Data Loading...

ประวัตินาฏศิลป์ไทย Flipbook PDF

ประวัตินาฏศิลป์ไทย


154 Views
107 Downloads
FLIP PDF 833.89KB

DOWNLOAD FLIP

REPORT DMCA

ประวัตินาฏศิลป์ไทย

นาฏศิลป์ไทย เป็ นศิลปวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเป็ นไทย ที่มีมาตังแต่ ้ ช้านานและได้ รับอิทธิพลแบบแผน ตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ ามาผสมผสานและนามาปรับปรุงเป็ นเอกลักษณ์ประจาชาติไทย การแสดง นาฏศิลป์ไทยเป็ นการแสดงที่มีความวิจิตรงดงาม ทังเสื ้ ้อผ้ าการแต่งกายลีลาท่าราดนตรี ประกอบและบท ร้ อง นอกจากนี ้การแสดงนาฏศิลป์ไทยยังเกิดจากการละเล่นพื ้นบ้ าน วิถีชีวิตของชาวไทยในแต่ละภูมิภาค นาฏศิลป์ไทยมีความสาคัญเป็ นอย่างยิ่งเพราะเป็ นสิ่งที่บง่ บอกถึงความเป็ นชาติไทย นักเรี ยนนาฏศิลป์ทุก คนต้ องอดทน และต้ องมีความพยายามในการฝึ กซ้ อมเพราะตัวละครในการแสดงนาฏศิลป์ไทยประเภทโขน นันมี ้ ตา่ งชนิดกัน จึงต้ องอาศัยทักษะ การฝึ กฝนเพื่อความชานาญไว้ ใช้ ในการแสดงและเพื่อที่จะได้ รักษา ศิลปะประจาชาติไทย ปั จจุบนั ได้ มีวฒ ั นธรรมตะวันตกเข้ ามาเป็ นจานวนมาก ทาให้ เด็กสมัยใหม่นี ้อาจจะไม่ ค่อยรู้จกั การแสดงนาฏศิลป์ อย่างโขน ละครรา เป็ นต้ น ดังนันกระทู ้ ้ นี ้จึงมุง่ ให้ ผ้ คู นรู้ถึง ความรู้เบื ้องต้ นของ นาฏศิลป์ไทย เพื่อให้ คนรุ่นหลังได้ สืบทอด ได้ ตระหนักถึงคุณค่าความสาคัญของนาฏศิลป์ไทยและรักษาให้ คงอยู่ตอ่ ไป

เป็ นศิลปะแห่งการละคร ฟ้อนรา และดนตรี อันมีคณ ุ สมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรื อนาฏยะ กาหนดว่าต้ อง ประกอบไปด้ วย ศิลปะ 3

3

ประการ คือ การฟ้อนรา การดนตรี และการขับร้ อง รวมเข้ าด้ วยกัน ซึง่ ทัง้

สิ่งนี ้เป็ นอุปนิสยั ของคนมาแต่ดกึ ดาบรรพ์ นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดขึ ้นจากสาเหตุตามแนวคิดต่าง ๆ

เช่น เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ไม่ว่าจะอารมณ์แห่งความสุข หรื อความทุกข์แล้ ว สะท้ อนออกมาเป็ นท่าทาง แบบธรรมชาติและประดิษฐ์ ขึ ้นเป็ นท่าทางลีลาการฟ้อนรา หรื อเกิดจากลัทธิ ความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิส์ ิทธิ์ เทพเจ้ า โดยแสดงความเคารพบูชาด้ วยการเต้ นรา ขับร้ อง ฟ้อนราให้ เกิดความพึงพอใจ เป็ นต้ น

การฟ้อนรา ที่มีสมมติฐานมาจากธรรมชาติ แต่ได้ รับการตกแต่งและปรับปรุงให้ งดงามยิ่งขึ ้น จนก่อให้ เกิด อารมณ์สะเทือนใจแก่ผ้ ดู ผู ้ ชู ม โดยแท้ จริงแล้ วการฟ้อนราก็คือ ศิลปะของการเคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ ของ มนุษย์ เช่น แขน ขา เอว ไหล่ หน้ าตา ฯลฯ ด้ วยเหตุนี ้ธรรมชาติที่เป็ นพื ้นฐานเบื ้องต้ นของการฟ้อนราจึงมา จากอิริยาบทต่าง ๆ ของมนุษย์ ได้ แก่ ยืน เดิน นัง่ นอน ฯลฯ ตามปกติการเดินของคนเราจะก้ าวเท้ าพร้ อม ทังแกว่ ้ งแขนสลับกันไปเช่นเมื่อก้ าวเท้ าซ้ ายก็จะแกว่งแขนขวาออก และเมื่อก้ าวเท้ าขวาก็จะแกว่งแขนซ้ าย ออกสลับกันเพื่อเป็ นหลักในการทรงตัว ครัน้ เมื่อนามาตกแต่งเป็ นท่าราขึ ้น ก็กลายเป็ นท่าเดินที่มีลีลาการ ก้ าวเท้ าและแกว่งแขน ให้ ได้ สดั ส่วนงดงามถูกต้ องตามแบบแผนที่กาหนด ตลอดจนท่วงทานองและจังหวะ เพลง

นาฏศิลป์ไทย เกิดมาจากอากัปกิริยาของสามัญชนเป็ นพื ้นฐาน ซึง่ โดยทัว่ ไปมนุษย์ทกุ คนย่อมมีอารมณ์ ต่างๆ ได้ แก่ รัก โกรธ โศกเศร้ า เสียใจ ดีใจ ร้ องไห้ ฯลฯ แต่ที่นา่ สังเกตก็คือ เมื่อมนุษย์มีอารมณ์อย่างหนึง่

อย่างใดเกิดขึ ้น นอกจากจะมีความรู้สกึ เกิดขึ ้นในจิตใจแล้ วยังแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ ออกมาทางกายใน ลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น รัก - หน้ าตากิริยาที่แสดงออก อ่อนโยน รู้จกั เล้ าโลม เจ้ าชู้ โกรธ - หน้ าตาบึ ้งตึง กระทืบเท้ า ชี ้หน้ าด่าว่าต่าง ๆ โศกเศร้ า,เสียใจ - หน้ าตากิริยาละห้ อยละเหี่ย ตัดพ้ อต่อว่า ร้ องไห้ สรุปได้ วา่ นาฏศิลป์ไทย เกิดมาจากกิริยาท่าทางซึง่ แสดงออกในทางอารมณ์ของมนุษย์ปถุ ชุ น อากัปกิริยา ต่าง ๆ เหล่านี ้เป็ นมูลเหตุให้ ปรมาจารย์ทางศิลปะนามาปรับปรุงบัญญัตสิ ดั ส่วนและกาหนดวิธีการขึ ้น จน กลายเป็ นท่าฟ้อนรา โดยวางแบบแผนลีลาท่าราของมือ เท้ า ให้ งดงาม รู้จกั วิธีเยื ้อง ยัก และกล่อมตัว ให้ สอดคล้ องสัมพันธ์กนั จนเกิดเป็ นท่าราขึ ้น และมีวิวฒ ั นาการปรับปรุงมาตามลาดับ จนดูประณีตงดงาม อ่อนช้ อยวิจิตรพิสดาร จนถึงขันเป็ ้ นศิลปะได้

นอกจากนี ้ นาฏศิลป์ไทย ยังได้ รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ ามาผสมผสานด้ วย เช่น วัฒนธรรมอินเดียเกี่ยวกับวัฒนกรรมที่เป็ นเรื่ องของเทพเจ้ าและตานานการฟ้อนรา โดยผ่านเข้ าสู่ประเทศ ไทย ทังทางตรงและทางอ้ ้ อม คือ ผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนามาปรับปรุงให้ เป็ นรูปแบบตาม เอกลักษณ์ของไทย เช่น ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราช ที่สร้ างเป็ นท่าการร่ายราของ พระอิศวร ซึง่ มีทงหมด ั้

108

ท่า หรื อ

108

กรณะ โดยทรงฟ้อนราครัง้ แรกในโลก ณ ตาบลจิทรัมพรัม เมืองมัทราส

อินเดียใต้ ปั จจุบนั อยูใ่ นรัฐทมิฬนาดู นับเป็ นคัมภีร์สาหรับการฟ้อนรา แต่งโดยพระภรตมุนี เรี ยกว่า คัมภีร์ภรตนาฏยศาสตร์ ถือเป็ นอิทธิพลสาคัญต่อแบบแผนการสืบสาน และการถ่ายทอดนาฏศิลป์ของ ไทยจนเกิดขึ ้นเป็ นเอกลักษณ์ของตนเองที่มีรูปแบบ แบบแผนการเรี ยน การฝึ กหัด จารี ต ขนบธรรมเนียม มาจนถึงปั จจุบนั

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศกึ ษาทางด้ านนาฏศิลป์ไทยได้ สนั นิษฐานว่า อารยธรรมทางศิลปะด้ าน นาฎศิลป์ของอินเดียนี ้ได้ เผยแพร่เข้ ามาสูป่ ระเทศไทยตังแต่ ้ สมัยกรุงศรี อยุธยาตามประวัตกิ ารสร้ างเทวาลัย ศิวะนาฎราชที่สร้ างขึ ้นในปี พ.ศ. 1800 ซึง่ เป็ นระยะที่ไทยเริ่มก่อตังกรุ ้ งสุโขทัย ดังนันท่ ้ าราไทยที่ดดั แปลง มาจากอินเดียในครัง้ แรกจึงเป็ นความคิดของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรี อยุธยา และมีการแก้ ไข ปรับปรุงหรื อ ประดิษฐ์ ขึ ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จนนามาสูก่ ารประดิษฐ์ ขึ ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จนนามาสู่ การประดิษฐ์ ท่าทางการร่ายราและละครไทยมาจนถึงปั จจุบนั

วิวฒ ั นาการนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ไทย เป็ นศิลปะประจาชาติที่มีวิวฒ ั นาการมาตังแต่ ้ สมัยสุโขทัยจนถึงปั จจุบนั และมีเอกลักษณ์ แตกต่างกันไปตามยุคสมัย จนกระทังพั ้ ฒนามาเป็ นนาฏศิลป์ระดับมาตรฐานที่มีแบบแผน และเป็ น เอกลักษณ์ของไทย

1. สมัยสุโขทัย

เป็ นการแสดงประเภทระบา รา ฟ้อน มีวิวฒ ั นาการมาจากการละเล่นของชาวบ้ าน เป็ นการ พักผ่อนหย่อนใจหลังจากเสร็ จงาน หรื อแสดงในงานบุญ งานรื่ นเริงประจาปี ปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระ ร่วงฉบับพระมหาราชาลิไทว่า “บ้ างเต้ น บ้ างรา บ้ างฟ้อน ระบาบันลือ” แสดงให้ เห็นรูปแบบของนาฏศิลป์ที่ ปรากฏในสมัยนี ้ คือ เต้ น รา ฟ้อน และระบา

2.สมัยอยุธยา

ได้ พฒ ั นาการแสดงในรูปแบบของละครรา นับเป็ นต้ นแบบของละครราแบบอื่นๆต่อมา คือ ละคร ชาตรี ละครนอก และละครใน สาหรับละครในเป็ นละครผู้หญิง แสดงเฉพาะในราชสานัก ในราชสมัยพระ เจ้ าอยูห่ วั บรมโกศนิยมแสดงเรื่ อง นิเหนา ซึง่ เจ้ าพินทวดีได้ สืบทอดท่าราต่อมาจนถึงสมัยธนบุรี

สมัยธนบุรีมีละครราของหลวงที่มีผ้ หู ญิงและผู้ชายแสดง และมีละครผู้หญิงของเจ้ านครศรี ธรรมราชส่วน นาฏศิลป์ที่เป็ นการแสดงเพื่อสมโภชพระแก้ วมรกต มีทงโขน ั ้ ละครรา ระบา และมหรสพต่างๆ

3. สมัยรัตนโกสินทร์

สมัยรัตนโกสินทร์ ระบาและรามีความสาคัญต่อราชพิธีตา่ งๆ ในรูปแบบของพิธีกรรม โดยถือปฏิบตั ิ เป็ นกฎมณเฑียรบาลมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้ น (สมัยรัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 4 ) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดรวบรวมตาราฟ้อนรา และเขียนภาพท่ารา แม่บทบันทึกไว้ เป็ นหลักฐาน มีการพัฒนาโขนเป็ นรูปแบบละครใน มีการปรับปรุงระบาสี่บท ซึง่ เป็ นระบา มาตรฐานตังแต่ ้ สโุ ขทัย ในสมัยนี ้ได้ เกิดนาฏศิลป์ขึ ้นมาหลายชุด เช่น ระบาเมขลา-รามสูร ในราชนิพนธ์ รามเกียรติ์

ราชสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย เป็ นยุคของนาฏศิลป์ไทย เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรง โปรดละครรา ท่ารางดงามตามประณีตแบบราชสานัก มีการฝึ กหัดทังโขน ้ ละครใน ละครนอกโดยได้ ฝึก ผู้หญิงให้ แสดงละครนอกของหลวงและมีการปรับปรุงเครื่ องแต่งกายยืนเครื่ องแบบละครใน

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้ าเจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ ยกเลิกละครหลวง ทาให้ นาฏศิลป์ไทยเป็ นที่ นิยมแพร่หลายในหมูป่ ระชาชน และเกิดการแสดงของเอกชนขึ ้นหลายคณะ ศิลปิ นที่มีความสามารถสืบ ทอดการแสดงนาฏศิลป์ไทยที่เป็ นแบบแผนกันต่อมา

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ มีละครราผู้หญิงในราชสานักตามเดิมและ ในเอกชนมีการแสดงละครผู้หญิงและผู้ชาย ในสมัยนี ้มีบรมครูทางนาฏศิลป์ ได้ ชาระพิธีโขนละคร ทูลเกล้ า ถวายตราไว้ เป็ นฉบับหลวง และมีการดัดแปลงการาเบิกโรงชุดประเริงมาเป็ น ราดอกไม้ เงินทอง

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั ในสมัยนี ้มีทงอนุ ั ้ รักษ์และพัฒนานาฏศิลป์ไทย เพื่อทันสมัย เช่น มีการพัฒนาละครในละครดึกดาบรรพ์ พัฒนาละครราที่มีอยูเ่ ดิมมาเป็ นละครพันทาง และละครเสภา และได้ กาหนดนาฏศิลป์เป็ นที่บทระบาแทรกอยูใ่ นละครเรื่ องต่างๆ เช่น ระบาเทวดานางฟ้า ในเรื่ องกรุงพาณชมทวีป ระบาตอนนางบุษบากับนางกานันชมสารในเรื่ องนิเหนา ระบาไก่ เป็ นต้ น

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั เป็ นศิลปะด้ านนาฏศิลป์ เจริญรุ่งเรื องมาก พระองค์โปรด ให้ ตงกรมมหรสพขึ ั้ ้น มีการทานุบารุงศิลปะทางโขน ละคร และดนตรี ปี่พาทย์ ทาให้ ศลิ ปะทาให้ มีการฝึ กหัด อย่างมีระเบียบแบบแผน และโปรดตังโรงเรี ้ ยนฝึ กหัดนาฏศิลป์ในกรมมหรสพ นอกจากนี ้ ยังได้ มีการ ปรับปรุงวิธีการแสดงโขนเป็ นละครดึกดาบรรพ์เรื่ องรามเกียรติแ์ ละได้ เกิดโขนบรรดาศักดิท์ ี่มหาดเล็กแสดงคู่ กับโขนเชลยศักดิท์ ี่เอกชนแสดง

รัชสมัยสมเด็จพระปกเกล้ าเจ้ าอยูห่ วั โปรดให้ มีการจัดตังศิ ้ ลปากรขึ ้นแทนกรมมหรสพที่ถกู ยุบไป ทาให้ ศลิ ปะโขน ละคร ระบา รา ฟ้อน ยังคงปรากฏอยู่ เพื่อเป็ นแนวทางในการอนุรักษ์ และพัฒนาสืบต่อไป

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั อานันทมหิดล หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีของกรมศิลปาการ ได้ ก่อตังโรงเรี ้ ยนนาฏดุริยางคศาสตร์ ขึ ้นมา เพื่อปกกันไม่ให้ ศลิ ปะทางด้ านนาฏศิลป์สูญหายไป

ในสมัยนี ้ได้ เกิดละครวิจิตร ซึง่ เป็ นละครปลุกใจให้ รักชาติ และเป็ นการสร้ างแรงจูงใจให้ คนไทยหัน มาสนใจนาฏศิลป์ไทย และได้ มีการตังโรงเรี ้ ยนนาฏศิลป์แทนโรงเรี ยนนาฏดุริยางคศาสตร์ ซึง่ ถูกทาลาย ตอนสงครามโลกครัง้ ที่ 2 เพื่อเป็ นสถานศึกษานาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ของทางราชการ และเป็ นการทุ บารุง เผยแพร่นาฏศิลป์ไทยให้ เป็ นที่ยกย่องนานาอารยประเทศ

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยูห่ วั ภูมิพลอดุลยเดช นาฏศิลป์ ละคร ฟ้อน รา ได้ อยู่ในความรับผิดชอบ ของรัฐบาล ได้ มีการส่งเสริมให้ ผ้ เู ชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยคิดประดิษฐ์ ทา่ รา ระบาชุดใหม่ ได้ แก่ ระบาพม่า ไทยอธิษฐาน

ปั จจุบนั ได้ มีการนานาฏศิลป์นานาชาติมาประยุกต์ใช้ ในการประดิษฐ์ ทา่ รา รูปแบบของการแสดง มีการนา เทคนิคแสง สี เสียง เข้ ามาเป็ นองค์ประกอบในการแสดงชุดต่างๆ ปรับปรุงลีลาท่าราให้ เหมาะสมกับฉาก บนเวทีการแสดงมีการติดตังอุ ้ ปกรณ์ที่ทนั สมัย ทังระบบม่ ้ าน ฉาก แสง ควบคุมด้ วยระบบคอมพิวเตอร์ มี ระบบเสียงที่สมบูรณ์ มีเครื่ องฉายภาพยนตร์ ประกอบการแสดง และเผยแพร่ศลิ ปกรรมทุกสาขานาฏศิลป์ และสร้ างนักวิชาการและนักวิจยั ในระบบสูง โดยมีการเปิ ดสอนนาฏศิลป์ไทยในระดับปริญญาเอกอีกหลาย แห่ง