เรียกว่า รำมาตรฐานและระบำมาตรฐานนั้น เครื่องดนตรีทีใช้ ประกอบการแสดงอาจมีการนำเครื่องดนตรีบางชนิดเข้ามาประกอบการแสดง จะใช้วงปี่พาทย์บรรเลง เช่น ระบำกฤดาภินิหาร อาจนำเครื่องดนตรี ขิมหรือซอด้วง ม้าล่อ กลองต๊อก และกลองแด๋ว มาบรรเลงในช่วงท้าย ของการรำที่เป็นเพลงเชิดจีนก็ได้
ดนตรีประกอบการแสดงพื้นเมือง วงดนตรีพื้นเมือง คือวงดนตรีที่คนในท้องถิ่นคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้บรรเลงเพื่อความบันเทิงหรือประกอบการแสดง ชุดต่าง ๆ ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เครื่องดนตรีที่ใช้จะเป็นเครื่องดนตรีที่ท้องถิ่น นั้น ๆ จัดทำขึ้นเอง ส่วนมากเป็นแบบง่าย ๆ วัสดุที่ใช้ทำเป็นวัสดุหาง่าย ๆ ในท้องถิ่นนั้น ๆ ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงพื้นเมืองภาคต่าง ๆ ของไทยจะเป็นวงดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ที่มี คุณค่าของแต่ละภูมิภาค ได้แก่
วงดนตรีพื้นเมืองเหนือ ประเภทของวงดนตรีพื้นเมืองเหนือ ลักษณะการประสมวงของวงดนตรีพื้นเมืองเหนือมีดังนี้ วงสะล้อ-ซึง ( วงสะล้อ ซอ ซึง ) เป็นวงที่มีเสียงจากเครื่องสายเป็นหลัก นิยมใช้เล่นกันตามท้องถิ่นภาคเหนือ ทั่วไป จำนวนเครื่องดนตรีที่ใช้ประสมวงไม่แน่นอน แต่จะมีสะล้อและซึงเป็นหลักเสมอ มีเครื่องดนตรีอื่นๆที่ เข้ามาประกอบ เช่น ปี่ก้อยหรือขลุ่ย กลองเต่งถิ้ง ฉิ่ง ฉาบ ใช้บรรเลงเพลงพื้นบ้านที่ไม่มีการขับร้อง เช่น เพลง ปราสาทไหว เพลงล่องแม่ปิง เป็นต้น และสามารถใช้บรรเลงเพลงสมัยใหม่ก็ได้ วงปี่ชุม ( ปี่จุม) เป็นวงดนตรีที่ใช้เล่นประกอบการแสดง“ซอ”ของภาคเหนือมีปี่เป็นชุดซึ่งมี๓แบบคือปี่ชุม๓ปี่ชุม๔และปี่ชุม๕ ปี่ชุม ๓ หมายถึง การใช้ปี่ ๓ ขนาด เป่าประสานเสียงกัน ได้แก่ ปี่แม่ ปี่กลางและปี่ก้อย ปี่ชุม ๔ หมายถึง การใช้ปี่ ๔ ขนาด เป่าประสานเสียงกัน ได้แก่ ปี่แม่ ปี่กลาง ปี่ก้อยและปี่ตัด(ปี่เล็ก) ปี่ชุม ๕ หมายถึง การใช้ปี่ ๕ ขนาด เป่าประสานเสียงกัน โดยเพิ่มปี่ขนาดเล็กสุดเข้ามาอีกหนึ่งเลา แต่โดยปกติไม่ค่อยนิยมกันเพราะใช้ปี่ชุม๓หรือชุม๔ก็ได้เสียงประสานกันที่ไพเราะอยู่แล้ว
วงแห่กลองตึ่งโนง ( กลองแอว )
กลองตึ่งโนง โดยปกติจะบรรเลงร่วมกับกลองตะหลดปด ฉาบ และฆ้อง โดยตีเป็นเครื่องประกอบจังหวะ ซึ่งใน บางโอกาสที่ต้องการความอลังการ ก็มักใช้เครื่องเป่าที่มีเสียงดังประกอบด้วยนั่นคือ แน ซึ่งมีสองเลา ได้แก่ แน น้อย และแนหลวง บางครั้ง การประสมวงอาจจะมีการเพิ่มเครื่องประกอบจังหวะ และชื่อเรียก เปลี่ยนไปตาม ความนิยมของท้องถิ่น ดังนี้ วงกลองตึ่งโนง ประกอบด้วย กลองตึ่งโนง กลองตะหลดปด ฆ้องโมง ฆ้องอูย สว่า (ฉาบใหญ่) แนน้อย และแน หลวง วงกลองเปิ้งโมง ประกอบด้วย กลองตึ่งโนง กลองตะหลดปด ฆ้องโมงประมาณ ๓-๕ ใบ ฆ้องอูย (ฆ้องหุ่ย) สว่า แนน้อย และแนหลวง วงต๊กเส้ง ประกอบด้วย กลองตึ่งโนง กลองตะหลดปด ฆ้องโมง ฆ้องอูย แนน้อย แนหลวง และฉิ่ง
วงกลองอืด ประกอบด้วย กลองตึ่งโนง กลองตะหลดปด ฆ้องโมง ๓-๕ ลูก ฆ้องอูย แนน้อย แนหลวง พานหรือ ผ่าง (ฆ้องไม่มีปุ่ม) และฉิ่ง
วงกลองสะบัดชัย
บทบาทและหน้าที่เดิมของ กลองสะบัดชัยในสมัยก่อนใช้ตีตอนออกรบ ทำนองที่ใช้ในการตี มี ๓ ทำนอง คือ ชัยเภรี, ชัยดิถี และชนะมาร นอกจากการนั้นกลองสะบัดชัยยังมีหน้าที่ตีเพื่อความรื่นเริงในงานต่างๆ สำหรับ กษัตริย์หรือเจ้าเมือง ต่อมานำมาตีให้ชาวบ้านรับรู้พิธีของศาสนา ในงานบุญ ต่างๆ จังหวะในการตีแบบเดิมที่ตี อยู่กับที่ในหอกลองของวัดมีลักษณะต่าง ๆ กันตามโอกาสดังนี้ ๑ ตีเรียกคน เช่นมีงานประชุมหรืองานของส่วนรวมที่ต้องช่วยกันทำ ลักษณะนี้จะตีเฉพาะกลองใหญ่ โดยเริ่ม จังหวะช้า และเร่งเร็วขึ้น ๒ ตีบอกเหตุฉุกเฉิน เช่นไฟไหม้ ไล่ขโมย จะตีเฉพาะกลองใหญ่และมีจังหวะเร่งเร็วติด ๆ กัน ๓ตีบอกวันพระ วันโกน ลักษณะนี้จะตีทั้งกลองใหญ่และลูกตุบ(กลองใบเล็ก) มีฉาบและฆ้องประกอบจังหวะ ด้วย จังหวะหรือทำนองในการตีที่เรียกว่า ' ระบำ' มี ๓ ทำนองคือ ๓.๑ ปูชา ( ออกเสียง-ปู๋จา) มีจังหวะช้า ใช้ฆ้องโหม่งและฆ้องหุ่ยประกอบ ๓.๒ สะบัดชัย มีจังหวะปานกลาง ใช้ฆ้องโหม่ง ฆ้องหุ่ย และฆ้องเล็กประกอบ ๓.๓ ล่องน่านมีจังหวะเร็วใช้ฆ้องเล็กประกอบ
วงกลองมองเซิง
กลองมองเซิง คือ กลองที่ขึงด้วยหนังทั้งสองหน้ามีสายโยงเร่งเสียง รูปร่างคล้ายตะโพนมอญ ไม่มีขาตั้ง แต่มี สายร้อยสำหรับคล้องคอเวลาตี เฉพาะคำว่า “ มองเซิง” เป็นภาษาไทใหญ่โดยที่ คำว่า “ มอง” แปลว่า “ ฆ้อง” ส่วน“ เซิง” แปลว่า “ ชุด” กลองมองเซิงจึงหมายถึงกลองที่ใช้ฆ้อง เป็นชุด เพราะวงกลองมองเซิงจะเน้นเสียงฆ้องเป็นหลักใหญ่ การประสมวงกลองมองเซิง ใช้กลองมองเซิง ๑ ลูก ฉาบขนาดใหญ่ ๑ คู่ ฆ้องขนาดใหญ่และเล็กลดหลั่นลงไปประมาณ ๕-๙ ใบ ขณะ บรรเลงกลองมองเซิงจะตีรับกับฉาบ โดยลักษณะอาการ ล้อทางเสียง แบบหลอกล่อกันไป ในขณะที่มีเสียงฆ้อง เป็นตัวกำกับจังหวะซึ่งมีบางแห่งเพิ่มฉิ่งตีกำกับจังหวะไปพร้อมๆกับฆ้องด้วย
วงกลองปูเจ่ ประกอบด้วยกลองปูเจ่ ฉาบใหญ่และฆ้องชุด ซึ่งมีขนาดต่างๆ กัน ๓ ใบ มีเสียงไล่ระดับกันวงกลองปูเจ่ เป็นวง ดนตรีแบบของชาวไทใหญ่ นิยมใช้บรรเลงประกอบ การแห่ครัวทาน ประกอบการฟ้อนดาบฟ้อนโต ถ้าเป็นการ บรรเลงโดยที่ไม่ได้ใช้ประกอบ การแสดงอะไร มักมีลีลาการตีโดยใช้ทั้งศอก เข่า และเท้า พร้อมกับแสดงท่าทาง หยอกล้อ ระหว่างผู้ที่ตีฉาบกับกลอง
วงกลองเต่งถิ้ง ( ป้าดก๊อง )
หรือมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อว่า วงพาทย์ วงพาทย์ค้อง (อ่าน “ ป้าดก๊อง ” ) หรือ วงแห่ (ศพ) เป็นต้น สามารถ เปรียบได้กับ “ วงปี่พาทย์มอญ ” แบบของภาคกลางนั่นเอง เครื่องดนตรีประกอบด้วย พาทย์เอก (ระนาด ไม้เอก) พาทย์ทุ้ม ( ระนาดไม้ทุ้ม) พาทย์เหล็ก (ระนาดเหล็ก) พาทย์ค้อง (ฆ้องวง) กลองเต่งถิ้ง ( ตะโพนมอญ) หรือกลองโป่งป้ง กลองตัด (กลองขนาดเล็ก) แนหลวง แนน้อย ฉิ่ง สว่า (ฉาบ) และกรับ นิยมบรรเลงในการชก มวย งานศพ งานทรงเจ้า และในงานฟ้อนผีมด-ผีเมง วงกลองเต่งถิ้งชาวลำปางเรียกวงปี่พาทย์พื้นบ้านของตน ว่าวงพาทย์บางครั้งเรียกว่าวงกลองทึ่งทังอันเป็นการเรียกตามเครื่องดนตรีคือกลองทึ่งทังหรือตะโพนมอญซึ่ง เป็นเครื่องชิ้นเด่นในวงที่ให้เสียงกระหึ่มกังวานได้ยินในระยะไกล
วงดนตรีพื้นเมืองภาคอีสาน
แคนวง คือ แคนที่นำมาบรรเลงพร้อมๆกัน หลายๆเต้า โดยเป่าเป็นคณะ หรือเป็นวงร่วมกัน มีเครื่องให้จังหวะ เช่น ฉิ่ง ฉาบ กรับ ฯลฯ เข้าร่วนบรรเลงด้วย แคนวง วงหนึ่ง จะใช้แคนตั้งแต่ 6 เต้าขึ้นไป จนถึง 12 เต้า คือ
แคนวงขนาดเล็ก ใช้แคน 6 เต้า แคนวงขนาดกลาง ใช้แคน 8 – 10 เต้า แคนวงขนาดใหญ่ ใช้แคน 12 เต้า จำนวนแคนต่างๆที่ประกอบกันเข้าเป็นวงขนาดเล็ก กลาง และขนาดใหญ่ เป็นจำนวนโดยอนุโลม ไม่ได้ถือ ตายตัวเคร่งครัดมากนัก เช่น อาจจะเพิ่มจำนวนแคนให้มากกว่านี้เพียงใดก็ถือว่าเป็นแคนวงขนาดใหญ่ทั้งนั้น โดยมีเครื่องดนตรีอื่นๆ และเครื่องประกอบจังหวะร่วมผสมเข้ากับวงด้วยเช่น ขลุ่ย หรือ ปี่ ซอด้วง ซออู้ กลอง หรือโทนรำมะนา แคนวงมักบรรเลงเพลงไทย เพลงไทยสากล ทั้งเพลงไทยลูกกรุง เพลงไทยลูกทุ่ง นอกจากนี้ ยังใช้บรรเลงประกอบการละเล่นพื้นเมืองต่างๆ แคนวงประยุกต์ มีพัฒนาการมาจากแคนวง โดยมีการนำเครื่องดนตรีสากลต่างๆ เข้ามาบรรเลงร่วมกับแคนวง เช่น กลองชุด เบส กีตาร์ คีบอร์ด ฯลฯ นอกจากนี้ บางครั้งก็นำเครื่องดนตรีไทย เช่น ซอ จะเข้ ฯลฯ เข้ามาประกอบ จึงไม่มี การกำหนดประเภท ขนาด และจำนวน วงแคน ประกอบด้วยเครื่องดนตรีอีสานที่มีแคนเป็นหลัก จะมีจำนวนสักกี่เต้าก็ได้ นอกจากนี้ก็มีเครื่องดนตรีอื่นๆ มาร่วมบรรเลงตามที่เห็นว่าเหมาะสม เช่น พิณ ซอ ฉิ่ง และ กลอง ฯลฯ วงลำเพลิน เป็นวงดนตรีคล้ายกับวงโปงลาง แต่มีการนำกลองชุดเข้ามาร่วมบรรเลง โดยมีจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์ คือ จังหวะลำเพลิน
วงพิณ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน ที่มีพิณเป็นหลัก จะมีจำนวนสักกี่เครื่องก็ได้ นอกจากนี้ก็มีเครื่องดนตรี อื่นๆ มาร่วมบรรเลงตามที่เห็นว่าเหมาะสม เช่น แคน ซอ ฉิ่ง ฉาบ ฯลฯ วงกลองยาว
ประกอบด้วยกลองยาวประมาณ 3 ใบ และกลองรำมะนาใหญ่ ที่ชาวบ้านเรียกว่า กลองตุ้ม หรือกลองตึ้ง 1 ใบ และฉาบ 1 คู่ ตีเป็นทำนองและจังหวะแบบอีสาน ซึ่งชาวบ้านมักร้องเป็นทำนองว่า
“เป็ด เป่ง เฮ็ม เป่ง เป็ด เป่ง เป่ง
เป็ด เป่ง เป่ง เป่ง เป็ด เป่ง ฮึ้ม” กลองยาว นิยมบรรเลงประกอบขบวนแห่ ตามงานบุญต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแห่กัณฑ์หลอนในงานบุญ พระเวสฯ
วงโปงลาง คณะโปงลาง หรือนิยมเรียกว่า วงโปงลาง นั้น คาดว่าได้ชื่อนี้มาจาก… เครื่องดนตรีที่ดังที่สุดในวงคือ โปงลาง (กรณีไม่ใช้เครื่องขยายเสียง) ดังนั้น เลยเรียกวงดนตรีนั้นว่า วงโปงลาง หรืออีกที่มาหนึ่ง คือ โปงลาง เป็น เครื่องดนตรีเด่น กำลังมาแรง เป็นจุดขายของวง จึงตั้งชื่อว่า วงโปงลาง ซึ่งบางแห่ง อาจจะไม่ใช้ชื่อว่าวง โปงลาง แต่ใช้ชื่อว่าวงแคน หรือวงพิณ ก็มี วงโปงลาง แม้จะใช้ชื่อว่า วงโปงลาง ก็ไม่ได้หมายความว่า มีเฉพาะโปงลางอย่างเดียว แต่มีเครื่องดนตรีอื่นๆ อีกหลายชนิด ร่วมบรรเลง
ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้ มีเครื่องดนตรีที่สำคัญ ได้แก่ กลองโนรา กลองชาตรีหรือกลองตุ๊ก กลองโพน กลองปืด โทน กลองทับ รำมะนา โหม่ง ฆ้องคู่ ปี่กาหลอ ปี่ไหน กรับพวงภาคใต้ แกระ และนำเครื่องดนตรีสากลเข้ามาผสม ได้แก่ ไวโอลิน กีต้าร์ เบนโจ อัคคอร์เดียน ลูกแซ็ก ส่วนการประสมวงนั้น เป็นการประสมวงตามประเภทของการแสดงแต่ละชนิด เพลงไทยสำหรับประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย เพลงไทยประกอบการแสดงโขน ละคร รำ และระบำมาตรฐาน เพลงไทยที่ใช้บรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงนาฏศิลป์ไทย โขน ละคร รำและระบำมาตรฐานนั้นแบ่งได้ เป็น 2 ประเภทดังนี้ เพลงหน้าพาทย์ โดยหลักใหญ่ๆ เพลงหน้าพาทย์แบ่งออกเป็นสองอย่างด้วยกันคือ เพลงหน้าพาทย์ใช้บรรเลงอย่างหนึ่งและ เพลงหน้าพาทย์ใช้
เพลงขับร้องรับส่ง คือเพลงไทยทีนำมาบรรจุไว้ในบทโขน – ละคร อาจนำมาจากเพลงตับ เถา หรือเพลงเกร็ด เพื่อบรรเลงขับร้อง ประกอบการรำบทหรือใช้บทของตัวโขน ละครหรือเป็นบทขับร้องในเพลงสำหรับการรำแลระบำ เช่น เพลง ช้าปี่ เพลงขึ้นพลับพลา เพลงนกกระจอกทอง เพลงลมพัดชายเขา เพลงเวสสุกรรม เพลงแขกตะเขิ่ง เพลงแขก เจ้าเซ็น เป็นต้น เพลงไทยประกอบการแสดงพื้นเมือง เพลงไทยที่ใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เป็นบทเพลงพื้นบ้านที่ใช้บรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยแบ่งออกตามภูมิภาคดังนี้ เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ เพลงประกอบการฟ้อนเล็บได้แก่ เพลงแหย่งหลวง ฟ้อนเทียน ได้แก่ เพลงลาวเสี่ยงเทียน ฟ้อนสาวไหม ได้แก่ เพลงปราสาทไหวและสาวสมเด็จ ระบำซอ ได้แก่ ทำนองซอยิ๊และซอจ๊อยเชียงแสน บรเลง เพลงลาวจ้อย ต้อย ตลิ่งและลาวกระแซ เป็นต้น เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง เพลงประกอบการเต้นรำกำเคียว ได้แก่ เพลงระบำชาวนา เป็นต้น
เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน เพลงประกอบการแสดงเซิ้งโปงลาง บรรเลงเพลงลายโปงลาง เซิ้งภูไทย บรรเลงลายลำภูไทย เป็นต้น เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ เพลงประกอบการแสดงลิเกป่า นิยมใช้เพลงตะลุ่มโปง เพลงสร้อยสน เพลงดอกดิน การแสดงชุดรองเง็งบรรเลง เพลงลาฆูดูวอ เพลงมะอีนังลามา เพลงลานัง เพลงปูโจ๊ะปิชัง เป็นต้น
การแต่งกายนาฏศิลป์ไทย การแสดงนาฏศิลป์ไทยทั้งโขนและละครนั้นได้จำแนกผู้แสดงออกเป็น 4 ประเภทตามลักษณะของบทบาทและ การฝึกหัดคือ ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์และตัวลิง ซึ่งในแต่ละตัวละครนั้น นอกจากบุคลิกลักษณะที่ถ่ายทอด ออกมาให้ผู้ชมทราบจากการแสดงแล้ว เครื่องแต่งการของผู้แสดงก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่บ่ง บอกว่า ผู้นั้นรับบทบาทแสดงเป็นตัวใด เครื่องแต่งการนาฏศิลป์ไทยมีความงดงามและกรรมวิธีการประดิษฐ์ที่วิจิตรบรรจงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะที่มา ของเครื่องแต่งกายนาฏศิลป์ไทยนั้น จำลองแบบมาจากเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ (เครื่องต้น) แล้วนำมา พัฒนาให้เหมาะสมต่อการแสดง ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 ฝ่าย ดังนี้ เครื่องแต่งตัวพระ คือ เครื่องแต่งกายของตัวพระมีลักษณะคล้ายเทพมีวิชา
เครื่องแต่งตัวนาง คือ เครื่องแต่งกายของผู้แสดงหรือผู้รำที่แสดงเป็นหญิง สำหรับเครื่องแต่งตัวพระและนางนี้ จะใช้แต่งกาย สำหรับผู้ระบำมาตรฐาน เช่น ระบำสี่บท ระบำพรหมาสตร์และระบำกฤดาภินิหาร เป็นต้น และยังใช้แต่งกาย สำหรับตัวละครในการแสดงละครนอกและละครในด้วย ส่วนในระบำเบ็ดเตล็ด เช่น ระบำนพรัตน์ ระบำตรี ลีลา ระบำไตรภาคี ระบำไกรลาสสำเริง ระบำโบราณคดีชุดต่าง ๆ หรือระบำสัตว์ต่าง ๆ จะใช้เครื่องแต่งกาย ตามความเหมาะสมกับการแสดงนั้น ๆ เช่น นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบ และสวมชุดไทยต่าง ๆ เป็นต้น ตลอดจนยังมีการแสดงหรือการฟ้อนรำแบบพื้นเมืองของท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่งจะมีการแต่งกายที่แตกต่างกันไป ตามแต่ละท้องถิ่น
เครื่องแต่งตัวยักษ์ (ทศกัณฐ์) คือ เครื่องแต่งกายของผู้แสดงเป็นตัวยักษ์ เป็นเครื่องยักษ์
เครื่องแต่งตัวลิง คือ เครื่องแต่งกายของผู้แสดงเป็นตัวลิง
นาฏศิลป์กับบทบาททางสังคม
นาฏศิลป์ เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สร้างสรรค์สุนทรียะด้านจิตใจและอารมณ์ให้กับคนในสังคมและมีอิทธิพลต่อ การดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่สามารถสะท้อนวิถีชีวิตและกิจกรรมของคนในสังคม ทั้งที่เป็นกิจกรรมส่วนตัวและ กิจกรรมส่วนรวม ดังพิจารณาได้จากบทบาทของนาฏศิลป์ที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ใน
ด้านต่าง ๆ ดังนี้
๑. บทบาทในพิธีกรรมรัฐพิธีและราชพิธี การแสดงนาฏศิลป์ในพิธีกรรมต่าง ๆ สามารถแสดงถึงความเชื่อใน พลังเหนือธรรมชาติของภูติฝีปีศาจและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เช่น การฟ้อนรำในพิธีลำผีฟ้า เพื่อรักษาโรค หรือ สะเดาะเคราะห์ของภาคอีสาน การฟ้อนผีมดผีเม็งในภาคเหนือ ที่จะมีผู้หญิงมาเข้าทรงและฟ้อนรำร่วมกันเป็น หมู่เพื่อการสะเดาะเคราะห์หรือรักษาโรคการแสดงแก้บนในลักษณะละครแก้บน หรือลิเกแก้บน เป็นต้น และ ยังมีการฟ้อนรำบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบูชาครูบาอาจารย์ต่าง ๆ เช่น การรำไหว้ครูมวยไทย การรำอายุธบนหลังช้าง การำถวายมือในพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ เป็นต้น
๒. บทบาทในการสร้างสรรค์ มนุษย์มีการพบปะสังสรรค์กันในโอกาสต่างๆ ทั้งในหมู่เครือญาติ เพื่อนฝูง และ คนในสังคม หรือท้องถิ่นเดียวกัน เช่น ในงานวันเกิด งานประเพณี และงานเทศกาลต่าง ๆ เป็นต้น ดังเห็นได้ จากงานบุญประเพณีสงกรานต์ หรืองานเฉลิมฉลองต่าง ๆ จะมีการแสดงนาฏศิลป์ต่าง ๆ เช่น การฟ้อนรำ โขน ลิเก เป็นต้น ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้คนในท้องถิ่นทั้งหญิงและชายได้พบปะสังสรรค์แลสนุกสนานกับการแสดงต่าง ๆ ร่วมกัน
๓. บทบาทในการสื่อสาร นาฏศิลป์เป็นกระบวนการหนึ่งทางการสื่อสารที่ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจกันได้โดย ใช้ภาษาท่าทาง หรือท่ารำที่มีความหมายจากการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบการพูดหรือการเล่าเรื่องต่าง ๆ หรือภาษาท่าทางในละครใบ้ที่สามารถสื่อความหมายให้ผู้ชมเข้าใจได้โดยการแสดงออทางสีหน้า อารมณ์และ ดนตรีประกอบที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้เข้าใจยิ่งขึ้น ซึ่งท่าทางหรือท่ารำต่าง ๆ นี้ อาจกำหนดขึ้นจากการ เลียนแบบลักษณะธรรมชาติ เช่น กิริยาท่าทางของมนุษย์หรือสัตว์และท่าทางที่มนุษย์กำหนดขึ้นจากข้อมูลทาง วัฒนธรรม เช่น เทวรูป ภาพจำหลัก เป็นต้น
๔.บทบาทในทางการศึกษา นาฏศิลป์เป็นการศึกษาทางด้านศิลปะแขนงหนึ่งที่พัฒนา ควบคู่มากับความเจริญ ของมนุษย์ โดยเฉพาะความเจริญทางด้านศิลปะวัฒนธรรมที่มีการสร้างสรรค์ และทำนุบำรุงศิลปะให้รุ่งเรือง ด้วยการสร้างสถาบันการศึกษาด้านนาฏศิลป์ เช่น วิทยาลัยนาฏศิลป์ของกรมศิลปากร ที่เน้นการเรียนการสอน ด้านนาฏศิลป์ให้กับนักเรียนนักศึกษาของไทยและโรงเรียนสอนการแสดงหรือการรำนาศิลป์ขององค์กรเอกชน ต่าง ๆ ที่จัดการเรียนขึ้นเป็นระยะสั้น ๆ ให้กับเยาวชนไทยหรือผู้สนใจทั่วไป เพื่อเป็นการ เสริมสร้างบุคลิกภาพ ความกล้าแสดงออก และคุณภาพชีวิตของผู้ศึกษารวมทั้งยังเป็นการสร้างนาฏยศิลปินให้ มีความเชี่ยวชาญ และสามารถใช้นาฏศิลป์เป็นอาชีพเลี้ยงตนเองได้
๕.บทบาทในการอนุรักษ์ และเผยแพร่เอกลักษณ์ของชาติ นาฏศิลป์เป็นการแสดงเอกลักษณ์ ประจำชาติอย่าง หนึ่ง เป็นเครื่องหมายแสดงถึงศิลปวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะโดดเด่น หรือแตกต่างจากชนชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะนาฏศิลป์ไทยที่มีเอกลักษณ์ด้านท่ารำ เครื่องแต่งกาย และดนตรีไทยประกอบการแสดงซึ่งยังมีความ หลากหลายในแต่ละท้องถิ่นของประเทศ ได้แก่ ใน ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ก็มีการแสดงนาฏศิลป์ที่แตกต่างกันออกไป โดยแต่ละท้องถิ่นใดมีการเผยแพร่งานนาฏศิลป์ของท้องถิ่นออกไป ให้กว้างไกล ทั้งในท้องถิ่นใกล้เคียงและในต่างประเทศที่อยู่ห่างไกล เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และการ ถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เช่น ในงานเทศกาลศิลปวัฒนธรรมและมหกรรมนานาชาติ ตลอดจนให้ การสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ให้เพิ่มพูนและสืบทอดไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไป ซึ่งนับเป็นภารกิจของ คนในท้องถิ่นหรือประเทศชาตินั้น ๆ ที่ต้องมาร่วมมือกัน โดยเริ่มจากความรักความชื่นชมและภาคภูมิใจในงาน นาฏศิลป์ไทย ของเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาที่มาจัดแสดงนาฏศิลป์ที่โรงละครแห่งชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ความชื่นชมในงานนาฏศิลป์ของชาติตน ที่แม้จะอยู่ถึงต่างประเทศก็ยังห้าการทำนุบำรุงรักษาและสืบทอด ศิลปวัฒนธรรมของบรรพบุรุษให้คงอยู่ และเป็นที่แพร่หลายต่อไป
๖.บทบาทในการส่งเสริมพลานามัย นาฏศิลป์เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายให้สวยงาม และมีความหมาย ต้องใช้ การฝึกหัดและฝึกซ้อมให้จดจำท่าทางต่างๆ ได้ จึงเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่มีการใช้กำลังยกแขน ขา มือ หรือเคลื่อนไหวศีรษะและใบหน้า เพื่อให้เกิดท่าทางและความสนุกสนานไปพร้อม ๆ กัน เช่น การรำกระบี่ กระบอง เซิ้ง การรำดาบสองมือ การรำพลอง การำง้าว ก็เป็นการผสมผสานท่าทางนาฏศิลป์กับศิลปะการกีฬา แบบไทย ๆ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการเต้นแอโรบิก หรือการเต้นออกกำลังกายประกอบเพลง ซึ่งเป็นการนำ นาฏศิลป์มาประยุกต์ใช้ในการออกกำลังกาย และความแข็งแรงให้กับร่างกาย