Data Loading...
วรรณกรรมสมัยสุโขทัย Flipbook PDF
ประวัติความเป็นมาของวรรณกรรมสมัยสุโขทัย วรรณคดีสมัยสุโขทัยที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน -ศิลาจารึก พ่อขุนรามคำแหง -ไตรภูมิพระร่
122 Views
83 Downloads
FLIP PDF 1.56MB
วรรณกรรม สมัยสุโขทัย
คำนำ รายงานฉบับนี้เป็ นส่ วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างสรรค์ดา้ นภาษาและ วัฒนธรรมเพื่อการเผยแพร่ ซึ่ งมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับงานวรรณกรรมไทยในสมัย สุ โขทัย และวิเคราะห์วรรณกรรมไทย เรื่ อง ศิลาจารึ กหลักที่ ๑ หรื อจารึ กของพ่อขุนรามคาแหง มหาราช สุ ภาษิตพระร่ วง เตภูมิกถา หรื อ ไตรภูมิพระร่ วง นางนพมาศ หรื อตารับท้าวศรี จุฬา ลักษณ์ ข้าพเจ้าหวังเป็ นอย่างยิง่ ว่าเนื้อหารายงานฉบับนี้ ที่ได้เรี ยบเรี ยงมาจะเป็ นประโยชน์ต่อผูท้ ี่ สนใจเป็ นอย่างดี หากมีสิ่งใดในรายงานฉบับนี้จะต้องปรับปรุ ง ข้าพเจ้าขอน้อมรับในข้อชี้แนะ และจะนาไปแก้ไขหรื อพัฒนาให้ถูกต้องสมบูรณ์ต่อไป
นางสาวโสริ ยา พิมพา 22 มกราคม 2564
สารบัญ
เรื่ อง
หน้ ำ
วรรณกรรมไทย
๑
วรรณกรรมไทยยุคสุ โขทัย
๒
ศิลาจารึ กหลักที่ ๑ (พ่อขุนรามคาแหง)
๔
ไตรภูมิพระร่ วง
๑๓
สุ ภาษิตพระร่ วง
๒๐
นางนพมาศหรื อตารับท้าวศรี จุฬาลักษณ์
๒๔
บรรณานุกรม
๒๗
วรรณกรรมไทย คาว่า “วรรณกรรม” มี ความหมายตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า “Literature Works” หรื อ General Literature” และการใช้ค าว่ า “วรรณกรรม” มี ปรากฏขึ้ นครั้ งแรกในพระราชบัญญัติ คุม้ ครองศิลปะและวรรณกรรม พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยให้คานิยามว่า “วรรณกรรมและศิลปกรรม” “วรรณกรรมและศิลปกรรม” หมายความว่า การทาขึ้นทุกชนิ ดในแผนกวรรณคดี แผนก วิ ทยาศาสตร์ แผนกศิ ล ปะ จะแสดงออกมาโดยวิธี ห รื อรู ปร่ างอย่างใดก็ต าม เช่ น สมุ ด หรื อ หนังสื ออื่น ๆ เช่น ปาฐกถา เทศนา หรื อวรรณกรรมอื่น ๆ อันมีลกั ษณะเช่นเดียวกัน หรื อ นาฏกี ยกรรม หรื อนาฏกี ย-ดนตรี กรรม หรื อแบบฟ้ อนราและการเล่นแสดงให้ผคู ้ นดู โดยวิธีใบ้ ซึ่ งการแสดงนั้นได้กาหนดไว้เป็ นหนังสื ออย่างอื่น ๆ คาว่า “วรรณกรรม” ก็ได้นิยมใช้กนั แพร่ หลายมาตามลาดับและสมัยรัฐจอมพล ป.พิบูล สงคราม ได้จดั ตั้งสานักวัฒนธรรมทางวรรณกรรมรวมอยู่ในกระทรวงวัฒนธรรมแห่ งชาติเมื่ อ พ.ศ. ๒๔๘๕ มี ห น้า ที่ เ ผยแพร่ วรรณกรรมและส่ ง เสริ ม ศิ ล ปะการแต่ ง หนัง สื อ เพื่ อ รั ก ษา วัฒนธรรมไทยอย่างเป็ นทางการ สื บเนื่องต่อจากวรรณคดีสโมสรในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ ๖
๑
วรรณกรรมไทยในสมัยสุ โขทัย ประวัติศำสตร์ สมัยสุ โขทัย อาณาจักรสุ โขทัยมัน่ คงเป็ นปึ กแผ่น หลังจากที่เข้ามามีอานาจเหนื อขอมได้เมื่ อ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ โดยพ่อขุนบาง กลางหาวเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ได้รวม กาลังกันยกกองทัพมาตี เมื องสุ โ ขทัย ซึ่ งเป็ นเมื องใหญ่ ห น้าด่ า น ของขอม มี ผูป้ กครองเมื อ ง เรี ยกว่าขอมสมาดโขลญลาพง รักษาเมืองอยู่ เมื่อตีกรุ งสุ โขทัยได้แล้ว พ่อขุนผาเมืองก็ได้อภิเษก ให้พ่อขุนบางกลางหาว เป็ นเจ้าเมืองครองกรุ งสุ โขทัย มีพระนาม ตามอย่างที่ขอมเคยตั้งนามเจ้า เมืองสุ โขทัยแต่ก่อนว่า “ศรี อินทรปตินทราทิตย์” แต่ในศิลาจารึ กของ พ่อขุนรามคาแหงว่า “พ่อ ขุนศรี อินทราทิตย์” ซึ่ งเป็ นต้นราชวงศ์สุโขทัย (ราชวงศ์พระร่ วง) พ่ อขุ นศรี อินทราทิ ต ย์ มี ม เหสี ชื่อนางเสื อง มี พ ระราชโอรสสามพระองค์ องค์ใ หญ่ สิ้ นพระชนม์ ตั้งแต่ยงั เยาว์ องค์กลางมีนามว่าบานเมือง และองค์เล็กมีนามว่า พระรามคาแหง ใน รัชสมัยพ่อขุนศรี อินทราทิตย์อาณาจักสุ โขทัยเป็ นอาณาจักรเล็ก ๆ มีอาณาเขต ดังนี้ ทิศเหนือ จด อาณาจักรหริ ภุญชัย อาณาจักรลานนาไทย อาณาจักรพะเยาทิศตะวันตก จดเมืองฉอด เมื่อพ่อขุนศรี อินทราทิตย์สวรรคต พ่อขุนบานเมืองได้ข้ ึนครองราชย์เป็ นกษัตริ ยอ์ งค์ที่ ๒ และได้ทรงตั้งพระรามคาแหงเป้ นมหาอุปราชครองเมืองชะเลียง พ่อขุนบานเมืองได้ครองราชย์ อยู่จ นถึ งราว พ.ศ. ๑๘๒๒ ก็ ส วรรคต พ่ อขุ นรามค าแหง (พระอนุ ชา) จึ งขึ้ นครองราชย์เ ป็ น กษัตริ ยอ์ งค์ที่ ๓ พระองค์ทรงเป็ นนักรบที่ปรี ชาสามารถ ก่ อนครองราชย์สมบัติเคยทรงชนช้าง ชนะเจ้าเมืองฉอด และในสมัยของพระพระองค์อาณาจักรสุ โขทัยสงบราบคาบกว้างใหญ่ไพศาล มี การเจริ ญสัมพันธไมตรี ฉันเพื่อนกับพระเจ้าเม็งราย แห่ งเชี ยงใหม่ พระยางาเมืองแห่ งพะเยา และในขณะเดียวกันก็ได้เจริ ญสัมพันธไมตรี กบั มอญ เล่ากันว่า มะกะโทกษัตริ ยม์ อญ ทรงเป็ น ราชบุตรเขยของพระองค์ นอกจากนี้ ทรงได้เจริ ญสัมพันธไมตรี กบั จีน จนได้ช่างฝี มือชาวจีนมา ปรั บปรุ งคุ ณภาพของเครื่ องสังคโลกในสมัยสุ โขทัย และในรั ชสมัยพ่อขุนรามคาแหงนี้ เริ่ มมี วรรณคดีที่จารึ กเป็ นหลักฐานของชาติข้ ึนเป็ นครั้งแรก
๒
สุ โขทัยเริ่ มเสื่ อมอานาจลงหลังสมัยพ่อขุนรามคาแหงพระเจ้าเลอไทยกษัตริ ยอ์ งค์ที่ ๔ ไม่ ทรงมี พระปรี ชาสามารถและเข้มแข็งเท่าพระราชบิดา ทาให้หัวเมืองต่ าง ๆ พากันแข็งข้อเป็ น อิสระ พระเจ้าอู่ทอง เจ้าเมืองอู่ทองหรื อสุ พรรณภูมิได้ทรงขยายอาณาเขตกว้างขวางขึ้นและทรง สถาปนาอยุธยาเป็ นราชธานี ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ (ค.ศ. ๑๓๕๐) พระเจ้า เลอไทยสวรรคตใน พ.ศ. ๑๘๙๐ มี ก ารแย้งราชสมบัติ ร ะหว่ า งราชโอรส ๒ พระองค์ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ได้ทรงครองราชย์สมบัติแทน พระองค์เป็ นกษัตริ ย ์ที่ ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ ง ทรงอุทิศเวลาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริ งจัง ทรงนิ พนธ์ หนังสื อไตรภูมิพระร่ วง ทรงสร้างวัดและสถูปเจดียต์ ่าง ๆ มากมาย และสร้างสถานที่สาคัญต่าง ๆ ในสุ โขทัยอีกหลายแห่ ง พระมหาธรรมราชาที่ ๒ราชโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิ ไ ท) ได้ท รง สื บราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา อานาจกรุ งสุ โขทัยได้สิ้นสุ ดลงหลังจากได้เอกราชมาประมาณ ๑๔๐ ปี เมื่อกองทัพของพระเจ้าบรมราชาที่ ๑ แห่ งกรุ งศรี อยุธยาตีได้ใน พ.ศ. ๑๙๒๑ แต่ราชวงศ์ สุ โขทัยยังคงครองสุ โขทัยสื บต่อมาอีกประมาณ ๖๐ ปี จนถึงสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๔ พระเจ้า บรมราชาที่ ๒ แห่ งกรุ งศรี อยุธยาทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองอาณาจักรสุ โขทัยใหม่ โดยทรง ตั้งสมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสไปครองพิษณุ โลก การปฏิ บตั ิ เช่ นนี้ ถือเป็ นการสิ้ นสุ ด อานาจของราชวงศ์สุโขทัยอย่างเด็ดขาดและสุ โขทัยกลายเป็ นส่ วนหนึ่ งของอาณาจักรอยุธยา ตั้งแต่น้ นั มา
วรรณคดีสมัยสุ โขทัยที่มีอยู่ในปัจจุบัน วรรณคดีสมัยสุ โขทัยที่มีอยูใ่ นปัจจุบนั นับว่าเป็ นเรื่ องสาคัญมีอยู่ ๔ เรื่ อง คือ ๑. ศิลาจารึ กหลักที่ ๑ หรื อจารึ กของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ๒. สุ ภาษิตพระร่ วง ๓. เตภูมิกถา หรื อ ไตรภูมิพระร่ วง ๔. นางนพมาศ หรื อตารับท้าวศรี จุฬาลักษณ์
๓
ศิลำจำรึกหลักที่ ๑ (ศิลำจำรึกพ่อขุนรำมคำแหง)
ประวัติควำมเป็ นมำ เมื่อราชวงศ์สุโขทัยได้สูญเสี ยอานาจและกลายเป็ นเมืองร้าง ศิลาจารึ กพ่อขุนรามคาแหง และศิลาจารึ กหลักอื่น ๆ ที่จารึ กในยุคนั้นก็สาบสู ญไปจากความทรงจาของชาวไทย จนกระทัง่ ในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ขณะยังทรงดารงพระยศเป็ นเจ้าฟ้า มงกุฎ และผนวชอยูท่ ี่วดั ราชาธิวาสได้เสด็จธุดงค์เมืองเหนื อ (ปี มะเส็ง เญจศก จุลศักราช ๑๑๙๓) ในระหว่ างประทับอยู่ที่สุโขทัยได้ทรงพบศิ ลาจารึ ก และพระแท่ นมนังคศิ ลา ณ บริ เ วณเนิ น ประสาทพระราชวังเก่าสุ โขทัยครั้นเมื่อจะเสด็จกลับก็โปรดเกล้าฯ ให้นาพระแท่นมนังคศิลาและ ศิลาจารึ กกลับมาไว้ที่วดั สมอราย (ราชาธิ วาส) ที่กรุ งเทพมหานคร แล้วย้ายมาไว้ที่วดั บวรนิ เวศ เมื่อพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ จึงได้โปรดให้นามาไว้ที่วิหารขาว วัดพระศรี รัตนศาสดาราม ในหระบรมมหาราชวัง ต่อมาในปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ได้โปรดเกล้าฯ ให้นาศิลาจารึ กนี้ ไปรวมกับศิลาจารึ กอื่น ๆ ในหอสมุดแห่ งชาติ ปั จจุนบั นี้ อยู่ที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่ งชาติ
๔
ผู้แต่ ง มีผศู ้ ึกษาเกี่ ยวกับศิลาจารึ กของพ่อขุนรามคาแหงหลายท่านและผูท้ ี่มีบทบาทสาคัญก็คือ ศาสตราจารย์ยอร์ ช เซเดส์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ซึ่ งเชี่ยวชาญทางด้านภาษาตะวันออก ได้ ศึกษาศิลาจารึ กของพ่อขุนรามคาแหง และได้จดั ทาคาอ่านไว้อย่างละเอียด ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ศาสตราจารย์ฉ่ า ทองคาวรรณ และผ้เชี่ยวชาญทางภาษาโบราณอีกหลายท่าน ได้ศึกษาการอ่าน คาจารึ กและการตีความถ้อยคาในศิลาจารึ กพ่อขุนรามคาแหง ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริ ฐ ณ นคร และศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุ ภทั รดิส ดิศกุล ได้ศึกษาคาอ่านทาให้ได้รับความรู ้ เพิ่มเติมขึ้นจากการสันนิ ษฐาน ผูแ้ ต่งอาจมีมากกว่า ๑ ท่าน เพราะเนื้ อเรื่ องในหลักศิลาจารึ กนั้น แบ่งออกเป็ น ๓ ตอน คือ ตอนที่ ๑ กล่าวคือ พระราชประวัติของพ่อขุนรามคาแหงใช้คาแทนชื่อว่า “กู” เข้าใจว่า พ่อขุนรามคาแหงคงจะทรงแต่งเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระองค์เอง ตอนที่ ๒ เป็ นการบันทึกเรื่ องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ใช้คาว่าพ่อขุนรามคาแหง โดยเริ่ มต้น ว่ า “เมื่ อชัว่ พ่ อขุ นรามค าแหงเมื อ งสุ โ ขทัย นี้ ดี …” จึ งเข้า ใจว่ า จะต้องเป็ นผู อ้ ื่ นแต่ งเพิ่ ม เติ ม ภายหลัง ตอนที่ ๓ เป็ นตอนยะพระเกี ยรติพ่อขุนรามคาแหง โดยเริ่ มต้นว่า “พ่อขุนรามคาแหงนั้น หาเป็ นท้าว เป็ นพระยาแก่ไทยทั้งหลาย…” ศาสตราจารย์ยาร์ ช เซเดส์ สันนิษฐานว่าความนตอน ที่ ๓ นี้ คงจารึ กหลังตอนที่ ๑ และตอนที่ ๒ จึงเข้าใจว่าผูอ้ ื่นแต่งต่อในภายหลัง
จุดมุ่งหมำยในกำรแต่ ง ๑. เพื่อเป็ นหลักฐานแสดงความเจริ ญรุ่ งเรื องในสมัยนั้น เช่ น หลักฐานการประดิ ษฐ์ อักษรไทย เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนชี้แจงอาณาเขตของกรุ งสุ โขทัย ๒. เพื่อสดุดีพระเกียตริ พ่อขุนรามคาแหง
๕
ลักษณะกำรแต่ ง แต่งเป็ นร้อยแก้ว ลักษณะเป็ นประโยคสั้น ๆ กะทัดรัด และมีสัมผัสคล้องจองกันระหว่าง วรรค
เนื้อเรื่ อง โดยเนื้ อหารู ปแบบการแต่ งเป็ นร้ อยแก้ว เขี ยนลงบนแท่งหิ นสี่ เหลี่ ยม ทั้งสี่ ดา้ นใช้ตวั อักษรไทยและภาษาไทยตามแบบอย่างการใช้ภาษาสมัยสุ โขทัยเนื้ อเรื่ อง แบ่งออกเป็ น ๓ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๑ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑-๑๘ เป็ นอัตชีวประวัติของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช กษัตริ ย ์ สุ โขทัยราชวงศ์พระร่ วง ตอนที่ ๒ เล่าเรื่ องเหตุการณ์และธรรมเนี ยมนิ ยมของคนสุ โขทัย การดาเนิ นชีวิต การถือ พุทธศาสนา การนับถือผี และการประดิษฐ์ตวั อักษรไทย ตอนที่ ๓ เป็ นคาสรรเสริ ญและยอพระเกี ยรติ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช และกว่างถึ ง อาณาเขตเมืองสุ โขทัย
คำอ่ ำนปัจจุบันของหลักศิลำจำรึกพ่ อขุนรำมคำแหง ด้านที่ ๑ พ่อกูชื่อ ศรี อินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสื อง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่นอ้ งท้องเดียวห้า คน ผูช้ ายสามผูญ้ ีงโสง พี่เผือผูอ้ า้ ยตายจากเผือเตียมแต่ยกั เล็ก เมื่อกูข้ ึนใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสาม ชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ ฟ้าหน้าใสพ่อกูหนี ญญ่ายพาย แจ๋ น กูบ่หนี กูขี่ชา้ งเบกพล กูขบั เข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้าง ขุนสามชนตัว ชื่อมาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู กูชื่อพระรามคาแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน เมื่องชัว่ พ่อกู กูบาเรอแก่พ่อกู กูบาเรอแก่แม่กู กูได้ตวั เนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากกส้ม หมากหวาน อันใดกิ นอร่ อยกิ นดี กูเอามาแก่ พ่อกู กูไปตี หนังวังช้างได้ กูเอามาแก่ พ่อกู กูไปท่ บ้านท่เมือง ได้ชา้ งได้งวงได้ปั่วได้นาง ได้เงือน ได้ทอง กูเอามาเวนแก่ พ่อกู พ่อกูตายยังพ่อกู กู พร่ า บาเรอแก่พี่กู ดัง่ บาเรอแก่พ่อกู พี่กูตายจึงได้เมืองแก่กูท้ งั กลม เมื่อชัว่ พ่อขุนรามคาแหงเมื อง
๖
สุ โขทัยนี้ ดี ในน้ ามีปลา ในนามีขา้ ว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่มา้ ไป ขาย ใครจักใคร่ คา้ ช้าง ค้า ใครจักใคร่ คา้ ม้า ค้า ใครจักใคร่ คา้ เงือนค้าทองค้า ไพร่ ฟ้าหน้าใส ลูก เจ้าลูกขุนผูใ้ ดแล้ลม้ ตายหายกว่าเหย้าเรื อนพ่อเชื้อเสื้ อคามัน ช้างขอลูกเมียเยียข้าว ไพร่ ฟ้าข้าไท ป่ าหมากพลูพ่อเชื้อมันไว้แก่ลูกมันสิ้ น ไพร่ ฟ้าลูกเจ้าลูกขุน ผิแลผิดแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล้ จึ่งแล่งความแก่ขาด้วยซื้ อ บ่เข้าผูล้ กั มักผูซ้ ่ อน เห็นข้าวท่านบ่ใครพัน เห็นสิ นท่านบ่ใครเดือด คน ใดขี่ ชา้ งมาหาพาเมื องมาสู่ ช่อยเหนื อเฟื้ อกู้ มันบ่มีชา้ งบ่มีมา้ บ่มีปั่วบ่มีนาง บ่มีเงื อนบ่ มี ท อง ให้แก่ มนั ช่ อยมันตวงเป็ นบ้านเป็ นเมื อง ได้ขา้ เสื อก ข้าเสื อ หัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่ฆ่าบ่ตี ในปาก ประตูมีกระดิ่งอันณื่ งแขวนไว้ หั้นไพร่ ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมือง มีถอ้ ยมีความ เจ็บท้อง ข้องใจ มันจักกล่าวเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไร้ ไปลัน่ กระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคาแหงเจ้าเมือง ได้ ด้านที่ ๒ ยินเรี ยกเมือถาม สวนความแก่มนั ด้วยชื่อ ไพร่ ในเมืองสุ โขทัยนี้ จ่ ึงชม สร้างป่ า หมากป่ าพลูทวั่ เมืองทุกแห่ ง ป่ าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่ าลางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลาย ในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มนั กลางเมืองสุ โขทัยนี้มีน้ าตระพังโพย สี ใสกิ นดี…ดัง่ กิ นน้ าโขงเมื องแล้ง รอบเมืองสุ โขทัยนี้ ตรี บูร ได้สามพันสี่ ร้อยวา คนในเมื อง สุ โขทัยนี้ มกั ทาน มักทรงศีล มัยโอยทาน พ่อขุนรามคาแหงเจ้าเมืองสุ โขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้ นทั้งหลาน ทั้งผูช้ าย ผูญ้ ีง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษากรานกฐิน เดือนณื่ งจึ่งแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มี พนมหมาก มี พนมดอกไม้ มี หมอนนั่งหมอนโนน บริ พารกฐิ นโอยทานแล่ ปีแล้ญิ บล้าน ไป สู ดญัติกฐิ นเถิงอรัญญิกพูน้ เมื่อจักเข้ามาเวียงเรี ยงกัน แต่อญญิกพูน้ เท้าหัวล้าน ดบงดกลองด้วย เสี ยงพาดเสี ยงพิณ เสี ยงเลื้อนเสี ยงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมื องสุ โขทัยนี้ มี สี่ปากประตู หลวง เที้ยรย่อมคนเสี ยดกัน เข้ามาดู ท่านเผาเทียน เล่ นไฟ เมื อง สุ โขทัยนี้มีดงั่ จักแตก กลางเมืองสุ โขทัยมีพิหาร มีพระพุทธรู ปทอง มีพระอัฏฐารศ มีพระพุทธรู ป มีพระพุทธรู ปอันใหญ่ มีพระพุทธรู ปอันราม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม มีปู่ครู นิสัยมุตก์ มี เถร มีมหาเถร เบื้องตะวันตกเมืองสุ โขทัยมีอไรญิก พ่อขุนรามคาแหงกระทาโอยทานแก่มหาเถร สังฆราชปราชญ์ เรี ยนจบปิ ฏกไตรหลวก กว่าปู่ ครู ในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรี ธรรมราชมาใน
๗
กลางอรัญญิก มีพิหารอันณื่ งมนใหญ่ สู งงามแก่ กม มีพระอัฏฐารศอันณื่ ง ลุกยืน เบื้องตะวันตก โอกเมืองสุ โขทัยมีพิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่าหมากป่ าพลู มีไร่ มีนา มีถิ่นถาน มีบา้ นใหญ่ บ้านเล็ก มีป่าม่วง มีป่าขาม ดูงามดังแกล้ ด้านที่ ๓ (งแต่)ง เบื้องตีนนอนเมืองสุ โขทัยมีตลาดปสาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่า หมากพร้าว มีป่าหมากลาง มีไร่ มีนา มีถิ่นถาน มีบา้ นใหญ่บา้ นเล็ก เบื้องหัวนอนเมืองสุ โขทัยมี กุฏีพิหารปู่ ครู อยู่ มีสรดีภงส มีป่าพร้าวป่ าลาง มีป่าม่วง ป่ าขาม มีน้ าโคก มีพระขพุง ผีเทพดาใน เขาอันนั้นเป็ นใหญ่ กว่าทุกผีในเมื องนี้ ขุนผูใ้ ดถื อเมื องสุ โขทัยนี้ แล้ ไหว้ดีพลี ถูก เมื องนี้ เที่ยง เมื องนี้ ดี ผิไ หว้บ่ดี พลี บ่ถู ก ผีใ นเขาอั้นบ่ คุ ้ม บ่ เ กรง เมื องนี้ หาย ๑๒๑๔ ศกปี มะโรง พ่ อขุ น รามคาแหงเจ้าเมืองศรี สัชชนาลันสุ โขทัย ปลูกไม้ตาลได้สิบสี่ เข้า จึงให้ ชงั่ พันขดานหิ น ตั้งหว่า งกลางไม้ตาล วันเดือนดับ เดือนโอกแปดวัน วันเดือนเต็ม เดือยบ้างแปดวัน ฝูงปู่ ครู เถร มหาเถร ขึ้นนัง่ เหนื อขดานหิ นสู ดธรรมแก่ อุบาสก ฝูงท่วยจาศีล ผิใช่วนั สู ดธรรม พ่อขุนรามคาแหงเจ้า เมืองศรี สัชชนาลัยสุ โขทัย ขึ้นนัง่ เหนื อขดานหิ น ให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือเมือง ครั้ งวันเดื อนดับเดื อนเต็ม ท่านแต่ งช้างเผือกกระพัดลยาง เที้ยรย่อมทองงา… (ซ้าย) ขวา ชื่ อรู จาครี พ่อขุนรามคาแหงขึ้นขี่ไปนบพระ (เถิง) อรัญญิกแล้วเข้ามาจารึ กอันณื่ ง มีในเมืองชเลี ยง สถาบกไว้ดว้ ยพระศรี รัตนธาตุจารึ กอันณื่ ง มีในถ่ารั ตนธาร ในกลางป่ าตาลมีศาลาสองอัน อันณื่ ง ชื่อศาลาพระมาส อันณื่ งชื่อพุทธศานา ขดานหิ นชื่อ มนังศิลาบาตร สถาบกไว้จ่ ึงทั้งหลายเห็น ด้านที่ ๔ พ่อขุนรามคาแหง ลูกพ่อขุนศรี อินทราทิตย์เป็ นขุนในเมืองศรี สัชชนาลัยสุ โขทัย ทั้งมาก กาวลาว แลไทยเมืองใต้หล้าฟ้าฏ… ไทยชาวอูชาวของมาออก ๑๒๐๗ ศกปี กุน ใหขุดเอาพระธาตุ ออกทั้งหลายเห็น กระทาบูชาบาเรอแก่ พระธาตุได้เดือนหกวัน จึ่งเอาลงฝังในกลางเมืองศรี สัช ชนาลัยก่ อพระเจดียเ์ หนื อหกเข้าจึ่งแล้ว ตั้งเวียงผาล้อมพระมหาธาตุสามเข้าจึ่งแล้ว เมื่อก่ อนลาย เสื อไทยนี้ บ่มี ๑๒๐๕ ศกปี มะแม พ่อขุนรามคาแหงหาใคร่ ใจในใจ แลใส่ ลายเสื อไทยนี้ ลายเสื อ ไทยนี้จ่ ึงมีเพื่อขุนผูน้ ้ นั ใส่ ไว้ พ่อขุนรามคาแหงนั้นหาเป็ นท้าวเป็ นพระยาแก่ไทยทั้งหลาย หาเป็ น ครู อาจารย์ส่ังสอนไทยทั้งหลายให้รู้บุญรู ้ธรรมแท้ แต่คนอันมีในเมืองไทยด้วย รู ้ดว้ ยหลวก ด้วย
๘
แกล้วด้วยหาญ ด้วยแคะ ด้วยแรง หาคนจักเสมอมิได้อาจปราบฝูงข้าเสี ก มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออก รอด สรลวง สองแคว ลุมบาจาย สคา เท้าฝั่งของเถีง เวียงจันทน์เวียงคาเป็ น ที่แล้ว เบื้(อ)งหัวนอน รอดคคนที พระบางแพรก สุ พรรณภูมิ ราชบุรี เพรชบุรี ศรี ธรรมราช ฝั่ง ทะเลสมุทรเป็ นที่แล้ว เบื้อตะวันตก รอดเมืองฉอด เมือง… น หงสาวดี สมุทรหาเป็ นแดน เบื้อง ตีนนอน รอดเมืองแพร่ เมืองน่ าน เมืองน… เมืองพลัว พ้นฝั่งของชวา เป็ นที่แล้ว ปลูกเลี้ยง ฝูง ลูกบ้านลูกเมืองนั้น ชอบด้วยธรรมทุกคน
คุณสมบัติเด่ นในศิลำจำรึกหลักที่ ๑ พ่ อขุนรำมคำแหงมหำรำช ๑. ด้านภาษา จารึ กของพ่อขุนรามคาแหงเป็ นหลักฐานที่สาคัญที่สุด ที่แสดงให้ เห็นถึงกาเนิ ดของวรรณคดีและอักษรไทย เช่น กล่าวถึงหลักฐานการประดิษฐ์อกั ษรไทย ด้าน สานวนการใช้ถอ้ ยคาในการเรี ยบเรี ยง จะเห็นได้ว่า • ถ้อยคาส่ วนมากเป็ นคาพยางค์เดียว และเป็ นคาไทยแท้ เช่น อ้าง โสง นาง เป็ นต้น • มีคาที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตปนอยูบ่ า้ ง เช่น ศรี อินทราทิตย์ ตรี บูร อรัญญิก ศรัทธา พรรษา เป็ นต้น • ใช้ประโยคสั้น ๆ ให้ความหมายกระชับ เช่น แม่กูชื่อนางเสื อง พี่กูชื่อบานเมือง ข้อความบางตอนใช้คาคาซ้ า เช่น “ป่ าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่ าลางก็หลายในเมืองนี้” • นิยมคาคล้องจองในภาษาพูด ทาให้เกิดความไพเราะ เช่น “ในน้ ามาปลา ในนามี ข้าว เจ้าเมืองบเอาจกอบในไพร่ ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่มา้ ไปขาย” • ใช้ภาษาที่เป็ นถ้อยคาพื้น ๆ เป็ นภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน
๙
๒. ด้านประวัติศาสตร์ ให้ความรู ้เกี่ยวกับพระราชประวัติพ่อขุนรามคาแหง จารึ กไว้ ทานองเฉลิมพระเกียรติ ตลอดจนความรู ้ดา้ นประวัติศาสตร์ โบราณคดี และสภาพสังคมของกรุ ง สุ โ ขทัย ทาให้ผูอ้ ่ า นรู ้ ถึ งความเจริ ญ รุ่ งเรื องของกรุ งสุ โ ขทัย พระปรี ชาสามารถของพ่ อ ขุ น รามคาแหง และสภาพชีวิตความเป็ นอยูข่ องชาวสุ โขทัย ๓. ด้านสังคม ให้ความรู ้ดา้ นกฎหมายและการปกครองสมัยกรุ งสุ โขทัย ว่ามีการ ปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริ ยด์ ูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด ๔. ด้านวัฒนธรรม ประเพณี ให้ความรู ้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี อนั ดีงามของชาว สุ โขทัยที่ปฏิบตั ิสืบมาจนถึงปัจจุบนั เช่น การเคารพบูชาและเลี้ยงดูบิดามารดา นอกจากนั้นยังได้ กล่าวถึงประเพณี ทางศาสนา เช่น การทอดกฐินเมื่อออกพรรษา ประเพณี การเล่นรื่ นเริ ง มีการจุด เทียนเล่ นไฟ พ่อขุนรามคาแหงโปรดให้ราษฎรทาบุญและฟั งเทศน์ในวันพระ เช่ น “คนเมื อง สุ โขทัยนี้ มกั ทาน มักทรงศี ล มักอวยทาน…ฝูงท่วยมี ศรั ทธา ในพระพุทธศาสนา ทรงศี ล เมื่ อ พรรษทุกคน”
พ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงคิดค้นขึ้นตัวอักษร และได้มีผนู ้ าไปใช้กนั แพร่ หลายต่อไป ในประเทศใกล้เคียงในสมัยนั้น เช่น ในล้านช้าง ล้านนา และประเทศข้างฝ่ ายใต้ของอาณาจักร สุ โขทัย คือ กรุ งศรี อยุธยา
๑๐
ลักษณะของตัวอักษรไทย • สระ ๒๐ ตัว
• วรรณยุกต์ ๒ รูป ตัวเลข ๖ ตัว
• พยัญชนะ ๓๙ ตัว
๑๑
พ่อขุนรามได้แบบอย่างจากขอมและอินเดีย ครั้งแรกนั้นคงเป็ นพยัญชนะ ๓๔ ตัว (ตัดนิคหิ ตออก ๑ ตัว แต่พระองค์ได้นามาใช้แทนตัว ม อย่างสันสกฤตและขอม) ต่อมาพระองค์อาจจะทรงคิดค้น เพิ่มเติมอีก ๑๐ ตัว ที่รียกว่า “พยัญชนะเติม” เพื่อให้เสี ยงพอใช้ในภาษาไทย พยัญชนะเติม ๑๐ ตัว คือ ฃ ฅ ซ ฏ ด บ ฝ ฟ อ ฮ จะเห็นได้ว่าพยัญชนะเหล่านี้ได้เพิ่มเข้า มาจากพยัญชนะวรรคมีเสี ยงที่พอ้ งกัน เช่น ฃ พ้องเสี ยงกับ ข ฅ พ้องเสี ยงกับ ค ในสมัยพ่อขุน รามคาแหงมหาราชนั้น ตัวอักษรนี้คงออกเสี ยงเป็ นคนละหน่วยเสี ยงกัน แต่ ฃ กับ ฅ คงจะออก เสี ยงได้ยากกว่า เราจึงรักษาไว้ไม่ได้ จึงต้องสู ญเสี ยไป แต่ถา้ เป็ นหน่วยเสี ยงเดียวกันพระองค์จะ ไม่ทรงคิดเสี ยงซ้ ากัน เช่นนั้น ฃ กับ ข และ ฅ กับ ค จึงเป็ นคนละหน่วยเสี ยงกัน เช่นเดียวกับ ภาษาบาลี สันสกฤต ที่ออกเสี ยงพยัญชนะวรรคตะต่างกับเสี ยงพยัญชนะวรรคฏะ แต่เมื่อเรา รับเข้ามาให้ เราออกเสี ยงอย่างเขาไม่ได้ เราจึงออกเสี ยงเหมือนกัน เช่นเดียวกับ ส,ษ,ศ ที่เขาออก เสี ยงต่างกัน แต่เราออกเสี ยงเหมือนกัน เสี ยงใดที่ออกเสี ยงยากย่อมสู ญได้ง่าย
ควำมงำมในแง่ของวรรณคดี ศิลาจารึ กหลักที่ ๑ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช ได้รับการยอมรับ ดังต่อไปนี้ ศิ ล าจารึ ก จัด ว่ า เป็ นวรรณคดี ที่ส าคัญ ประเภทหนึ่ ง ที่ มี ประโยชน์ ใ นด้า นการศึ ก ษา เรื่ องราวทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี ตลอดจนวิชาอักษรศาสตร์ วัฒนธรรม และอื่น ๆ ศิ ลา จารึ กที่มีผนู ้ ามาเป็ นหลักฐานได้มีท้ งั สิ้ น ๒๘ หลัก และคงไม่มีผใู ้ ดปฏิเสธหากจะกล่าวว่าศิ ลา จารึ กหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ที่เป็ นต้นแบบแห่ งอักษรไทย จะจัดเข้าเป็ นผลงาน ที่ทรงคุณค่าอย่างยิง่ ทางด้านวรรณกรรม
๑๒
ไตรภูมิกถำ หรื อไตรภูมิพระร่ วง
ไตรภูมิพระร่ วงเป็ นวรรณกรรมชิ้นเอกสมัยกรุ งสุ โขทัย นับเป็ นวรรณคดีเรื่ องแรกของ ไทย เป็ นพระราชนิ พนธ์ในสมเด็จพระศรี สุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิ ราช หรื อพระมหาธรรม ราชาลิไทย เป็ นวรรณคดีไทยที่มีอิทธิ พลต่อสังคมไทย ตั้งแต่สมัยกรุ งสุ โขทัย กรุ งศรี อยุธยามา จนถึงปัจจุบนั เพราะได้รวบรวมเอาคติความเชื่อทุกแง่ทุกมุมของทุกชนชั้นหลายเผ่าพันธุ์มาเรี ยบ เรี ยงเป็ นเรื่ องราว ให้ผูอ้ ่านผูฟ้ ั งยาเกรงในการกระทาบาปทุจริ ต และเกิ ดความปิ ติ ยินดี ในการ ทาบุญทากุศล อาจหาญมุ่งมัน่ ในการกระทาคุณงามความดี ไตรภูมิพระร่ วง เดิมเรี ยกว่า “เตภูมิกถา” หรื อ “ไตรภูมิพระร่ วง” ต่อมาสมเด็จกรมพระยา ดารงราชานุภาพทรงเปลี่ยนกษัตริ ยช์ ื่อใหม่ว่า “ไตรภูมิพระร่ วง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติแก่พระยาลิ ไท กษัตริ ยร์ าชวงศ์พระร่ วง ซึ่ งเป็ นผูพ้ ระราชนิ พนธ์ นับว่าเป็ นหนังสื อสรรณคดีเล่มแรกที่เกิ ด จากการค้นคว้าจากคัมภีร์พุทธศาสนาถึ ง ๓๐ คัมภีร์ และมี ลกั ษณะเป็ นหนังสื อที่สมบูรณ์ คื อ บอกชื่อ วัน เดือน ปี และความมุ่งหลายในการแต่งไว้อย่างครบถ้วน
๑๓
ผู้แต่ ง พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท)
จุดมุ่งหมำยในกำรแต่ ง กล่าวว่าในบานแพนกว่า “ใส่ เพื่อขี้ไต้พระธรรม และจะใคร่ เทศนาแก่พระมารดาท่าน”… ผูใ้ ดปรารถนาเถิงทิพยสมบัติปัตถโมกขนิ พพาน ให้สดับพระไตรภูมิกถานี้ดว้ ยทานุ บารุ งด้วยใจ ศรัทธา ดังนั้น จึงมีจุดมุ่งหมายในการแต่งอยู่ ๒ ประการ คือ ๑. เพื่อเทศโปรดพระมารดา เป็ นการเจริ ญธรรมความกตัญญู ๒. เพื่ อใช้สั่ งสอนประชาชนให้มี คุ ณ ธรรม และเข้า ใจพุ ทธศาสนา จะได้ช่ว ยด ารง พระพุทธศาสนาไว้ให้ยง่ั ยืนนาน
ลักษณะคำประพันธ์ เป็ นร้อยแก้ว แบบเทศนาโวหาร และพรรณนาโวหาร
เนื้อเรื่ อง เริ่ มต้นบอกผูแ้ ต่ง วัน เดือน ปี และความมุ่งหมายในการแต่ง หลักฐานประกอบการเรี ยบ เรี ยง จากนั้นกล่าวถึงภูมิท้งั สาม (เตภูมิ) คือ ๑. กามภูมิ พรรณนาถึงที่อยูข่ องมนุษย์ เทวดา และอื่น ๆ รวม ๑๑ ภูมิ ได้แก่ สวรรค์ ๖
๑๔
ภูมิ มนุษย์ ๑ ภูมิ และอบาย ๔ ภูมิ กามภูมิเป็ นที่กาเนิดของชีวิตทั้งหลายที่ยงั ลุ่มหลงอยูใ่ นกาม มี แดนสุ ขสบายและแดนที่เป็ นทุกข์ปะปนกัน ผูท้ ี่เกิ ดในภูมิต่าง ๆ เหล่านี้ เป็ นเพราะผลกรรมของ ตนเป็ นใหญ่ ๒. รู ปภูมิ หมายถึง ที่อยูข่ องพรหมมีรูปร่ าง รวมทั้งหมด ๑๖ ชั้น เป็ นแดนที่อยูข่ อง พรหม ซึ่ งมีสมาธิ มีจิตสู งขึ้นไปโดยลาดับ ๓. อรู ปภูมิ ได้แก่สวรรค์อนั เป็ นที่อยูข่ องพรหมไม่มีรูปร่ าง มีแต่จิตใจเท่านั้น มี ๔ ขั้น หนังสื อนี้ กล่าวเริ่ มตั้งแต่การกาเนิ ดของชีวิตต่าง ๆ ว่าเกิ ดขึ้นอย่างไร แล้วพรรณนาถิ่นที่เกิ ดคือ ภูมิต่าง ๆ ทั้ง ๓๑ อย่างละเอียด เช่น ตอนที่ว่าด้วยมนุษย์ภูมิ และโลกสัณฐาน ได้เล่าอย่างละเอียด ว่า ลักษณะของโลกเป็ นอย่างไร ทวีปต่าง ๆ ภูเขา แม่น้ า คน และสัตว์เป็ นอย่างไรและจบลงด้วย การเน้นเรื่ องทางไปถึงการดับทุกข์ คือนิพพานว่าเป็ นจุดมุ่งหมายอันสู งสุ ดของชีวิต พระยาลิไทย ทรงพรรณนาถึงเรื่ องการเกิ ด การตาย ของสัตว์ท้ งั หลายว่าการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ในภูมิท้ งั สามคื อ กามภูมิ รู ปภูมิ และอรู ปภูมิ ด้วยอานาจของบุญและบาปที่ตนได้กระทาแล้ว ดังนี้ ๑. กามภูมิ เป็ นที่ต้ งั แห่ งความใคร่ ประกอบด้วย อบายภูมิ และสุ คติภูมิ อบายภูมิ แบ่งออกเป็ น ๔ ภูมิ ได้แก่ ๑. นรกภูมิ ๒. ดิรัจฉานภูมิ ๓. เปรตภูมิ ๔. อสู รกายภูมิ ๑.๑ นรกภูมิ เป็ นที่ต้ งั ของสัตว์ที่ทาบาป ต้องไปรับทัณฑ์ทรมานนานาประการ ซึ่ งแบ่ง ออกเป็ นขุมใหญ่ ๆ ได้ท้ งั หมด ๘ ขุม คื อ สัญชี พนรก กาฬสุ ตตนรก สังฆาฏนรก โรรุ วะนรก มหาโรรุ วะนรก ตาปนรก มหาตาแนรก อวีจีนรก ในแต่ละนรกยังมีนรกบริ วาร เช่น นรกขุมที่ชื่อ โลหสิ มพลี เป็ นนรกบริ วารของสัญชีพนรก ผูท้ ี่เป็ นชูก้ บั สามีหรื อภริ ยาผูอ้ ื่น จะมาตกนรกขุมนี้
๑๕
จะถูกนายนิรบาลไล่ตอ้ นให้ข้ ึนต้นงิ้วที่สูงต้นละหนึ่งโยชน์ มีหนามเป็ นเหล็กร้อนจนเป็ นสี แดงมี เปลวไฟลุกโชนยาว ๑๖ นิ้ว ชายหญิงที่เป็ นชูก้ นั ต้องปี นขึ้นลง โดยมีนายนิ รบาลเอาหอกแหลม ทิ่มแทงให้ข้ ึนลงวนเวียนอยู่เช่นนี้ นบั ร้อยปี นรก สาหรับผูท้ ี่ทาบาปแต่หนักไม่พอที่จะตกนรก ก็ ไปเกิดในที่อนั หาความเจริ ญมิได้ อื่น ๆ เช่น เกิดเป็ นเปรต อสู รกาย สัตว์เดรัจฉาน พวกที่พน้ โทษ จากนรกแล้วยังมีเศษบาปติดอยู่ก็ไปเกิ ดเป็ นเดรัจฉานบ้าง เป็ นเปรตบ้าง เป็ นอสู รกายบ้าง เป็ น มนุษย์ที่ทุพพลภาพ พิกลพิการ ตามความหนักเบาของบาปที่ตนได้ทาไว้
๑.๒ สุ คติภูมิ เป็ นส่ วนของกามาพจรภูมิ หรื อ กามสุ คตภูมิ แบ่งออกเป็ น ๗ ชั้น คือ ๑. มนุษย์ภูมิ ๒. สวรรค์ช้ นั จตุมหาราชากาภูมิ ๓. สวรรค์ช้ นั ตาวติงสาภูมิ (ดาวดึงส์-ไตรตรึ งษ์) ๔. สวรรค์ช้ นั ยามาภูมิ ๕. สวรรค์ช้ นั ตุสิตาภูมิ (ดุสิต) ๖. สวรรค์ช้ นั นิมมานรดีภูมิ ๗. สวรรค์ช้ นั ปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ กามาพจรภูมิท้งั เจ็ดชั้น เป็ นที่ต้ งั อันเต็มไปด้วยกาม เป็ นที่ท่องเที่ยวของสัตว์ที่ลุ่มหลงอยู่ ใน รู ป เสี ยง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็ นอารมณ์อนั พึงปรารถนา เมื่อรวมกับอบายภูมิอีกสี่ ช้ นั เรี ยกว่า กามภูมิ ๑๑ ชั้น ๑. รู ปภูมิ หรื อ รู ปาวจรภูมิ ได้แก่ รู ปพรหมสิ บหกชั้น เริ่ มตั้งแต่พรหมปริ สัชชาภูมิ ที่อยู่ สู งกว่าสวรรค์ช้ นั หก คือ ปรนิมมิตวสวัตดี มากจนนับระยะทางไม่ได้ ระยะทางดังกล่าวอุปมาไว้ ว่า สมมติมีหินก้อนใหญ่เท่าโลหะปราสาทในลังกาทวีป หิ นก้อนนี้ ทิ้งลงมาจากชั้นพรหมปริ สัช ชาภูมิ หิ นก้อนนั้นใช้เวลาถึงสี่ เดือนจึงจะตกลงมาถึงพื้น
๑๖
จากพรหมปริ สัชชาภูมิข้ ึนไปถึงชั้นที่สบเอ็ด ชื่อชั้นอสัญญีภูมิ เป็ นรู ปพรหมที่มีรูปแปลก ออกไปจากพรหมชั้นอื่น ๆ คือ พรหมชั้นอื่น ๆ มีรูป มีความรู ้สึก เคลื่อนไหวได้ แต่พรหมชั้น อสัญญีมีรูปที่ไม่ไหวติง ไร้อิริยาบถ โบราณเรี ยกว่า พรหมลูกฟั กครั้นหมดอายุ ฌานเสื่ อมแล้วก็ ไปเกิดตามกรรมต่อไป รู ปพรหมที่สูงขึ้นไปจากอสัญญีพรหมอีกห้าชั้นรัยกว่า ชั้นสุ ทธาวาส หมายถึง ที่อยูข่ องผู ้ บริ สุทธิ์ ผูจ้ ะไปเกิ ดในพรหมชั้นสุ ทธาวาสคือ ผูท้ ี่สาเร็ จเป็ นพระอริ ยบุคคลชั้นพระอนาคามี คือ เป็ นผู ท้ ี่ ไ ม่ ก ลับ มาสู่ โ ลกนี้ อี ก ต่ อ ไป ทุ ก ท่ า นจะส าเร็ จ เป็ นพระอรหั น ต์ แ ล้ว นิ พ พานในชั้น สุ ทธาวาสนี้ ๒. อรู ปภูมิ หรื อ อรู ปาพาจรภูมิ มีสี่ช้ นั เป็ นพรหมที่ไม่มีรูปปรากฏ ผูท้ ี่ไปเกิดในภูมิน้ ีคือ ผูท้ ี่บาเพ็ญเพียรจนได้บรรลุฌานโลกียช์ ้ นั สู งสุ ด เรี ยกว่าอรู ปฌานซึ่ งมีอยูส่ ี่ ระดับ ได้แก่ ผูท้ ี่บรรลุ อากาสานัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาอากาศเป็ นอารมณ์) จะไปเกิดในอากาสานัญจายตะภูมิ ผู ้ ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะฌาน (ยึดหน่ วงเอาวิญญาณเป็ นอารมณ์) จะไปเกิ ดในวิญญาณัญจายะ ภู มิ ผู ท้ ี่ บ รรลุ อ ากิ ญ จัญ ญายตนะภู มิ (ยึ ด หน่ ว งเอาความไม่ มี เ ป็ นอารมณ์ ) จะไปเกิ ด ในอา กิ ญจัญญาตนะภูมิ และผูท้ ี่บรรลุ เนวสัญญานสสัญญายตนะฌาน (ยึดหน่ วงเอาฌานที่สามให้ ละเอียดลงจนเป็ นผูม้ ีสัญญาก็มิใช่) จะไปเกิดในแนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ พรหมเหล่านี้เมื่อ เสื่ อมจากฌานก็จะกลับมาเกิดในรู ปพรหมภูมิ หรื อภูมิอื่น ๆ ได้เช่นกัน กล่าวเฉพาะเนื้ อความด้านการกาเนิ ดของสัตว์ การเกิ ดของสัตว์ในสามภูมิมีอยู่ ๔ อย่าง คือ • ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานบางชนิดที่เลี้ยงลูกด้วยนม • อัณฑชะ เกิ ดในไข่ ได้แก่ สัตว์เดรัจฉานบางชนิ ด เช่น นก สัตว์เลื้อยคลานบาง ชนิด ปลา เป็ นต้น • สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ได้แก่ สัตว์ช้ นั ต่าบางชนิดที่ใช้การแบ่งตัวออกไป เช่น ไฮดรา อมิบา เป็ นต้น
๑๗
• โอปาติกะ เกิดขึ้นเอง เมื่อเกิดแล้วก็จะสมบูรณ์เต็มที่ เมื่อตายไปจะไม่มีซาก ได้ แก้ เปรต อสู รกาย เทวดา และ พรหม เป็ นต้น การตายของสัตว์ การตายมีสาเหตุ ๔ ประการ คือ • อายุขยะ เป็ นการตายเพราะสิ้ นอายุ • กรรมขยะ เป็ นการตาบเพราะสิ้ นกรรม • อุภยขยะ เป็ นการตายเพราะสิ้ นทั้งอายุ และสิ้ นทั้งกรรม • อุปัจเฉทกรรมขยะ เป็ นการตายเพราะอุบตั ิเหตุ
นอกจากนั้นแล้ว มีการกล่าวถึงสิ่ งต่าง ๆ ในโลกและในจักวาลว่ามี ภูเขาพระสุ เมรุ ราช เป็ นแกนกลาง แวดล้อมด้วยกาแพงน้ าสี ทนั ดรสมุ ทร และภูเขาสัตตบรรพต อันประกอบด้วย ภูเขายุคนธร อินิมธร กรวิก สุ ทศั นะ เนมินธร วินนั ตกะ และอัสสกัณณะ กล่าวถึงพระอาทิต ย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์ และดารากรทั้งหลายในจักวาล เป็ นเครื่ องบ่งบอกให้รู้วนั เวลา ฤดูกาล และเหตุการณ์ต่าง ๆ กล่าวถึงทวีปทั้งสี่ ที่ต้ งั อยู่รอบภูเขาพระเมรุ มาศ ชมพูทวีปอย่างทางทิศใต้ กว้าง ๑๐๐๐๐ โยชน์ มีปริ มณฑล ๓๐๐๐๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็กล้อมรอบได้ ๕๐๐ มีได้ ๑๐๐๐ โยชน์ มีปริ มณฑล ๓๐๐๐๐ โยชน์ เป็ นเมืองที่อยูข่ องพญาครุ ฑ การกาหนดอายุของสัตว์และโลกทั้งสามภูมิ มี กัลป์ มหากัลป์ การวินาศ การสร้างโลก สร้างแผ่นดินตามคติขิงพราหมณ์ ท้ายสุ ดของภูมิกถา เป็ นนิ พพานถาว่าด้วย นิ พพานสมบัติของ พระอริ ยะเจ้ า ทั้ง หลาย วิ ธี ป ฏิ บ ัติ เ พื่ อ บรรลุ พ ระนิ พ พาน อัน เป็ นวิ ธี ต ามแนวทางของ พระพุทธศาสนา
๑๘
คุณค่ำ ๑. ด้านศาสนา เป็ นหนังสื อสอนศีลธรรม เนื้อเรื่ องกล่าวถึง บาปบุญคุณโทษ การเกิด การตาย เกี่ยวกับโลกทั้งสาม (ไตรภูมิ) ๒. ด้านภาษาและวรรณคดี ใช้พรรณนาโวหารอย่างละเอียดละออ จนทาให้นึกเห็น สมจริ ง ให้เห็นสภาพอันน่ าสยองขวัญของนรก สภาพอันสุ ขสบายของสวรรค์ จนทาให้จิตรกร สามารถถ่ายทอดบทพรรณนาลงเป็ นภาพได้ นอกจากนี้ยงั มีอิทธิพลต่อวรรณคดียคุ หลังได้นาเอา ความเชื่อต่าง ๆ มาอ้างองในวรรณคดีไทย เช่น ประวัติของเทวดา เขาพระสุ เมรุ ช้างเอราวัณ ช้าง ทรงของพระอินทร์ ป่ าหิ มพานต์ เป็ นต้น ๓. ด้านสังคม มุ่งใช้คุณธรรมความดี เป็ นพื้นฐานในการสร้างสรรค์ความสุ ขในสังคม
๑๙
สุ ภำษิตพระร่ วง
สุ ภาษิตพระร่ วงหรื อเรี ยกอีกชื่อหนึ่งว่า บัญญัติพระร่ วง เป็ นวรรณกรรมที่ไม่ทราบผูแ้ ต่ง สุ ภาษิตพระร่ วงเขียนเป็ นร่ ายสุ ภาพ มีรูปแบบที่กาหนดไว้ตายตัวว่าในวรรคหนึ่ ง ๆ ให้ ใช้คาได้วรรคละห้าคา คาส่ งสัมผัสมีรูปวรรณยุกต์ใด คารับสัมผัสต้องมีรูปวรรณยุกต์น้ นั เช่ น ภายในอย่านาออก ภายนอกอย่านาเข้า เป็ นต้น วรรณกรรมเรื่ องสุ ภาษิ ตพระร่ วงเป็ นวรรณกรรมมุขปาฐะของสุ โขทัย ได้รับการเรี ยบ เรี ยงเป็ นร่ ายสุ ภาพ และจารึ กเป็ นวรรณกรรมลายลักษณ์ มีความมุ่งหมายเพื่อสั่งสอนประชาชน ลักษณะการแต่ง แต่งเป็ นร่ ายสุ ภาพ แล้วจบด้วยโคลงสี่ สุภาพ ๑ บท เนื้อหาสาระ เริ่ มต้นกล่าวถึง พระร่ ว งแห่ งกรุ งสุ โ ขทัย พระองค์ทรงมุ่ งหวังประโยชน์ สุ ขในภายภาคหน้า จึ งทรงบัญ ญัติ สุ ภาษิ ตขึ้ นมา เพื่อเป็ นเครื่ องเตื อนสติ ประชาชนของให้ผูค้ นทั้งแผ่นดิ นจงพากเพียรพยายาม ศึกษาเล่าเรี ยนเพื่อบารุ งดูแลรักษาตัวเอง อย่าได้ผิดคาสอน จากนั้นก็เป็ นคาสั่งสอนที่มีลกั ษณะ เป็ นสุ ภาษิตมีท้ งั หมด ๑๕๔ ข้อ เริ่ มตั้งแต่ “เมื่อน้อยให้เรี ยนวิชา ให้หาสิ นเมื่อใหญ่ อย่าใฝ่ เอา ทรัพย์ท่าน อย่าริ ร่านแก่ ความ” จนถึง “อย่ารักเหากว่าผม อย่ารักลมกว่าน้ า อย่ารักถ้ ากว่าเรื อน อย่ารักเดือนกว่าตะวัน”
๒๐
จุดมุ่งหมำยในกำรแต่ ง เพื่อสั่งสอนประชาชนทัว่ ไป ในด้านการประพฤติปฏิบตั ิตน
ลักษณะคำประพันธ์ แต่งเป็ นร่ ายสุ ภาพ จบด้วยโคลงสองสุ ภาพและต่อด้วยโคลงสี่ สุภาพกระทู ้ ๑ บท
คุณค่ำ ๑. ด้านภาษา ใช้ถอ้ ยคาง่าย ๆ คล้องจองกะทัดรัดไม่มีศพั ท์สูง จึงทาให้น่าอ่าน เพราะง่าย ต่ อการเข้า ใจและจดจา ส านวนโวหารคล้ายกันกับในหลัก ศิ ลาจารึ ก ของพ่ อขุ น รามคาแหง ๒. ด้านค่านิ ยมทางสังคม สุ ภาษิตสอนให้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริ ย ์ ส่ งเสริ ม การศึกษา รู ้จกั ประมาณตน ไม่โอ้อวด สร้างไมตรี ไม่เบียดเบียนมิตร รักเกี ยรติและ ศักดิ์ศรี มากกว่าทรัพย์สิน เช่น
๒๑
สอนการปฏิบตั ิตนเป็ นมิตร “อย่าควบกิจเป็ นพาล อย่าอวดหาญแก่เพื่อน” “อย่าขอของรักมิตร” “อย่าเบียดเสี ยดแก่มิตร” “ยอมิตรยอลับหลัง”
สอนการปฏิบตั ิตนและเชื่อฟังผูใ้ หญ่ “อย่านัง่ ชิดผูใ้ หญ่” “อย่าขัดขงผูใ้ หญ่ อย่าใฝ่ ตนให้เกิน” “ผูเ้ ฒ่าสั่งจงจาความ” “จงนบนอบผูใ้ หญ่” “เจ้าเคียดอย่าเคียดตอบ”
สอนให้รักศักดิ์ศรี ของตนเอง “รักตนกว่ารักทรัพย์ อย่าได้รับของเข็ญ” “สุ วานขบอย่าขบตอบ” “สู ้เสี ยศีลอย่าเสี ยสัตย์” “ตระกูลตนจงคานับ”
๒๒
สอนให้รู้จกั กตัญญูกตเวที “เลี้ยงคนจักกินแรง” “ภักดีอย่าด่วนเคียด” “อาสาเจ้าจนตาย อาสานายจนพอแรง” “ภักดีจงอย่าเกียจ เจ้าเคียดอย่าเคียดตอบ”
๓. ด้านอิทธิพลต่อวรรณคดีอื่น ๆ กวีรุ่นหลังนิยมนาข้อความบางตอนไปแทรกไว้ใน วรรณคดีเรื่ องต่าง ๆ เช่น ร่ ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ตอนนางพรหมณี บอกนางอมิตดาว่า “จะ มารักเหากว่าผม จะมารักลมกว่าน้ า หรื อตอนพระเวสสันดรตรัสต่อนางมัทรี ว่า เข้าเถื่อนอย่าลืม พร้า” เป็ นต้น
๒๓
นำงนพมำศ หรื อ ตำรับท้ ำวศรีจุฬำลักษณ์
เรื่ องนางนพมาศ มีชื่อเรี ยกกันอยู่ ๓ ชื่อ คือ นพมาศ เรวดีนพมาศ และตารับท้าวศรี จุฬา ลักษณ์ สมัยที่แต่งสันนิฐานว่า แต่งในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท)
ผู้แต่ ง เชื่อกันว่าเป็ นกวีหญิง ชื่อนพมาศ หรื อท้าวศรี จุฬาลักษณ์ พระสนมเอกของพระยาลิ ไท นางนพมาศได้รับบรรดาศักดิ์เป็ นท้าวศรี จุฬาลักษณ์ เป็ นธิ ดาของพระศรี มโหสถ มารดาชื่อนาง เรวดี ได้รับการสัง่ สอนจากบิดา มีความรู ้สูงในด้านภาษไทย ภาษาสันสกฤต ศาสนาพุทธ ศาสนา พราหมณ์ กางแต่งคาประพันธ์ โหราศาสตร์ การขับร้องและการช่างสตรี มีความงามเลื่องลือ ทั้ง ยังมี คุ ณ สมบัติ ดี เ ลิ ศ ต่ อมาได้เ ป็ นพระสนม เคยจัด ดอกไม้ประดับขันหมากรั บรอแขกเมื อง ประดิษฐ์โคมลอยพระประทีป ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็ นท้าวศรี จุฬาลักษณ์ ตาแหน่งพระสนม เอก ด้วยวรรณคดีเป็ นผูเ้ ขียนหนังสื อนางนพมาศ หรื อ ตารับท้าวศรี จุฬาลักษณ์
๒๔
จุดมุ่งหมำยในกำรแต่ ง กล่าวกันว่า นางนพมาศหรื อท้างศรี จุฬาลักษณ์เขียนหนังสื อเรื่ องนี้ข้ ึนเพื่อเล่าประวัติของ ตน ในฐานะที่เป็ นพระสนมเอกของพระร่ วงเจ้า และเพื่อแสดงความเป็ นมาของวัฒนธรรมและ พิธีกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น นอกจากนี้บรรดานิ ทานต่าง ๆ ที่แต่งแทรกอยูใ่ นหนังสื อ เล่ มนี้ ลว้ นเป็ นนิ ทานที่ผูแ้ ต่ งยกมาประกอบการอบรมสั่งสอนผูห้ ญิ งทั้งหลาย ให้อยู่ในความ ประพฤติที่ดีงาม จึงนับเป็ นวรรณคดีคาสอนเล่มหนึ่ง
ลักษณะคำประพันธ์ เป็ นความเรี ยงทานองชี วประวัติ มี คาประพันธ์ร้อยกรองแทรกบางตอนเป็ นส่ วนน้อย ได้แก่ โคลงสี่ สุภาพและกลอนดอกสร้อย เป็ นต้น
เนื้อเรื่ อง เนื้อหาแบ่งออกเป็ น ๒ ตอน คือ ตอนที่ ๑ ว่าด้วยชีวประวัตินางนพมาศ ตั้งแต่เกิ ดจนกระทัง่ เข้ารับราชการฝ่ ายใน ในราช สานักของพระร่ วงเจ้า และได้เลื่อนขึ้นเป็ นพระสนมเอกในรัชกาลนั้น และกล่าวถึงพิธีต่าง ๆ ที่ ปฏิบตั ิกนั อยู่เป็ นประเพณี ตลอด ๙ เดือน เช่น พิธีเผาข้าว พิธีจรดพระนังคัล พิธีวิสาขะ พิธีอาสว ยุช (แข่งเรื อ) พิธีจองเปรี ยงลอยพระประทีพ เป็ นต้น
ตอนที่ ๒ อาจถือเป็ นภาคผนวก หรื อเป็ นตอนที่ผูอ้ ื่นแต่งเติมเข้ามาก็ได้ เพราะมีนิทาน ต่าง ๆ แทรกอยูห่ ลายเรื่ อง ซึ่ งไม่ค่อยเกี่ยวกับเนื้อหาสาระเท่าใดนัก นิทานที่แทรกในหนังสื อเล่ม นี้ เป็ นนิ ทานสอนผูห้ ญิงในแง่ต่าง ๆ ให้เห็นลักษณะของการประพฤติชว่ั ว่ามีโทษอย่างไร และ
๒๕
การทาดีมีผลสนองอย่างไร เช่น นิ ทานเรื่ องนางนกกระต้อยตีวิดโลเล นางช้างแสนงอน นางนก กระเรี ยนคบนางนกไส้ชา้ งยุ เป็ นต้น
คุณค่ำ ๑. ด้านวัฒนธรรม ทาให้รู้เรื่ องของขนบธรรมเนียมประเพณี ในพระราชสานัก ได้แก่ ประเพณี ล อยกระทง การปฏิ บ ัติ ต ัว ของหญิ ง ชาววัง ต าแหน่ ง หน้า ที่ ข องนางนพมาศ และ การศึกษาของเด็กไทยในสมัยก่อน ๒. ด้านสังคม ให้ความรู ้เกี่ยวกับคุณสมบัติสตรี และค่านิยมทางสังคม ได้แก่ ความ ประพฤติ ความขยัน หมัน่ เพียร รวมทั้งวิชาทางช่าง ๓. ด้านภาษา มีคุณค่าทางอักษรศาสตร์ และวรรณคดี เรื่ องนี้ใช้โวหารเชิงพรรณนาได้ เป็ นอย่างดียงิ่ ทาให้อ่านและเข้าใจได้ง่าย ๔. ด้านโบราณคดี ให้ความรู ้ทางโบราณคดี เป็ นประโยชน์ในการตรวจสอบพระราชพิธี ต่าง ๆ ในรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชนิ พนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน ก็อาศัยหลักการค้นคว้าจาก ตารับท้าวศรี จุฬาลักษณ์ประกอบด้วย
๒๖
บรรณำนุกรม Kun Cool Look Natt. (2564). พัฒนาการวรรณกรรมไทย. สื บค้นเมื่อ 20 มกราคม 2564. จาก https://www.slideshare.net/kuncoollooknatt/ss-37111980
๒๗