Data Loading...
พระลักพระลาม Flipbook PDF
วรรณกรรมท้องถิ่นของภาคอีสาน ที่มีการวิเคราะห์องค์ประกอบ บทบาททางสังคม สถาพบ้านและเมืองของชาวอีสาน และการนำไปประยุกต์ใช้
102 Views
82 Downloads
FLIP PDF 807.48KB
วิเคราะห์วรรณกรรม เรื่อง พระลักพระลาม
จัดทาโดย นางสาวทิติยาพร ตะบุตร รหัส 006 สาขาวิชาภาษาไทย ศศ.บ. ปี 3 หมู่ 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
เสนอ อาจารย์กิตติศักดิ์ คงพูน
รายวิชา เทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างสรรค์ด้านภาษาและ วัฒนธรรมเพื่อการเผยแพร่ รหัสวิชา 1541704
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
คานา วิเคราะห์วรรณกรรม เรื่อง พระลักพระลามมีวัตถุประสงค์ที่จะนาเสนอ เกี่ยวกับวรรณกรรมพื้นบ้านของ ภาคอีสาน ที่มีความโดดเด่นและเป็นที่รู้จักดีของ ภาคอีสานรวมไปถึงได้รับรู้บทบาททางสังคมของวรรณกรรมเรื่อง “พระลักพระ ลาม” ที่อยู่ในสังคมของคนอีสาน และได้รู้ถึงสภาพบ้านและเมืองของคนอีสานว่า เป็นอย่างไร ผู้จัดทาหวังว่าวิเคราะห์วรรณกรรม เรื่อง พระลักพระลาม ฉบับนี้ จะเป็น ประโยชน์สาหรับผู้อ่านและผู้ที่สนใจนาไปใช้ในการเรียนรู้ ตลอดจนนาไปใช้เป็น ข้อมูลประกอบอ้างอิงได้
ทิติยาพร ตะบุตร ผู้จัดทา
สารบัญ
เรื่อง
หน้า
เนื้อหา เรื่องพระลักพระลาม
1
วรรณกรรมเรื่องพระลักพระลาม มาจากไหน
3
วิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องพระลักพระลาม
13
การนาไปประยุกต์ใช้
24
อ้างอิง
25
วรรณกรรมเรื่อง พระลักพระลาม
ที่มา: https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_1476611/attachment/
สรุปเนื้อหาวรรณกรรมอีสาน เรื่ องพระลักพระลาม หรื อ พระลามชาดก กล่าวถึงทาวฮาบมะนาสวนครองเมืองลังกาที่เต็มไปด้วยปราสาทราชวังสวยงามวิจิตร ไพร่ ฟ้าประชาชนจึงมีสุขสาราญกันถ้วนหน้า ท้าวฮาบมะนาสวนอยากเรี ยนวิชาศาสตร์ศิลป์ กับ พระอินทร์ จึงเหาะไปเฝ้ า เมื่อพระอินทร์ ทรงทราบก็มิได้ขดั ประสงค์สอนวิชาให้มิได้อาพราง บังเอิญท้าวฮาบมะนาสวนได้พบนางสุ ชาดามเหสี ของพระอินทร์ เกิดหลงรักนาง วันหนึ่ งพระ อินทร์ไม่อยูท่ า้ วฮาบมะนาสวนแปลงกายเป็ นพระอินทร์ไปสมสู่ กบั นางสุ ชาดา เมื่อนางสุ ชาดารู ้ ความจริ งก็โศกเศร้า พระอินทร์ทรงเล็งเห็นว่านางสุ ชาดาใกล้จะหมดบุญแล้วจึงให้นางไปเกิดยัง โลกมนุษย์ ต่อมานางได้ปฏิสนธิ ในครรภ์ของพระมเหสี ทา้ วฮาบมะนาสวน โหรทานายว่าพระธิ ดา องค์น้ ี จะนาความเดือดร้อนมาให้บา้ นเมืองและเผ่าพงษ์ยกั ษาและท้าวฮาบมะนาสวนถึงแก่ชีวิต ในครั้งนี้ ดว้ ยท้าวฮาบมะนาสวนจึงสั่งให้นาธิ ดาไปปล่อยให้ไกลที่สุด เสนาอามาตย์จึงนาราช ธิดาไปปล่อยไว้ในดอกบัวทอง
พระรั สสี เก็บธิ ดาฮาบมะนาสวนมาเลี้ ยงเติ บใหญ่ มางดงามมากชื่ อนางสี ดาจันทแจ่ ม กล่าวถึงพรานป่ าเจอนางเข้าจึงนาความไปบอกพญาฮาบมะนาสวนทาให้อยากได้นางมาเป็ นเมีย แต่พระรัสสี ให้มีการเสี่ ยงบุญโดยการยกธนูทองฝ่ ายพญาฮาบมะนาสวนยกไม่ข้ ึนแม้จะอ้อนวอน เทวดาก็ตามแต่ถา้ ฮาบมะนาสวนอุม้ นางไปก็จะเข้าใกล้ไม่ได้เพราะตัวนางจะร้อนดังไฟ กล่าวถึงพระลัก และ พระลามนั้นเป็ นลูกกษัติรย์ในราชวงศ์สัตนาคพระลามนั้นเป็ นพี่ พระลักเป็ นน้อง คราวหนึ่งพ่อค้าเมืองลังกาเข้าเฝ้าและเล่าเรื่ องนางสี ดาจันทแจ่มให้ฟังจนทั้งสอง ทิ้งบ้านเมืองเพื่อออกตามหาทั้งสองใช้เวลาสี่ เดือนตามหาจนเจอพระรัสสี ใช้สูตรเดิมคือยกธนู ปรากฏว่าพระลามยกธนูข้ ึนและยอมยกนางให้ แต่ให้รอก่อนพระรัสสี จะไปเอาน้ าที่สระอโนมา หมายจะสรงให้แต่ ท้ งั สามก็จ ากไปก่ อนพระรั สสี จึง ขอให้พ ระอิ นทร์ ลงโทษทั้งสามให้ตอ้ ง พลัดพลากจากกัน การกาเนิ ดของ หุ ลละมาน เกิดจากนางแพงศรี ลูกสาวของพระรัสสี กบั นางใคเนื่ องจาก นางแพงศรี บอกพระรัสสี วา่ นางใคมีชูน้ างจึงโกรธนางแพงศรี และโยนนางออกไปตกในป่ า นาง แพงศรี เดิ นทางในป่ าเจอต้นมณี โคตรนางจึงปี นขึ้ไปกินผลมณี โคตรจึงทาให้นางกลายเป็ นลิง และได้เจอลิงพระลามทั้งคู่ได้สมสู่ กนั บนต้นมณี โคตรและให้กาเนิดหุลละมาน ในที่สุดฮาบมะนาสวนก็ได้นางสี ดาจันทแจ่มไป ขณะบินบนเวหาเจอพญาครุ ฑเพื่อน ของพระลักพระลาม และได้ต่อสู ้กนั จนพญาครุ ฑปี กหัก ทั้งคู่ออกตามหานางก็เสี่ ยงทายดูว่านาง มีชีวติ อยูจ่ นมาพบพญาครุ ฑเสี่ ยวรักพญาครุ ฑเล่าเรื่ องที่เจอนางสี ดาจันทแจ่มให้ฟัง เพื่อเป็ นการ ตอบแทนพระลักจึ งรั กษาปี กให้พญาครุ ฑจนหาย พระลักพระลามก็ออกตามหานางสี ดาจัน ทแจ่มต่อไปจนพบกับหุลละมานและชวนหุลละมานร่ วมเดินทางด้วย หุลละมานได้รับคาสัง่ ให้ตามหาแม่สีดาจันทแจ่มก็เดินทางไปเมืองลังกา และได้พบแม่สี ดาจันทแจ่มแล้วพูดคุยกันว่าทั้งพระลามยังรักนางอยูส่ ่ วนนางก็ยงั รักพระลามอยูห่ ุ ลละมานโกรธ มากจึงเตรี ยมตัวต่อสู ้กบั ฮาบมะนาสวน หุ ลละมานต่อสู ้กบั ฮาบมะนาสวนอย่างดุเดือดไม่มีใคร แพ้ใครชนะทาให้พระลามเดินทางไปรบด้วยตนเอง พญาฮาบมะนาสวนให้พญาโมกขศักดิ์เพื่อน รักมาช่ วยจนทาให้พระลามต้องหอกโมกขศักดิ์ปั กเท้ายกเท้าไม่ข้ ึน หุ ลละมานต้องไปเอายามา รักษาพระลามจนหายและต่อสู ้กบั ฮาบมะนาสวนต่อ ในที่สุดฮาบมะนาสวนก็ถูกศรพระลามตาย
จนในที่สุดพระลามก็ได้นางสี ดาจันทแจ่มคืนและครอบครองเมืองลังกา พระลามครองเมือง ลังกาได้แปดเดื อนก็ยกเมื องให้เสตถะราชลูกชายของพญาฮาบมะนาสวนขึ้ นครองเมืองแทน ส่ วนตนเองเดินทางกลับกรุ งสัตนาค ที่กรุ งสัตนาคคราวหนึ่ งแม่สีดาจันทแจ่มได้วาดภาพพญาฮาบมะนาสวนให้นางสนมดู เมื่อพระลามมาพบโกรธมาก นานางสี ดาจันทแจ่มไปประหารชีวิต พระลักเอาพี่สะใภ้ไปฝากไว้ กับพระรัสสี จนนางคลอดลูก เมื่อลูกชายโตจึงเข้าไปเมืองสัตนาค และเกิดต่อสู ้กบั หุ ลละมาน เมื่อพระลามมาเจอสอบถามว่าป็ นลูกชายตนเอง ต่อจากนั้นได้เชิญนางสี ดาจันทแจ่มเข้าเมืองกรุ ง สัตนาคและอยูด่ ว้ ยความสุ ขสื บมา
ที่มา: https://rinac.msu.ac.th/gmedia/__79-jpg
วรรณกรรมเรื่ องพระลักพระลาม มาจากไหน ที่มาและบทบาทในสังคม วรรณกรรมเรื่ อ ง “พระลัก-พระลาม” ได้ต ้นเรื่ องไปจากรามายณะของ อินเดียแต่ได้ปรับให้เข้ากับท้องถิ่นลุ่มน้ าโขง ในเรื่ อง “พระลัก-พระลาม” จะบรรยายถึงแม่น้ า โขง สภาพบ้านและเมืองที่อยูร่ ิ มน้ าโขงทั้งสองฝั่งว่ากาเนิดขึ้นมาอย่างไร เนื้อหาของวรรณกรรม “พระลัก-พระลาม” สามารถแบ่งได้เป็ น 2 ภาค ภาคแรกมีแก่นเรื่ องอยูท่ ี่การลักพาตัวพี่สาวของ พระรามโดยทศกัณฑ์ คือ “ราวณะ” ในฉบับอินเดีย และ “ฮาบมะนาสวน” ในฉบับอีสานและ ลาว ส่ วนภาคที่สองเป็ นเรื่ องของทศกัณฑ์ลกั พาตัวนางสี ดา
หนังสื อพระลัก-พระลาม (รามเกียรติ์) สานวนเก่าของอีสาน ตรวจชาระ โดย พระอริ ยานุ วตั ร เขมจารี เถระ ศูนย์อนุ รักษ์วรรณคดีภาคตะวันออกเฉี ยงเหนื อ วัดมหาชัย จังหวัดมหาสารคาม ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ ได้ปริ วรรตจากอักษรไทยน้อย มูลนิธิเสถียรโกเศศนาคะประที ป จัดพิมพ์เผยแพร่ เ มื่ อ พ.ศ.๒๕๑๘ ความยาว ๑๓๓ หน้า ตามคานากล่ าวว่าได้ ต้นฉบับเป็ นคากลอนเรื่ อง เรื่ องพระลักพระรามยณ์ (ไม่ปรากฏนามผูป้ ระพันธ์) มาจากบ้านเรื อน โยมคุม้ วัดเหนือ จังหวัดสกลนคร ซึ่งพระศรี สกลกิจ รองเจ้าคณะจังหวัดสกลนครเป็ นเจ้าอาวาส ในขณะนั้น พระลักพระลามสานวนที่อ่านและรู ้จกั แพร่ หลายในหมู่ประชาชนลาว เนื้อ เรื่ อ งส่ ว นใหญ่ ค ล้า ยรามเกี ย รติ์ ฉบับภาษาไทยกลาง มี ต่ า งกัน บ้า งในเรื่ อ งชื่ อ ตัว ละครและ ภูมิศาสตร์ ในท้องเรื่ อง เช่น พระลักพระลามเป็ นกษัตริ ยค์ รองกรุ งศรี สัตตนาคนหุ ต ส่ วนชื่ อตัว ละครที่เปลี่ยนแปลงไปได้แก่ หนุ มาน เป็ น หุ ลละมาน ทศกัณฑ์ เป็ น พญาฮาบ ทรพี เป็ น ทัวระ พี สุ ครี พ เป็ น สังคีบและ พาลี เป็ น พะลีจนั ทน์ พระลักพระลาม สานวนลาว เป็ นเรื่ องที่มีความยาวเป็ นอย่างมาก แต่ว่าผู ้ แต่งได้จดั เหตุการณ์สาคัญของเรื่ องเป็ น บั้น เพื่อให้เห็นการดาเนินเรื่ องระหว่างเหตุการณ์อย่าง ชัดเจน โครงเรื่ องสาคัญนั้นมีนอ้ ย แต่ว่าเหตุที่ทาให้พระลักพระลามสานวนลาวมีความยาวนั้น เพราะว่าผูแ้ ต่ งรจนาแบบบรรยาย ฮี ดคองประเพณี ของลาวเผ่าต่าง ๆ การสงคราม คากลอน คาผญา สุ ภาษิต และโครงเรื่ องในศาสนาพุทธ พรหมโลก โดยแต่งเรื่ องเป็ นแบบชาดก วรรณกรรมเรื่ องพระลักพระลามถือได้ว่าเป็ นมหากาพย์แห่ งชาติของคน ลาว และมีการดัดแปลงมาจากมหากาพย์เรื่ องรามายณะ ของวาลมีกิ และเป็ นวรรณกรรม อีกเรื่ อง หนึ่ งที่ได้รับการยกย่องให้เป็ นมรดกทางวัฒนธรรมที่สาคัญของลุ่มน้ าแม่น้ าโขง วรรณกรรม เรื่ องพระลักพระลามมีความแตกต่างจากนิ ทานพระรามฉบับอื่นๆ ของ ประเทศในแถบเอเชี ย ตะวันออกเฉี ยงใต้ที่รับมาจากอิทธิ พลของอารยธรรมอินเดี ย เช่ น เดี ยวกันโดยผูแ้ ต่งได้มีการ สร้ า งสรรค์โ ดยการดัด แปลงต่ อ เติ ม ให้มี ล ัก ษณะเฉพาะถิ่ น ตามคติ ค วามเชื่ อ ค่ า นิ ย มและ วัฒนธรรมประเพณี ของลาว มี การนาเอาเนื้ อเรื่ อง โครงเรื่ อง และตัวละครที่ เป็ นที่ นิยมของ ท้องถิ่นมาประยุกต์สรรค์สร้างขึ้นใหม่ เช่น ม้ามนีกาบ เป็ นต้น มีการสอดแทรกวิถีชีวิต คติความ
เชื่ อ ค่านิ ยม และมีการใช้ฉาก สถานที่มีอยู่จริ งในท้องถิ่นผสมผสานกับสถานที่ในจินตนาการ อย่างลงตัว ดังที่ สัจจิดานันดะ สะหาย ผูร้ วบรวมต้นฉบับพระลักพระลาม ลาวฉบับต่างๆ กล่าว ว่าเรื่ องพระลักพระลามนี้ ไม่เพียงแต่เป็ นคาแปลออกจากนิทาน ของต่างประเทศเท่านั้น แต่เป็ น หนังสื อวรรณคดี ที่ดีที่สุดฉบับหนึ่ งของลาว เรื่ อง พระลักพระลามนี้ ได้พูดถึงวัฒนธรรมแบบ ต่างๆ ของลาวอย่างละเอียดลออ นอกจากนี้ Laosunthorn, Niyada ยังกล่าวว่า ในบรรดา เรื่ องพระรามใน ดินแดนต่างๆ ที่ได้รับอิทธิ พลมาจากอินเดีย พระรามชาดกฉบับลาว ดูจะเป็ นเสมือ นฉบับที่โดด เด่น กว่าฉบับอื่น ๆ ตรงที่สามารถผนวกบทบาทและสถาน ภาพของตัวละครสาคัญของเรื่ องรา มายณะเข้ากับวีรบุรุษของชาติ ส่ งผลให้เกิดตัวละครสาคัญของเรื่ อง ลักษณะของวรรณกรรมก็ เปลี่ยนไปจากบทสดุดีของเทพในศาสนาฮินดู กลายเป็ นวีรกรรมของพระโพธิ สัตว์ ในความเชื่อ ของพระพุทธศาสนา การศึกษาขนบวรรณกรรมของเรื่ องพระลักพระลาม ในทัศนะของผูว้ ิจยั สั น นิ ษ ฐานว่า วรรณกรรมเรื่ อ งพระลัก พระลามนี้ เป็ นวรรณกรรมที่ เ กิ ด จาก “รสนิ ยม ทาง วรรณศิลป์ ” ของลาวโดยแท้เพราะมีการปรับเปลี่ยนดัดแปลงเนื้อหาและโครงเรื่ อง ให้มีลกั ษณะ เป็ นทั้งแบบนิ ทานประจาถิ่น นิ ทานชาดก และ “พื้นสื บ” หรื อวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ ดว้ ย และมีการใช้สัมพันธบท (Intertextuality) จากตัวบทต้นแบบ จากนิทานหรื อตานานตามคติความ เชื่อหรื อเป็ นที่นิยมมาเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกัน ภายในเนื้อเรื่ องอย่างลงตัว ดังนั้นเรื่ องพระลักพระลามมีเนื้อหาที่กล่าวถึงภูมิประเทศแถบสองฝั่งโขง ระหว่างลาวและภาคอีสานของไทยเป็ นส่ วนมาก บทความเรื่ องนี้จึงมีวตั ถุประสงค์เพื่อ จะศึกษา บทบาทของวรรณกรรมเรื่ องพระลักพระลามที่ยงั มีปรากฏอยู่ในสังคมและ วัฒนธรรมสองฝั่ ง โขงคือลาวและภาคอีสานของไทย โดยศึกษาใน 3 ประเด็นสาคัญ ได้แก่ พระลักพระลามใน ศิลปกรรม พระลักพระลามในนาฏศิลป์ และพระลักพระลาม ในมหรสพ ดังต่อไป
1. พระลักพระลามในศิลปกรรม งานด้านศิลปกรรมเป็ นอีกสิ่ งหนึ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทหรื อ ความสาคัญของเรื่ องพระลักพระลามที่ปรากฏอยู่ในสังคมวัฒนธรรมลุ่มน้ าโขงได้เป็ น อย่างดี ศิลปกรรมบางชิ้ นแสดงให้เห็นถึ งเรื่ องราวของค่ านิ ยม คติความเชื่ อ ศาสนาที่
เคารพนับถือ บางชิ้นแสดงให้เห็นจารี ตประเพณี วฒั นธรรมต่างๆ บางชิ้นแสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ หรื อความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติ แสดงให้เห็ นว่ามี การ ถ่ายทอด แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมระหว่างกันในที่น้ ีขอนา เสนอ ศิลปกรรม 2 ประเภท คือ จิตรกรรมและประติมากรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่ องพระลักพระลาม ชัดเจน 1.1 จิตรกรรมภาพจิตรกรรม หรื อภาษาลาวเรี ยกว่า “ฮูบแต้ม” ที่บรรยาย หรื อ นา เสนอเรื่ องราวเกี่ ย วกับเรื่ อง พระลัก พระลามมากที่ สุ ดโดยปกติ ม ัก จะปรากฏในวัด ศาสนาคารของสังคมสองฝั่งโขงนั้น ส่ วนใหญ่จะปรากฏออกมาในรู ปของจิตรกรรมฝาผนังของ สิ ม (อุโบสถ) และวิหารเป็ นส่ วนมาก ซึ่ งปรากฏในสังคมสองฝั่งลุ่มน้ าโขงทั้งในลาว และภาค อีสานของไทย ได้แก่ในเมืองหลวงพระบางมีภาพจิตรกรรมเรื่ องพระลักพระลามหรื อรามเกียรติ์ ในสถานที่ต่างๆ นั้น จากการศึกษาพบว่ามี 3 แห่ งที่สาคัญได้แก่ 1) บานหน้าต่างด้านนอกของ สิ ม วัดธาตุหลวง 2) ผนังด้านหลังภายในโรงราชรถที่วดั เชียงทอง และ 3) พิพิธภัณฑ์หลวงพระ บาง (พระราชวังเก่า) รายละเอียดดังนี้ 1.1.1 ภาพจิตรกรรมที่ผนังหน้าต่างวัดธาตุหลวงนั้น เป็ นภาพที่มีลวดลายที่ ได้รับอิทธิ พลมาจากจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสิ นทร์ตอนต้น ดังจะเห็นได้ทวั่ ไปในประเทศ ไทย โดยรั บมาทั้งการจัดองค์ประกอบภาพ สี เทคนิ คการเขี ยน คล้ายกับภาพเขียนเรื่ องอื่ นๆ โดยเฉพาะพุทธประวัติซ่ ึ งเหลือหลักฐานอยู่ค่อนข้างมากในเมืองหลวงพระบางแต่ภาพในวัดนี้ แตกต่างจากที่อื่นเพราะศิลปิ นใช้เพียง 2 สี คือขาวกับดา เท่านั้น ผูว้ ิจยั สันนิ ษฐานว่าอาจเป็ น เพราะว่า วัด ธาตุ ห ลวงแห่ งนี้ เป็ นสถานที่ เ ผาศพของกษัต ริ ยแ์ ละเหล่ า ราชวงศ์ จึ ง ใช้สีที่ เ ป็ น สัญลักษณ์ แห่ งงานศพไม่ ฉูดฉาด และสาเหตุ ที่วาดภาพเรื่ องรามเกี ยรติ์ นี้ ไว้ก็อาจเพื่อให้เป็ น มหรสพหน้าพระเมรุ อีกโสดหนึ่ ง เพราะเรื่ องรามเกียรติ์เป็ นวรรณคดีคู่ราชสานักซึ่ งอาจได้รับ อิทธิพลแนวความคิดนี้มาจากราชสานักไทย 1.1.2. ผนังด้านหลังภายในโรงราชรถหรื อโรงเมี้ยนโกศ วัดเชี ยงทอง เมือง
หลวง พระบางนั้น เป็ นจิตรกรรมประเภทภาพติดกระจกโดยตัดกระจกแผ่นเล็กๆ หลากสี แล้ว ปะติดต่อกันเป็ นรู ปต่างๆ เพื่อเล่าเรื่ องราวคล้ายกันกับภาพติดกระจกที่ผนังด้านหลัง ของสิ มวัด เชียงทองและผนังวิหารหลังเล็กด้านหลังสิ มวัดเชียงทองที่เล่าเรื่ องราวเกี่ยวกับ นิทานและวิถีชีวิต
ของคนลาว ซึ่ งงานจิตรกรรมประเภทการติดกระจกนี้ Sooksawasdi, Surasawasdi (1992 : 34) กล่าวไว้วา่ งานศิลปะประดับกระจกช่างหลวงพระบางนี้ เข้าใจว่าคงจะเป็ นที่นิยมกันเมื่อไม่นาน มานี้ ดังจะเห็นงานประดับกระจกแบบเดียวกัน ในท้องพระโรงของเจ้าชีวิตหลวงพระบางที่พ่ ึง จะได้รับการตกแต่งใหม่เมื่อไม่กี่สิบปี มานี้ สาหรับพระราชพิธีราชาภิเษกเจ้าชีวิตศรี สว่างวัฒนา กษัตริ ยอ์ งค์สุดท้ายของลาว และ หลังจากเจ้าชีวิตศรี สว่างวงศ์สิ้นพระชนม์ และได้สร้างโรงราช รถพระโกศของพระองค์ไว้ เมื่อ พ.ศ. 2505 ช่ างคนเดี ยวกันหรื อกลุ่มเดิ มนี้ คงจะได้ประดับ กระจกเรื่ องรามเกียรติ์ หรื อพระลักพระลามด้วยเช่นเดียวกับผนังรอบโรงราชรถ ่ ี่ทอ้ งพระ 1.1.3. ภาพจิตรกรรมที่พิพิธภัณฑ์หลวงพระบางนั้นปรากฏอยูท โรงเป็ นประเภทภาพติดกระจกเหมือนกันกับในโรงราชรถ ในเมืองเวียงจันทน์น้ นั พบภาพจิตกรรมหรื อฮูบแต้มเกี่ยวกับพระลักพระ ลาม เพียงวัดเดี ยวคื อวัดอู บมุ ง โดยเป็ นเรื่ องพระลักพระลามของลาวโดยแท้ที่ไม่ มีเนื้ อหา เหมือนกับรามเกียรติ์เหมือนเมืองหลวงพระบางหรื อของไทย ซึ่ งอยู่ในผนังภายในสิ ม หรื อ โบสถ์ เป็ นศิลปะแบบพื้นบ้านที่สร้างโดยช่างในท้องถิ่น มีรูปแบบในการแสดงออก ที่เรี ยบง่าย ไม่มีการตกแต่งมากนักในภาคอีสานของไทย พบภาพจิตกรรมหรื อฮูบแต้มเกี่ยวกับพระลักพระ ลาม ที่ผนังสิ มหรื อโบสถ์ไม่มากนัก จากการศึกษาของ Samosorn, Pairoj (1989 : 62-66) พบว่า วัดที่มีฮูบแต้มเกี่ยวกับเรื่ องพระลักพระลามและเรื่ องรามเกียรติ์มีเพียง 3 วัด ได้แก่ สิ มวัดป่ า เรไรย์ บ้านหนองพอก อา เภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม และสิ มวัด สระบัวแก้ว บ้านวังคูณ อา เภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น เป็ นภาพเรื่ องพระลัก พระลามหรื อพระลามชาดก ซึ่ งเป็ น ฝี มือช่างท้องถิ่นเช่ นเดียวกันกับที่วดั อูบมุง เมืองเวียงจันทน์ ส่ วนอีกแห่ งคือสิ มวัดหัวเวียงรังษี อาเภอธาตุ พนม จังหวัดนครพนม เป็ นภาพเรื่ องรามเกี ยรติ์ที่ เป็ นฝี มื อช่ างพื้นบ้านซึ่ งได้รับ อิทธิพลจากช่างราชสานัก ภาพจิ ต รกรรมที่ ผ นัง สิ ม ที่ มี เ นื้ อ หาเกี่ ย วกับ เรื่ อ งพระลัก พระลาม และ รามเกียรติ์ในสังคมสองฝั่งโขงนั้น มักจะเป็ นฝี มือช่างพื้นบ้านโดยแท้ ภาพจะไม่อ่อนไหว หรื อ เส้นจะไม่บางคม ส่ วนช่างที่ได้รับอิทธิ พลจากราชสา นักนั้นนอกจากจะได้รับอิทธิ พล ด้านเนื้อ เรื่ องแล้ว ยังได้รับอิทธิ พลด้านรู ปแบบการวาดอีกด้วย ซึ่ งภาพจะมีความอ่อนไหว และเส้นจะ
บางคม สะท้อนให้เห็นถึงคตินิยมของคนในสังคมสองฝั่งโขงได้ชดั เจนว่า ผูท้ ี่เป็ นคนพื้นถิ่นสอง ฝั่งโขงนั้นนิยมชมชอบเรื่ องพระลักพระลาม ช่างพื้นถิ่นจึงต้อง สร้างสรรค์ผลงานเพื่อตอบสนอง รสนิยมของคนในท้องถิ่น
ที่มา :https://rinac.msu.ac.th/gmedia/__79-jpg 1.2 ประติมากรรม ภาพประติมากรรมที่บรรยายหรื อนา เสนอเรื่ องราว เกี่ยวกับเรื่ องพระลัก พระลามมากที่สุดโดยปกติมกั จะปรากฏในวัด ศาสนาคาร หรื อสถานที่ สาคัญของสังคม ลาวนั้น ส่ วนใหญ่ จะปรากฏออกมาในรู ปของประติ มากรรมภาพนู นต่ า ประเภทภาพแกะสลัก ภาพปูนปั้ นสดหรื อภาพจา หลักลายปูนปั้ นและประติมากรรมลอยตัว ซึ่ ง ปรากฏในสังคม สองฝั่งโขงทั้งฝั่งลาวและภาคอีสานของไทย ได้แก่ ในเมืองหลวงพระบางมี ภาพประติมากรรมเกี่ยวกับเรื่ องพระลักพระลาม หรื อรามเกียรติ์ หรื อได้รับอิทธิ พลจากเรื่ องพระ ลักพระลามหรื อรามเกียรติ์ที่ปรากฏ ในสถานที่ต่างๆ นั้น จากการศึกษาพบว่ามีท้ งั ประติมากรรม ประเภทภาพแกะสลัก (ลายควัดไม้) ภาพปูนปั้ นสด หรื อภาพจา หลักปูนปั้ น และประติมากรรม ลอยตัว ภาพแกะสลักเกี่ยวกับเรื่ องพระลักพระลามนั้นเป็ นฝี มือช่างราชสา นักลาว ถือได้ว่าเป็ นฝี มือชั้นครู แห่ งศิลปะลาวก็ว่าได้ ซึ่ งปรากฏในงานแกะสลักไม้ ได้แก่ โรงราชรถ และตัว ราชรถ ที่ ว ดั เชี ย งทอง ห้อ งรั บ แขกของเจ้า มหาชี วิ ต พิ พิ ธ ภัณ ฑ์ หลวงพระบาง (พระราชวังเก่า) และไม้แกะสลักราวเทียน ที่วดั ธาตุหลวงและวัดวิชุล โดยเฉพาะงานแกะสลัก ไม้โรงราชรถและตัวราชรถวัดเชี ยงทองนั้นเป็ นงานศิลป์ ที่ราชวงศ์ มีส่วนเกี่ยวข้องสร้างและ ควบคุมงานโดยช่างประจา ราชสา นัก กล่าวคือเจ้ามะนีวง เป็ นผูอ้ อกแบบ และแกะสลักด้วยนาย ช่างภายใต้ การควบคุมของเพียตัน และ ภาพแกะสลักที่หอ้ งรับแขกของเจ้ามหาชีวิต พิพิธภัณฑ์
หลวงพระบาง อาจจะเป็ น ผลงานของช่างกลุ่มเดียวกันนี้ดว้ ย นอกจากนั้นยังได้ฝากผลงานไว้ที่ เมืองเวียงจันทน์ ด้วย โดยเฉพาะสิ มวัดองค์ต้ือ ภาพนูนต่าประเภทปูนปั้นสด หรื อภาพจา หลักปูนปั้ นเกี่ยวกับเรื่ องพระลัก พระลามนั้น พบที่รางน้ าอุโบสถวัดใหม่สุวนั นะพูมาราม และที่คอสองหอพระบาง พิพิธภัณฑ์ หลวงพระบาง โดยเฉพาะที่คอสองหอพระบางนั้น เป็ นเรื่ องที่เกี่ยวกับ พระลักพระลามฉบับลาว โดยแท้ ไม่ได้รับอิทธิ พลจากเรื่ องรามเกียรติ์เหมือนที่อื่นใด ในหลวงพระบาง เพราะเป็ นเรื่ อง เกี่ยวกับกา เนิดท้าวลุนลู่ซ่ ึงเป็ นเรื่ องที่มีเฉพาะในเรื่ อง พระลักพระลามฉบับลาวเท่านั้น ทั้งนี้อาจ เป็ นเพราะหอพระบางนี้ สร้ างในยุคสมัยใหม่ เสร็ จเมื่อไม่ กี่ปีมานี้ หลังจากประเทศลาวได้ เปลี่ยนแปลง การปกครองแล้ว อีกทั้ง เรื่ องรามเกียรติ์เป็ นเรื่ องที่เกี่ยวข้องกับราชสานัก เมื่อมีการ สร้ า ง ศาสนาคารใหม่ เพื่ อ จะรั กษารสนิ ยมเดิ ม ของลาวในฐานะที่ เ มื อ งหลวงพระบางมี ความสัมพันธ์กบั เรื่ องรามเกียรติ์หรื อพระลัก พระลามดังที่ปรากฏในหลายแห่ ง จึงได้นา เอา เรื่ องพระลัก พระลามที่เป็ นของลาวโดยแท้มาประดับตกแต่ง ศาสนาคาร อีกทั้งตอนที่เลือกมาก็ เป็ นตอนที่เกี่ยวกับวิถีสังคมลาวกล่าวคือตอนที่เกี่ยวกับการทานา ส่ วนประติมากรรมลอยตัวนั้น พบเป็ นรู ปปั้ นหุ ลละมาน (ชื่อตามเนื้อเรื่ อง) หรื อหนุมานที่วดั อาฮามและถ้ าติ่ง ซึ่ งรู ปปั้ นหุ ลละมานนี้ผูส้ ร้างได้สร้างขึ้นเพื่อเป็ นเทวดารักษา พุทธศาสนาหรื อพุทธศาสนสถาน ดังจะเห็นได้จากที่วดั อาฮาม ตั้งอยูห่ น้าอุโบสถ และที่ถ้ าติ่ง ตั้งอยู่หน้าถ้ าติ่ง ซึ่ งเป็ นที่ประดิษฐานพระพุทธรู ปเป็ นจา นวนมากและ ปั จจุบนั เป็ นสถานที่ ท่องเที่ยวที่สาคัญแห่งหนึ่งของเมืองหลวงพระบาง ในเมืองเวียงจันทน์น้ นั พบภาพประติมากรรมเกี่ยวกับพระลักพระลามเพียง 2 แห่ง คือภาพแกะสลักบานประตูและหน้าต่างสิ มวัดอูบมุง และภาพจา หลักปูนปั้ น ที่ประตูไซ ซึ่งภาพแกะสลักบานประตูและบานหน้าต่างสิ ม วัดอูบมุงนั้น เป็ นศิลปะ แบบพื้นบ้านที่สร้างขึ้น ใหม่พร้อมกับการบูรณะสิ มใหม่ ส่ วนภาพจา หลักปูนปั้ นที่เพดาน ประตูไซนั้น เป็ นฝี มือของ ช่ า งชั้น ครู เพราะมี ล วดลายที่ อ่ อนช้อยงดงาม โดยสร้ างขึ้ น เมื่ อ ปี พ.ศ. 2505 ในสมัย ราชอาณาจักรลาว จึ งน่ าจะเป็ นฝี มือของช่ างราชสา นักหรื อ ช่ างชั้นครู และมี การนา เรื่ อง รามเกียรติ์ซ่ ึ งมีความสัมพันธ์กบั ราชสา นักมาประดับไว้เพื่อ เป็ นสัญลักษณ์ของราชสา นักใน
อนุ สาวรี ยแ์ ห่ งความทรงจา นี้ ดว้ ย ในภาคอีสานของไทย ไม่ค่อยจะปรากฏรู ปประติมากรรม เกี่ยวกับพระลัก พระลามเหมือนจิตรกรรม จากการศึกษาพบเพียงประติมากรรมภาพจา หลักที่ ปราสาท หินพนมรุ ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ และที่ปราสาทประธาน ในปราสาทหิ นพิมาย โดยเป็ น เรื่ อง รามายณะที่เป็ นต้นเค้าของเรื่ องพระลักพระลาม
2. พระลักพระลามในนาฏศิลป์ นาฏศิลป์ ในสังคมลาวได้แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์เฉพาะของชาติลาว ถึงแม้อาจจะ ได้รับมาจากชาติอื่นในเบื้องต้นแต่กไ็ ด้มีการปรับเปลี่ยนให้เป็ นแบบฉบับที่ มีเอกลักษณ์ เฉพาะตน ซึ่งนาฏศิลป์ ของลาวนั้นถือได้วา่ เป็ นมรดกทางวัฒนธรรมที่สาคัญ อย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับราชสา นักหรื อชนชั้นสู งโดยตรง ถึงแม้ปัจจุบนั ระบบ กษัตริ ย ์ จะล่มสลายไปแล้ว แต่นาฏศิลป์ เหล่านี้ยงั คงถูกสื บทอดต่อมาในฐานะมรดกทาง วัฒนธรรมที่สาคัญของชาติ ในที่น้ ีจะกล่าวถึงนาฏศิลป์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่ องพระลัก พระลามในสังคมสองฝั่งโขง ได้แก่ โขนและฟ้อนนางแก้ว 2.1 โขน โขนเป็ นศิลปะการแสดงอย่างหนึ่งของลาวเรี ยกว่า “การฟ้ อนโขนพระลัก พระลาม” หรื อ “ละคร พระลักพระลาม” ถือได้ว่าเป็ นศิลปะการแสดงที่โดดเด่น ชนิดหนึ่งของ ลาวที่ ย งั สื บ ทอดมาจนถึ ง ปั จ จุ บัน โดยเฉพาะที่ เ มื อ งหลวงพระบาง ซึ่ งใน อดี ต เป็ น ศิลปะการแสดงที่รับใช้ราชสา นักถึงแม้ในปั จจุบนั ประเทศลาวจะไม่มีกษัตริ ยแ์ ล้ว แต่การฟ้ อน โขนพระลักพระลามนี้กถ็ ูกรื้ อฟื้ นนา กลับมารับใช้รัฐชาติในฐานะเป็ น กิจกรรมทางวัฒนธรรม เพื่อส่ งเสริ มการท่องเที่ยวสา หรับให้บริ การแก่นกั ท่องเที่ยว และแขกบ้านแขกเมืองกลุ่มต่างๆ ที่ ต้องการเสพศิลปวัฒนธรรมโบราณของลาว Hongsuwan, Pathom (2012 : 9) กล่าวว่า การแสดง โขนเรื่ องพระลักพระลาม ในวัฒนธรรมลาวนั้น มีหลักฐานชี้ให้เห็นว่าเป็ นนาฏศิลป์ ของราชสา นักหลวงพระบาง มาก่อนซึ่ งเคยแสดงมาแล้วเมื่อประมาณ 100 กว่าปี ที่ผ่านมา ซึ่ งเรี ยกกันว่า “ฟ้ อนโขน” โดยการใส่ หน้ากากแสดง เนื้ อหาของการฟ้ อนอิงตามโครงเรื่ องพระลักพระลาม ฉบับลาว มีการฟ้อนอยูใ่ นเขตเมืองหลวงพระบางมาตั้งแต่ ค.ศ. 1838 (พ.ศ. 2389) สมัยรัชกาลเจ้า สุ กเสริ มมาแล้ว แต่ในทัศนะของนักวิชาการลาวนั้นเชื่อว่าแบบฟ้ อนโขน พระลักพระลามนั้นได้
เริ่ ม มี ม าตั้ง แต่ ส มัย พระเจ้า ฟ้ า งุ่ ม โดยพระองค์ไ ด้น า เอาแบบฟ้ อ นนี้ ตลอดจนรู ป แบบ ศิลปวัฒนธรรมอื่นๆ จากเขมรมาประยุกต์ปรับปรุ งให้เป็ นรู ปแบบ ศิลปวัฒนธรรมเฉพาะที่หลวง พระบาง เมืองหลวงของอาณาจักรลาว (Khamphasit, Saiphet & Khattiyarat, Maniwong., 2002 : 1) นอกจากนั้นก็ได้รับจาก ราชสา นักไทยโดยปรากฏชัดเจนที่สุดในสมัยเจ้าอนุวงศ์ต้ งั แต่ครั้งถูก นา ตัวมาเป็ น องค์ประกันที่ราชสา นักไทยและได้เรี ยนรู ้ขนบธรรมเนี ยมตลอดจนดนตรี การ ละครในราชสา นักไทยเป็ นอย่างดี (Pikulsri, Chalermsak., 2008 : 130) ทั้งนี้การฟ้ อนโขน พระ ลักพระลามนี้มีความสัมพันธ์กบั กษัตริ ยแ์ ละราชสานัก หลวงพระบาง อยูเ่ คียงคู่ อยูก่ บั ราชธานี หลวงพระบางมาทุ ก ยุ ค สมัย โดยเฉพาะในยุ ค อาณานิ ค มและยุ ค ราชอาณาจัก รเป็ น ศิลปะการแสดงที่ โดดเด่นมากจนถูกเรี ยกว่าเป็ นศิลปะแห่ งราชสานัก Singyabuth, Supachai (2010) : 170-172) ยังได้กล่าวถึง การแสดงฟ้ อนโขนพระลักพระลามว่า เป็ นราชศิลปะคู่ราช บัลลังก์หลวงพระบาง จัดแสดง ปี ละครั้งคือในช่ วงบุ ญปี ใหม่ แสดงในวันสังขานขึ้น เป็ น มหรสพในงานพระราชทาน เลี้ยงแก่ราชอาคันตุกะและเจ้านายชั้นสู งที่มาร่ วมพิธีบายศรี เจ้ามหา ชีวิตที่พระราชวัง และการแสดงในคืนวันสรงน้ าพระบางบริ เวณลานข้างพระอุโบสถวัดใหม่ สุ วรรณภูมาราม เพื่อเปิ ดโอกาสให้ประชาชนทัว่ ไปได้ชมศิลปะการแสดงแห่ งราชสา นัก ครั้น เปลี่ยนแปลง การปกครอง การแสดงดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไป และได้ถูกเรี ยกกลับขึ้นมาอีกครั้ง โดยรัฐได้ให้ความหมายต่อการแสดงชุดนี้วา่ “เป็ นมรดกวัฒนธรรมของชาติ” นอกจากนี้ ในปั จจุบนั การฟ้ อนโขนพระลักพระลามยังเป็ นส่ วนหนึ่ งของขบวน นางแก้วที่เข้าร่ วมขบวนแห่ วอในงานบุญปี ใหม่หรื อบุญสงกรานต์ของเมืองหลวงพระบาง ทุกปี ส่ วนการแสดงโขนพระลักพระลามในเมืองเวียงจันทน์น้ นั ไม่โดดเด่นเหมือน ในเมืองหลวงพระ บางและในปั จจุบนั การแสดงฟ้ อนพระลักพระลามในเวียงจันทน์ ที่มีการแสดงเป็ นประจา นั้น ไม่มี เพราะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักทางวัฒนธรรมเหมือน หลวงพระบาง จึงมีการแสดงเฉพาะ กิจเฉพาะกรณี ที่เป็ นทางการ ต้อนรับแขกบ้าน แขกเมือง บางครั้งก็มีการนา ไปแสดงต่างประเทศ ทั้งไทย อินโดนีเซีย กัมพูชา จีน อินเดีย ยุโรปและอเมริ กา เป็ นต้น
3. พระลักพระลามในมหรสพ ศิลปะการแสดงของสองฝั่ งโขงนั้น จัดเป็ นมหรสพสาคัญที่เป็ นที่ นิยม ชมชอบ มาแต่โบราณกาล ซึ่งการแสดงพื้นบ้านที่เป็ นมหรสพของลาวนี้จะมีลกั ษณะการ ผสมกัน ของศิลปะการแสดงที่ได้ใช้ศิลปะพื้นเมืองทั้งการฟ้ อน การขับลา และการเสพ ดนตรี ไปพร้อมๆ กัน และยังเป็ นกระบวนการสร้างความสามัคคีของคนในสังคม ซึ่งการ นา มหรสพมาแสดงนั้น มีท้ งั การแสดงตามพิธีกรรมความเชื่ อ ฮีตคองประเพณี และ โดยเฉพาะเพื่อเสพงันในงานบุญต่างๆ เพื่อความสนุกสนานรื่ นเริ ง มหรสพที่จะนา เสนอ ในที่น้ ีมีความเกี่ยวข้องกับเรื่ องพระลักพระลาม มหรสพ บางประเภทในอดีตเคยเล่นเรื่ อง พระลักพระลามแล้วเลิกไปและในปั จจุบนั ได้นากลับมา เล่นใหม่ บางประเภทยังคงเล่น เรื่ องพระลักพระลามอยู่แต่เริ่ มจะลดน้อยลงทุกที มหรสพที่แสดงเกี่ยวกับเรื่ องพระลัก พระลามที่วา่ นี้ ได้แก่ หนังประโมทัยและหมอลา 3.1 หนังประโมทัย หนัง ประโมทัย หรื อ หนัง ตะลุ ง ในประเทศลาวนั้น ค า แพง เกดตะวง (Kettawong, Kampaeng., 2014 : Interviewers) รองผูอ้ า นวยการสถาบันค้นคว้า วิทยาศาสตร์ สังคม สปป.ลาว กล่าวว่า หนังประโมทัยหรื อหนังตะลุงในประเทศลาว ส่ วนมากจะรู ้จกั กันใน ชื่ อ “หนังบักตื้อ” และพบเฉพาะบริ เวณตอนใต้ของลาว โดยเฉพาะแขวงจา ปาสักและแขวง สะหวันนะเขต โดยนิยมเล่นเรื่ องพระลักพระลาม สิ นไซ สุ ริวงศ์ การะเกด เป็ นต้น ทั้งนี้ คาแพง เกดตะวง สันนิษฐานว่า หนังบักตื้อ ที่อยูใ่ นลาวนั้นน่าจะมาจากบริ เวณจังหวัดอุบลราชธานีของ ไทยแล้วเข้าสู่ จา ปาสัก แล้วขึ้นมาถึง สะหวันนะเขตเท่ านั้น ส่ วน อาทิดอุไท จะตุพอนไซ (Jatuponchai, Athituthai., 2014 : Interviewers) อาจารย์สาขาวรรณคดี มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว กล่าวเพิ่มเติม ว่า บางครั้งมีการนา มาแสดงถึงเวียงจันทน์ดว้ ย ส่ วนในภาคเหนือมีเฉพาะหุ่ นอี ป๊ อก ผูว้ ิจยั สันนิษฐานว่าสาเหตุที่หนังบักตื้อเป็ นที่นิยมในบริ เวณแขวงสะหวันนะเขตถึง แขวง จา ปาสัก (ในเขตพื้นที่ราบ) เป็ นส่ วนมากนั้น ทั้งนี้อาจเป็ นเพราะบริ เวณแถบนี้ มีอาณาเขตติดกับ ภาคอีสานของไทยที่เป็ นแหล่งกา เนิดหนังตะลุงอีสาน อีกทั้งมี ประชากรส่ วนใหญ่เป็ นชาวลาว ลุ่มหรื อเป็ นกลุ่มชาติพนั ธุ์ลาว มีวิถีวฒั นธรรมและ การไปมาหาสู่ กบั ภาคอีสานของไทยเป็ น ประจ าจึ ง ทา ให้ห นัง ตะลุ ง แพร่ ก ระจายอยู่ใ น แถบนี้ เป็ นส่ ว นมาก ต่ า งจากแขวงอื่ น ที่ มี
หลากหลายกลุ่ ม ชาติ พนั ธุ์ เช่ น เดี ยวกับที่ ห นัง ประโมทัย ในภาคอี ส านที่ ไ ม่ แ พร่ ห ลายในเขต บริ เวณแถบจังหวัดอีสานใต้ของไทย ซึ่งส่ วนมากเป็ นกลุ่มชาติพนั ธุ์เขมรและกูย ส่ วนหนังประโมทัยหรื อหนังตะลุงในภาคอีสานนั้น บ้างก็เรี ยกว่า “หนัง บักป่ อง” “หนังบักตื้อ” “หนังปลัดตื้อ” หรื อ “หนังบักสี บกั แก้ว” โดยหนังประโมทัยนี้ ได้ทา หน้าที่ให้ความบันเทิงใจแก่ชาวอีสานมาเนิ่ นนาน หนังประโมทัยของภาคอีสาน ถือได้ว่าเป็ น การละเล่นที่เป็ นมหรสพที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของคนอีสานรองจากหมอลา และเรื่ องที่หนังประ โมทัย นิ ย มน า มาแสดงตั้ง แต่ เ ดิ ม คื อ รามเกี ย รติ์ ต่ อ มาหนัง ประโมทัย บางคณะจึ ง ได้น า วรรณกรรมพื้นบ้านมาแสดง เช่น สิ นไซ จา ปาสี่ ตน้ การะเกด เป็ นต้น บางคณะมีการแต่งเรื่ อง ใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย (Dejpimol, Chumdej et al., 2011 : 2) และนอกจากมีการสร้างตัวหนังใน เนื้อเรื่ องรามเกียรติ์แล้ว ยังมีการสร้างตัวหนังพื้นบ้าน เพิ่มขึ้นมาด้วย เช่น ปลัดตื้อ บักป่ อง บัก แก้ว บักสี เป็ นต้น โดยมักแสดงเป็ นทหารเอก ของพระลักพระลามและทศกัณฐ์ หรื อทหารของ ตัวละครเอก ซึ่งตัวหนังพื้นบ้านเหล่านี้ แสดงให้เห็นการผสมผสานของวัฒนธรรมหนังตะลุงกับ รสนิ ยมพื้นถิ่นจนกลายเป็ น หนังประโมทัยหรื อหนังตะลุงอีสานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะพื้นบ้าน อีสาน นอกเหนือจาก การใช้ภาษาอีสานในบทสนทนา และบทร้องบทรา
วิเคราะห์ วรรณกรรมเรื่ องพระลักพระลาม เรื่ องพระลักพระรามนี้แพร่ หลายน้อยกว่าวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานอื่นๆ แต่เป็ น เรื่ องที่มีลกั ษณะโดดเด่นหลายประการ จึงหยิบยกมาเป็ นตัวอย่างในการวิเคราะห์ครั้งนี้ คือพบ ต้นฉบับในภาคอีสานมีอยู่ ๒ สานวน คือสานวนที่เป็ นร้อยแก้วและสานวนที่ประพันธ์เป็ น โครงสาร ฉบับสานวนร้อยแก้วนั้นมีความยาวมาก และเนื้อเรื่ องถูกปรับปรุ งให้เป็ นเรื่ องราวที่ เกิดขึ้นบริ เวณลุ่มน้ าโขง อธิ บายเชิ งตานานเกี่ยวกับสถานที่ ชื่ อบ้านนามเมืองแถบแม่น้ าโขง คือภาคอีสานและล้านช้าง นอกจากนี้ยงั ดาเนินเรื่ องตามแนวของชาดกและกล่าวว่าพระลามคือ พระโพธิสัตว์ชาติหนึ่ง ที่ตอ้ งมาเกิดใช้หนี้และปราบปรามอธรรม
ส่ วนฉบับสานวนโครงสารที่จะนามาวิเคราะห์ มีการปรับปรุ งเนื้อเรื่ องให้ต่างไป จากรามเกี ย รติ์ ฉบับภาคกลางอย่างมาก และมี แนวโน้ม จะใกล้เคี ย งกับเรื่ อง “พรหมจักร” (รามเกียรติ์ฉบับภาคเหนือ) แต่ชื่อบ้านชื่อเมืองก็ปรับให้เข้ากับดินแดนลุ่มแม่น้ าโขง เช่น พระ ลามครองเมืองศรี สัตนาถ เป็ นต้น นอกจากนี้ยงั พบว่าในภาคอีสานยังมีวรรณกรรมพื้นบ้านที่มี เนื้ อเรื่ องคล้ายคลึงกับพระลักพระลามอีก คือเรื่ องหัวละมาน (หนุมาน) และเรื่ องพระกึดพระ พาน (เนื้ อเรื่ องตอนต้นเป็ นเรื่ อง อุณรุ ท ตอนปลายเป็ นเรื่ องรามเกียรติ์) แต่ส่วนที่เป็ นโครง เรื่ องย่อยนั้นแตกต่างกันมาก แสดงให้เห็นความอิสระของกวีพ้นื บ้านอีสานที่ปรับปรุ งแก้ไขเนื้อ เรื่ องเดิม (รามยณะ ฉบับอินเดีย) ให้เข้ากับทัศนะและภูมิสถานของชาวอีสาน หากพิ จ ารณาเรื่ อ งรามเกี ย รติ์ ฉบับ ภาคเหนื อ พบว่ า มี ก ารปรั บ เปลี่ ย นเรื่ อ ง รามเกียรติ์มาเป็ นวรรณกรรมพื้นบ้านภาคเหนื อเช่นเดียวกัน นั้นคือภาคเหนือมีเรื่ องคล้ายๆ กัน อยู่ ๓ เรื่ อง คือ เรื่ องพราหมจักร (พรหมจักร – พระราม, พระยาวิโรหาราช – ทศกัณฐ์ ) เรื่ อง หอรมานชาดก (พระราม – พระราม – ราพณาสู ร ทศกัณฐ์ ) และเรื่ องอุสาบารส วรรณกรรม พื้ น บ้า นภาคเหนื อ ทั้ง สามเรื่ อ งข้า งต้น นี้ ประพัน ธ์ เ ป็ นแนวชาดกทั้ง สิ้ น ซึ่ งเมื่ อ เที ย มกับ วรรณกรรมพื้นบ้านอีสานทั้งสามเรื่ องดังกล่าว พบว่าประพันธ์เป็ นแนวชาดกเรื่ องพระลักพระ ลาม ฉบับสานวนร้อยแก้ว ส่ วนพระลักพระลามฉบับสานวนโคลงสารกล่าวว่าพระโพธิ สัตว์มา เกิ ดใช้ชาติ เป็ นพระลาม แต่ มิได้ดาเนิ นเรื่ องตามแนวชาดกอย่างเคร่ งครั ดนัก ส่ วนเรื่ องหัว ละมาน ก็เช่นเดียวกัน แต่เรื่ องพระกึดพระพาน (พระกฤษณ พระพาน) ดาเนินเรื่ องตามแนว ชาดก อีกประการหนึ่ งเรื่ องพระลักพระลามฉบับโครงสารนี้ มีโครงเรื่ องย่อยต่างไป จากเรื่ อ งรามเกี ย รติ์ มาก และส านวนโวหารเด่ น มาก จึ ง ได้น ามาวิเ คราะห์ เ พื่ อ ให้เ ห็ น การ ปรับปรุ งวรรณกรรณของกวีพ้ืนบ้านและเห็ นการแพร่ กระจายของเรื่ องรามายณะในท้องถิ่ น ต่างๆ ของไทยอีกด้วย ต้นฉบับ พระอริ ยานุวตั ร (อารี ย ์ เขมจารี ) วัดมหาชัย อ.เมือง จ.มหาสารคาม ได้ถอดจากต้นฉบับใบลานอักษรไทยน้อย มูลนิธิเสถียรโกเศศ – นาคะประทีป จัดพิมพ์เผยแพร่
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ ความยาว ๑๓๓ หน้า ตามคานากล่าวว่าได้ตน้ ฉบับมาจากวัดเหนือ อ.เมือง จ.สกลนคร
วิเคราะห์ เนื้อเรื่ อง ชื่อเรื่ อง พระลัก-พระลาม เป็ นชื่อของตัวละครเอก ดัดแปลงมาจากวรรณคดีไทย เรื่ องรามเกียรติ์
แก่ นเรื่ อง โครงเรื่ อง (เล่าตามลาดับเหตุการณ์)
การเปิ ดเรื่ อง กล่าวถึงท้าวฮาบมะนาสวนครองเมืองลังกาที่เต็มไปด้วยปราสาทราชวัง
การดาเนินเรื่ อง - ท้าวฮาบมะนาสวนลักลอบเข้าห้องนางสุ ชาดา - นางสุ ชาดาไปเกิดเป็ นนางสี ดาจันทะแจ่ม - พระรัสสี เก็บนางสี ดาไปเลี้ยง - ท้าวฮาบมะนาสวนและพระรามได้ข่าวนางสี ดา ท้าวฮาบมะนาสวนอยาก ได้นางสี ดา - ท้าวฮาบมะนาสวนและพระลามยกคันธนู พระลามยกคันธนูข้ ึนจึงได้นาง สี ดาจันทะแจ่มไปครอง - ท้าวฮาบมะนาสวนลักนางสี ดา - พระลักพระรามออกตามหานางสี ดา
- พระลามกินผลมณี โคตรกลายเป็ นลิงไปสมสู่ กบั นางลิงจนได้บุตรเป็ นหุ ล ละมาน พระลามกลายเป็ นลิงอยูส่ ามปี และได้กินมณี โคตรกิ่งที่อยูท่ างทิศตะวันออกจึงกลายเป็ น คนเหมือนเดิม - หุลละมานได้รับคาสั่งให้ออกตามหาแม่สีดาจันทะแจ่ม และสู ้กบั ท้าวฮาบ มะนาสวน - พระลามออกรบต้องหอกโมกขศักดิ์ หุลละมานจึงไปหายามารักษาจนหาย - ท้าวฮาบมะนาสวนก็ถูกศรพระลามตายจนในที่สุดพระลามก็ได้นางสี ดา จันทแจ่มคืนและเดินทางกลับกรุ งสัตนาค - สี ดาจันทแจ่มได้วาดภาพพญาฮาบมะนาสวนให้นางสนมดูเมื่อพระลามมา พบโกรธมาก นานางสี ดาจันทแจ่มไปประหารชีวติ
การปิ ดเรื่ อง - พระลักเอาพี่สะใภ้ไปฝากไว้กบั พระรัสสี จนนางคลอดลูก เมื่อลูกชายโตจึง เข้าไปเมืองสัตนาค และเกิดต่อสู ้กบั หุ ลละมาน เมื่อพระลามมาเจอสอบถามว่าเป็ นลูกชายตนเอง ต่อจากนั้นได้เชิญนางสี ดาจันทแจ่มเข้าเมืองกรุ งสัตนาคและอยูด่ ว้ ยความสุ ขสื บมา
https://web.facebook.com/452698484893743/posts/474191216077803/?_rdc=1&_rdr
ตัวละคร ตัวละครหลัก - พระลาม (พระราม) ครองเมืองสัตนาค - พระลัก (พระลักษณ์) พระอนุ ชา ของพระราม
ที่มา:http://supak-supak.blogspot.com/2017/04/blog-post.html
- นางสี ดาจันทะแจ่ม (สี ดา) ธิดาของท้าวฮาบมะนาสวน
ที่มา:http://supak-supak.blogspot.com/2017/04/blog-post.html
- ท้าวฮาบมะนาสวน (ทศกัณฑ์) ครองเมืองลังกา
ที่มา:http://supak-supak.blogspot.com/2017/04/blog-post.html
ตัวละครรอง - หุลละมาน (หนุมาน) ลูกของนางแพงศรี กบั ลิงพระลาม
ที่มา : https://www.google.com/search?q=
- พระรัสสี (พระฤาษี) ผูท้ ี่เลี้ยงดูสีดาจันทะแจ่มจนเติบใหญ่
ที่มา : https://www.google.com/search?q=
- พระอินทร์
ที่มา : https://www.google.com/search?q=
- นางสุ ชาดา มเหสี ของพระอินทร์ ต่อมาเกิดเป็ นนางสี ดา - ทัวระพี (ทรพี) - พะลีจนั ทร์ - นางจันทะแจ่มอินทา - สังคีป - นางมัสสา (นางมัจฉา) - ท้าวอุทา (มัจฉานุ) - ท้าวโมขะสัก - พระยาครุ ฑ - ท้าวเสตถะราช
ฉาก/สถานที่ ฉากหลัก : ฉากในป่ า เป็ นฉากที่กล่าวถึงมากที่สุด เช่น
https://web.facebook.com/452698484893743/posts/474191216077803/?_rdc=1&_rdr
- พระลักพระรามเดินป่ าออกตามหานางสี ดา - นางสี ดาจันทะแจ่มถูกนาไปทิ้งในป่ าหิมพานต - พระลามกลายเป็ นลิงวิง่ เข้าป่ า เป็ นต้น
ฉากรอง : ยกตัวอย่าง เช่น
- ฉากจองถนนข้ามสมุทรไปยังเมืองลังกา - ฉากเมืองลังกา - ฉากเมืองศรี สัตนาค
การใช้ ภาษา หนังสื อพระลักพระราม (รามเกียรติ์) ฉบับพระยาอริ ยานุ วตั ร เขมจารี เถระ นี้ ผูช้ าระ ตรวจทานยังรักษาลักษณะการประพันธ์ตามลักษณะภาษาไทยน้อยอยู่บา้ ง คือใช้คาสั้นๆ เช่ น พระลักพระลาม ไม่ได้แผลงมาเป็ นปัจจุบนั เท่าใดนัก แม้ขอ้ ความในเรื่ องจะยังเห็นสะกดการันต์ บางศัพท์ สาเหตุที่ผูป้ ระพันธ์ยงั คงใช้ภาษาไทยน้อยไว้ก็เพื่อจะได้ช่วยรักษาภาษาหรื อคาพูดที่ เก่าแก่ไว้ จึงยังคงลักษณะอักษรศัพท์บางศัพท์ไว้ ไม่ให้สูญหายไป
ความโดดเด่ น พระลักพระลามฉบับร้อ ยแก้วของพระอริ ยานุวตั ร โครงเรื่ อง อาจจะนามาจากเรื่ องรา มายณะจริ งแต่มีการแก้ไขปรับปรุ งอย่างมากจนเกือบจะไม่คงเนื้ อความเดิมเลยโดยเฉพาะฉาก ท้อง เรื่ องกวีได้สร้างขึ้นในดินแดนลุ่มน้ าโขงนี้เองและได้นาเนื้อเรื่ องมาสัมพันธ์กบั ชื่อบ้านนาม เมืองในดินแดนแถบลุ่มน้ าโขงนี้เป็ นลักษณะตานานชื่อบ้านนามเมือง กล่าวคือชื่อบ้านนามเมือง เหล่านี้เกิดจากพระลักพระลามแล้วใช้เรี ยกชื่อมาจนถึงทุกวันนี้ฉะนั้นแสดงว่ากวีได้รับโครงเรื่ อง
มาผสมผสานกับความเชื่อเรื่ องชื่ อบ้านนามเมืองในดินแดนลุ่มแม่น้ าโขงสร้างเป็ นพระลักพระ ลามขึ้นมา โดยผูแ้ ต่งได้มีการสร้างสรรค์โดยการต่อเติมดัดแปลงด้วยกลวิธีตามรสนิยมเฉพาะถิ่น มีการสอดแทรกคติความเชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิตที่มีความสัมพันธ์อยูก่ บั ธรรมชาติ และมีการใช้ฉาก สถานที่มีอยูจ่ ริ งในท้องถิ่นผสมผสานกับสถานที่ในจินตนาการอย่างลงตัว
ลักษณะคาประพันธ์ เรื่ องพระลัก -พระลาม แต่งด้วยคาประพันธ์ประเภทกลอนอ่ าน เรี ยกอีกอย่างหนึ่ งว่า กลอนเทศน์ หรื อกลอนสวด ซึ่ งเป็ นการนาเอาคากลอนมาแต่งเป็ นเรื่ องยาวๆ สาหรับอ่านสู่ กนั ฟั ง หรื อใช้แต่งวรรณกรรมเรื่ องยาวสาหรับเทศน์ สวด หรื อเพื่อเป็ นคติสอนใจ และเพื่อความ บันเทิง กลอนอ่านในเรื่ องพระลัก-พระลามนี้ เป็ นกลอนอ่านอักษรสังวาส ลักษณะคาประพันธ์ ประเภทกลอนอ่านสังวาส ที่ปรากฏให้เรื่ องพระลัก-พระลาม มีลกั ษณะดังนี้คือ 1. กลอนอ่านแบ่งเป็ นบท บทหนึ่ งมี ๒ วรรค วรรคหนึ่ งประกอบด้วยจานวนคาตั้งแต่ ๗๑๐ คา บทในกลอนอ่านมี ๒ ชนิด ได้แก่ บทเอก และ บทโท บทเอก บทหนึ่ งมี ๒ วรรค มี เสี ยงเอกกากับ ๓ ตาแหน่ ง เสี ยงโท ๒ ตาแหน่ ง เสี ยงเอกจะปรากฏในคาที่ ๒,๔ ในวรรคที่ ๑ และคาที่ ๔ ในวรรคที่ ๒ เสี ยงเอกอาจใช้คา ตายแทนได้ เสี ยงโท จะปรากฏในคาที่ ๓ วรรคที่ ๑ และคาที่ ๗ วรรคที่ ๒ ตาแหน่ง เอก โทบางครั้งก็ไม่ตายตัว อาจจะเลื่อนไปอยูใ่ นตาแหน่งถัดไปได้ ตัวอย่างบทเอก “บัดนี้ จักก่าวถึงผู ้ มันก็ทงกาลังแฮง
ผ่านพื้นพญาใหญ่ทวั ระพี ก่อนแล้ว เกิ่งสารแสนช้าง
บทโท หมายถึ ง บทที่ มี ว รรณยุ ก ต์โ ทก ากับ ๓ ต าแหน่ ง วรรณยุ ก ต์เ อก ๓ ตาแหน่งเท่ากัน แต่ระดับเสี ยงโทจะขึ้นก่อน เสี ยงเอกจะปรากฏในคาที่ ๓ วรรคที่ ๑ และ คาที่ ๓,๕ ในวรรคที่ ๒
ตัวอย่างบทโท “บัดนี้ กูหากมาตอพอยแท้ แม่หากมาบ่เลี้ยง
ฅนเดียวพัดพ่อ กูแล้ว บายกิ้มทอดเสี ย นี้เค
กลอนอ่าน อาจมีคาเสริ ม คาสร้อยได้อีกวรรคละ ๒-๔ คา คาเสริ ม เป็ นคาที่เสริ มหน้าวรรค เพื่อให้ได้ความหมายชัดเจน เช่น อัน ว่า,แต่น้ นั ,เมื่อนั้น,โอนอ เป็ นต้น “แต่น้ นั สาวก็แผๆ ด้านคาเสน่ ห์สวยเสี ยด” “บัดนี้ เฮาก็จะเจรจาต้านคาดูก่อน” คาสร้อย เป็ นคาที่เสริ มเข้ามาในตอนท้ายวรรค เช่ นคาว่า นี้ เด,แท้แล้ว ,พุน้ เยอ,แท้นอ เป็ นต้น “มาบ่กูณาโผดผายตัวข้อย นี้ เด” “เขาก็มาชมชื่นเฝ้ามาท้าวแก ว่างวี แท้แล้ว” การเขียนวางรู ปคาสาหรับกลอนอ่านในวรรคหนึ่งๆ นั้น อาจแบ่งเป็ นตอน หน้า ๓ คา หลัง ๔คา ดังแสดงแล้วในผังข้างต้น หรื ออาจเขียนติดต่อเป็ นวรรคเดียวก็ได้ ใน เรื่ องพระลัก-พระลาม จะเขียนติดต่อเป็ นวรรคเดียวกัน ไม่มีการแบ่งคา เช่น บัดนี้ จักได้เล่าพากพื้นกาลก่นปฐม ก่อนแล้ว ตั้งพากเป็ นนิ ทานแต่กาล ปฐมเค้า ปางก่อนพุน้ พญาฮาบมะนาสวน พระก็ทรงลักกาเกิ่งเมืองสวรค์เมืองฟ้า นักสนม ล้นบริ วารอนันต์เนก นับโคบฝาลายต้อง ฮองๆ เหลื้อมเสาร์สูงผาสารท กลอนอาจไม่มีการส่ งสัมผัสระหว่างวรรค หรื อระหว่างบท จะอาศัยจังหวะใน การเป็ นสาคัญเช่น แต่น้ นั เตโชแก้วหุลละมานแถลงก่าว ข้านี้จะทูตให้พระลาม เจ้าแต่งมา พระเอย พระก็เคืองพระทัยด้วยเทวีนางนาถ พระก็ไปขาบไหว้รัสสี เจ้าปูกแปง พระลามก็เอานางแก้วสี ดายัวระยาด ฮอดเขตด้าวดงกว้างฮึบเซา
คาสุ ดท้ายของวรรคที่ ๑,๒,๓ได้ได้ส่งสัมผัสไปยังคาที่๑,๒,หรื อ ๓ใน วรรคที่ ๑,๓,และ ๔เรื่ องพระลัก -พระลาม จะไม่ มี การสัม ผัส ระหว่า งบทหรื อสั มผัส ระหว่างวรรคเลย ว่า-พระยาวิโรหาราช สุ ครี พ – พระยากาสี พาลี - พระยากาวินทะ หนุ มาน- หอรมาน ฯลฯ ส่ วนโครงเรื่ องนั้นคล้าย คือพระยาวิโรหาราชไปเป็ นชูก้ บั นางสุ ธัม มา มเหสี ของพระอินทร์เช่ นเดียวกัน มีบางส่ วนต่างกัน เช่น หนุ มานเป็ นลูกของพระยา กาวินทะกับนางวานร ไม่ใช่ เป็ นลูกพระรามเหมือนฉบับอีสาน และยังมีส่วนปลีกย่อย แตกต่างกันอีกบ้าง ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่ากวีพ้ืนบ้านของไทยทั้งภาคเหนื อ อีสานต่างก็มี อิสระในการปรับเปลี่ยนโครงเรื่ องวรรณกรรมเรื่ อง รามายณะตามทัศนะของตน ซึ่ งเป็ น เรื่ องที่น่าสนใจมาก
สานวนโวหาร สานวนโวหารในเรื่ องพระลักพระลามนับว่าเป็ นสานวนที่ดีเด่ นเรื่ องหนึ่ งของ วรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน แม้วา่ จะไม่แพร่ หลายเหมือนวรรณกรรมนิทานเรื่ องอื่นๆ เช่น สิ นไซ กาละเกด จาปาสี่ ตน้ นางผมหอม ก็ตาม การดาเนินเรื่ องตามแนวนิทาน นัน่ คือเล่าตามลาดับเหตุการณ์ และบางครั้งมีการ เปลี่ยนฉากสถานที่และเหตุการณ์กแ็ จ้งไว้ชดั เจน สานวนโวหารโดยทัว่ ไปกวีจะเน้นเรื่ อง อรรถรสไม่นอ้ ยยังจะยกตัวอย่างต่อไป พรรณนาฉาก กวีได้พรรณนาฉากสถานที่ ชมดงพงพี โดยกล่าวถึงชื่อไม้ สัตว์ นก ตามจินตนาการของกวี เพื่อให้เกิดภาพพจน์และเป็ นการเปลี่ยนบรรยากาศใน เรื่ องดาเนิ นเรื่ อง นอกจากนี้ กวียงั ได้ชมความงามสตรี อันเป็ นความงามในอุดมคติของ ชาวอีสานในสมัยอดีต ที่เห็นว่าสตรี งามนั้นน่าจะต้องมีรูปลักษณ์ เช่นนางสี ดาจันทะแจ่ม พรรณนาความงามของดวงดาว ในเรื่ อ งพระลัก พระลาม พบส านวน พรรณนาที่ แ ตกต่ า งไปจากวรรณกรรมพื้ น บ้า นเรื่ อ งอื่ น ๆของอี ส าน นั่น คื อ มี ก าร พรรณนากลุ่มดาวต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากวีมีความรู ้เรื่ องกลุ่มดาว และดาวนักษัตร
การนาไปประยุกต์ ใช้ เรื่ องพระรามชาดกนั้น ถือเป็ นการปรับความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ฮินดูให้กลายเป็ น ส่ วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา ส่ วนใหญ่นิยมใช้เทศน์ในงาน “เฮือนดี” หรื องานศพ การเล่าเรื่ อง ของพระรามชาดก อธิ บายถึงการถือกาเนิ ดและการเกิดอีกครั้งของพระลาม พระลัก และท้าว ราพณาศวร ซึ่ งถือเป็ นการม้วนชาดกตามแบบฉบับของนิ ทานอีสานและกวีลาว ส่ วนบางพื้นที่ ในภาคอีสานก็มีการนาพระลักพระลาม มาดัดแปลงเป็ นการแสดงมหรสพที่เรี ยกว่า “หนังบัก ตื้อ”
ที่มา:http://supak-supak.blogspot.com/2017/04/blog-post.html
อ้างอิง กิ ต ติ ศกั ดิ์ มั่น คง. (2560). วรรณกรรมท้อ งถิ่ น เรื่ อง พระลัก พระลาม. สื บค้น เมื่ อ 23 มกราคม 2564. จาก: http://supak-supak.blogspot.com/2017/04/blog-post.html ศิลปะลายไทยโบราณเรื่ องเล่า. (2558). พระลักพระลาม. สื บค้นเมื่อ 23 มกราคม 2564. จาก:https://web.facebook.com/452698484893743/posts/474191216077803/?_r dc=1&_rdr