Data Loading...

วรรณกรรมเรื่อง มัทนพาธา Flipbook PDF

ประวัติและเรื่องย่อของวรรณกรรมเรื่อง มัทนพาธา


120 Views
105 Downloads
FLIP PDF 328.67KB

DOWNLOAD FLIP

REPORT DMCA

ตานานรักดอกกุหลาบ มัทนะพาธา

คานา มัทนะพาธาเป็ นวรรณคดีประเภท บทละครพูดคาฉันท์ ที่มีคุณค่าและน่ายกย่อง ทั้งด้าน เรื่ องเนื้อหา ภาษา และรสวรรณคดี เป็ นเรื่ องที่ได้รับการยอมรับและได้รับการยกย่องอย่าง แพร่ หลาย จึงจัดทาวรรณคดี เรื่ องนี้ข้ ึนมา เพื่อให้หลายๆคนได้เรี ยนรู ้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับ วรรณคดีเรื่ องนี้มากยิง่ ขึ้น ทั้งด้านประวัติของเรื่ อง เนื้อหา ที่มา และประวัติของผูแ้ ต่งอีกด้วย อีก ทั้งยังมีการพูดถึงบ่อเกิดของคาฉันท์ประเภทต่างๆให้ได้เรี ยนรู ้เพิ่มเติม ผูจ้ ดั ทาหวังว่าการจัดทา ในครั้งนี้จะเป็ นประโยชน์ให้แก่ผอู ้ ื่นและตัวผูจ้ ดั ทาไม่มากก็นอ้ ย หากิดพลาดประการใดต้องขอ อภัยมา ณ โอกาสนี้

สารบัญ เรื่ อง

หน้า

ที่มาของเรื่ อง มัทนาธา

1

ประวัติผแู้ ต่ง

2

บ่อเกิดคาฉันท์

1–4

เนื้อเรื่ องย่อ

5–6

บทวิเคราะห์

7 – 11

สรุ ป

12

อ้างอิง

13

1

ทีม่ าของเรื่อง มัทนะพาธา เป็ นบทละครพูดคาฉันท์ ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงพระราชนิพนธ์ ขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2466 ขณะที่ทรงพระประชวร และประทับอยูพ่ ระราชวังพญาไท และทรงพระราชนิพนธ์เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2466 นับได้วา่ ใช้เวลาแต่งเพียง 1 เดือน 17วันเท่านั้น มัทนะพาธานับได้วา่ เป็ นพระราชนิพนธ์ที่แต่งขึ้นตามจินตนาการของ พระองค์เท่านั้น มิได้อา้ งอิงหรื อคัดลอกมาจากเรื่ องอื่นใด โดยวางโครงเรื่ องเป็ นบทละครพูดคา ฉันท์ 5 องค์ เหตุการณ์ท้ งั หมดถูกสมมติข้ ึนที่ประเทศอินเดียในสมัยโบราณ โดยเนื้อหาจะ ชี้ให้เห็นปัญหาความเดือดร้อนที่อนั เนื่องมาจากความรัก เสน่ห์ของมัทนะพาธาก็จะอยูท่ ี่เรื่ อง ความเจ็บปวดจากความรักที่มีส่วนเกี่ยวข้องของบุคคลมากกว่าสองคน “มัทนะพาธา”แปลว่า ความเจ็บปวดหรื อเดือดร้อนแห่งความรัก พระองค์ทรงกล่าวถึงที่มาของชื่อ มัทนาว่า “...ก่อนได้ ทราบว่าดอกกุหลาบเรี ยกว่าอย่างไรในภาษาสันสกฤตนั้น ข้าพเจ้าได้นึกไว้วา่ จะให้ชื่อนางเอกใน เรื่ องนี้ตามนามแห่งดอกไม้ แต่เมื่อได้ทราบแล้วว่าดอกกุหลาบ คือ “กุพชกะ” เลยต้องเปลี่ยน ความคิด เพราะถ้าแม้วา่ จะให้ชื่อนางว่า “กุพชกะ” ก็จะกลายเป็ นนางค่อมไป ข้าพเจ้าจึงค้นหาดู ศัพท์ต่างๆ ที่พอจะใช้เป็ นนามสตรี ตกลงเลือกเอา “มัทนา” จากศัพท์ “มทน” ซึ่งแปลว่าความลุ่ม หลงหรื อความรัก เผอิญในขณะที่คน้ นั้นเองก็ได้พบศัพท์ “มทนพาธา” ซึ่งโมเนียร์ วิลเลียมส์ แปลไว้วา่ “the pain or disquietude of love” (ความเจ็บปวดหรื อเดือดร้อนแห่งความรัก” ซึ่ง ข้าพเจ้าได้ฉวยเอาทันที เพราะเหมาะกับลักษณะแห่งเรื่ องที่เดียว เรื่ องนี้จึงได้นามว่า “มัทนะ พาธาหรื อตานานแห่งดอกกุหลาบ” ด้วยประการฉะนี้....” มัทนพาธาแบ่งเป็ น 2 ภาค คือภาค สรรค์และภาคพื้นดิน พระราชนิพนธ์เรื่ องนี้ได้ถูกรับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในด้านเป็ น ยอดบทละครพูดคาฉันท์ ที่เต็มไปด้วยการบรรยายที่ไพเราะใช้ภาษางดงาม การดาเนินเรื่ องอย่าง โศกนาฏกรรมที่ครบถ้วนทั้งรสแห่งรัก รสแห่งความโกรธเคือง รสแห่งความอัศจรรย์ และ รส แห่งความสุ ข อันเป็ นรสที่จบั ใจอย่างยิง่ และมัทนะพาธายังเป็ นได้รับเลือกให้เป็ นหนึ่งใน หนังสื อดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ประเภทบันเทิงคดีอีกด้วย

2

ประวัติผ้ ูแต่ ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 6 มีพระนามเดิมว่ามหาวชิราวุธ เป็ น โอรสองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 1 มกราคม 2423 ทรงศึกษาในประเทศไทยจนพระชนมายุได้ 14 พรรษา ก็เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ต่อมาเสด็จนิวตั ิประเทศไทยเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2438 เพื่อรับการสถาปนาเป็ นเจ้าฟ้ ามหา วชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร ( ผูท้ ี่จะได้เป็ นพระมหากษัตริ ยอ์ งค์ต่อไป ) และทรงกลับไปศึกษา วิชาทหาร ณ โรงเรี ยนทหารบกที่แซนด์เฮิซต์ เมื่อ พ.ศ. 2443 ได้เข้าศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และ วิชากฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ทรงพระปรี ชาสามารถทางด้านอักษรศาสตร์เป็ น พิเศษ จนแต่งบทละครเป็ นภาษาอังกฤษได้ เมื่อสาเร็จการศึกษา พระองค์ทรงเสด็จประพาส ยุโรปก่อน แล้วจึงเสด็จนิวตั ิประเทศไทย เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 ขณะมีพระชนมายุ 30 พรรษา สวรรคตเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2468 ( ครองราชย์ 15 ปี พระชนมายุ 45 พรรษา) วัตถุประสงค์ในการพระราช นิพนธ์ เรื่ อง มัทนะพาธา ทรงตั้งพระทัยเพื่อเป็ นหนังสื ออ่านกวีนิพนธ์ที่สนุกสนานในด้าน เนื้อหา และเป็ นคติสอนใจให้เห็นถึงอานุภาพของความรัก ผลงานพระราชนิพนธ์ : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงมีพระปรี ชาสามารถ ทางด้านอักษรศาสตร์เป็ นเลิศ จึงทรงมีพระราชนิพนธ์ท้ งั ร้อยแก้วและร้อยกรอง กว่า 200 เรื่ อง เช่น เรื่ องศกุนตรา รามเกียรติ์ บทละครเรื่ องเวนิสวานิช เป็ นต้น ในงานพระราชนิพนธ์ทรงใช้ นามปากกาว่า อัศวพาหุ รามจิตติ พันแหลม ศรี อยุธยานายแก้วนายขวัญ พระขรรค์เพชร นายแก้ว ณ อยุธยา น้อยลา ท่านราม ณ กรุ งเทพ สาหรับบทละครพูดคาฉันท์ เรื่ อง มัทนะพาธา ได้รับการ ยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็ นยอดของบทละครพูดคาฉันท์นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกลาเจ้าอยูห่ วั ยังทรงได้รับพระราชสมัญญานามว่า “พระมหาธีรราชเจ้า” ซึ่งมีความหมาย ว่า “นักปราชญ์ผยู ้ งิ่ ใหญ่”

3

บ่ อเกิดคาฉันท์ ฉันท์ เป็ นคาประพันธ์ของไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจาอินเดีย ต้นกาเนิดของ ฉันท์ นั้น เกิดขึ้นในสมัยพระเวท เมื่อราวๆ 4 พันปี ที่แล้ว แต่ในไทยเริ่ มปรากฏกาพย์ โคลง ฉันท์ ในสมัย อยุธยาตอนต้น (สมัยพระเจ้าทรงธรรม) แต่มารุ่ งเรื่ องในสมัยพระนารายณ์ ฉันท์เริ่ มปรากฏขึ้น ในหนังสื อมหาชาติคาหลวง แต่เรื่ องที่แต่งโตยใช้ฉนั ท์ลว้ น คือ เรื อสมุทรโฆษคาฉันท์ ของ มหาราชครู ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฉันท์ถือครุ ลหุเป็ นข้อบังคับสาคัญ แต่ถา้ พิจารณาจากหนังสื อในสมัยโบราณนั้น จะเห็นว่าจะไม่มีการบังคับครุ ลหุอย่างเคร่ งครัดนัก บทละครพูดคาฉันท์ในเรื่ องมัทนะพาธา เป็ นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั โดยมีลกั ษณะคาประพันธ์หลายชนิดดังนี้

ลักษณะคาประพันธ์ ลักษณะคาประพันธ์ : บทละครพูดคาฉันท์ เรื่ อง มัทนะพาธา ประกอบด้วยคาประพันธ์หลาย ชนิดดังนี้ 1. กาพย์ 3 ชนิด คือ กาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16 และกาพย์สุรางคนางค์ 28 2. ฉันท์ 21 ชนิด เช่น วิชชุมมาลาฉันท์ 8 อินทรวิเชียรฉันท์ 11 อุปชาติฉนั ท์ 11 ภุชงคประยาต ฉันท์ 12 อินทวงศ์ฉนั ท์ 12 วสันตดิลกฉันท์ 14 เป็ นต้น

คาประพันธ์ ประเภทกาพย์ 3 ชนิด 1. กาพย์ยานี 11 2. กาพย์สุรางคณางค์ 28 3. กาพย์ฉบัง 16

4

คาประพันธ์ ประเภทฉันท์ 21 ชนิด 1. อินทรวิเชียรฉันท์ 11 2. ภุชงคปะยาตฉันท์ 12 3. วิชชุมมาลาฉันท์ 8 4. สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 19 5. วสันตดิลกฉันท์ 14 6. อินทวงส์ฉนั ท์ 12 7. กมลฉันท์ 12 8. สาลินีฉนั ท์ 11 9. อุปชาติฉนั ท์ 11 10. จิตรปทาฉันท์ 8 11. อุปัฏฐิตาฉันท์ 11 12. สัทธราฉันท์ 21 13. มันทักกันตาฉันท์ 17 14. เมฆวิปผุชชิตาฉันท์ 19 15. โตฏกฉันท์ 12 16. อีทิสังฉันท์ 20 17. กุสุมิตลดาฉันท์ 18 18. จิตรปทาฉันท์ 8 19. รโธทธตาฉันท์ 11 20. สวาคตาฉันท์ 11 21. ปิ ยวทาฉันท์ 12

5

เนือ้ เรื่องย่ อ มัทนะพาธา ภาคสวรรค์ - กล่าวถึงสุ เทษณ์เทพบุตร ซึ่งในอดีตชาติน้ นั คือกษัตริ ยแ์ คว้นปัญจาล และนางมัทนา ซึ่ง ในอดีตชาติเป็ นราชธิดาในกษัตริ ยแ์ คว้นสุ ราษฎร์ ซึ่งทั้งคู่ได้มาเกิดใหม่บนสวรรค์ สุ เทษณ์ เทพบุตรใฝ่ ปองรักนางฟ้ ามัทนา แต่กไ็ ม่อาจจะสมรักด้วยกรรมที่เคยทามาแต่อดีต ทาให้ไร้ซ่ ึง ความสุ ขอย่างยิง่ สุ เทษณ์เทพบุตร จึงได้ให้วทิ ยาธรนามว่า "มายาวิน" ใช้เวทมนตร์คาถาไป สะกดเอานางมัทนาเข้ามาหา ก่อนที่มายาวินจะใช้เวทมนตร์เรี ยกนางมัทนา ได้ทูลสุ เทษณ์ เทพบุตรว่า การที่พระองค์ไม่อาจจะสมรักกับมัทนาได้ เป็ นเพราะเมื่อชาติปางก่อน เมื่อพระองค์ เป็ นกษัตริ ยแ์ คว้นปัญจาลนั้น พระองค์ได้ไปสู่ ขอมัทนาจากกษัตริ ยแ์ คว้นสุ ราษฎร์ผเู ้ ป็ นพระราช บิดา แต่ทา้ วสุ ราษฎร์ไม่ให้ จึงเกิดรบกันขึ้น ในที่สุดท้าวสุ เทษณ์แห่งแคว้นปั ญจาลก็ชนะ จับท้าว สุ ราษฎร์เป็ นเชลย และจะประหารชีวติ เสี ย แต่นางมัทนาเข้ามาขอชีวติ พระราชบิดาไว้ และยอม เป็ นบาทบริ จาริ กา ก่อนที่นางจะใช้พระขรรค์ปลงพระชนม์ตนเอง เมื่อสิ้ นพระชนม์แล้ว นางมัท นาก็ไปเกิดเป็ นเทพธิดาบนสวรรค์ ส่ วนท้าวสุ เทษณ์กไ็ ด้ทาพลีกรรมบาเพ็ญจนได้มาเกิดบน สวรรค์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สุ เทษณ์เทพบุตรก็ยงั ยืนยันจะให้มายาวินลองวิชาดูก่อน มายาวินจึงเรี ยกเอามัทนา มาด้วยวิชาอาคม เมื่อมัทนามาแล้ว ด้วยมนต์ที่ผกู ไว้ ทาให้ไม่วา่ สุ เทษณ์เทพบุตรจะถามอย่างไร มัทนาก็ตอบตามเป็ นคาถามย้อนไปอย่างนั้น เหมือนไม่มีสติ สุ เทษณ์เทพบุตรขัดใจนักก็ให้มายา วินคลายมนต์ ครั้นมนต์คลายแล้ว มัทนาก็ตกใจที่ตนล่วงเข้ามาในวิมานของสุ เทษณ์เทพบุตรโดย ไม่รู้ตวั สุ เทษณ์เทพบุตรพยายามจะฝากรักมัทนา แต่มทั นามิรักตอบ จะอย่างไรๆก็ไม่ยอมรับรัก จนสุ เทษณ์เทพบุตรกริ้ วจัด สาปส่ งให้นางลงไปเกิดเป็ น ดอกกุพชกะ คือ ดอกกุหลาบ อยูใ่ นแดน มนุษย์ และจะกลับคืนเป็ นคนได้กต็ ่อเมื่อวันเพ็ญ เพียง 1 วัน 1 คืนเท่านั้น แล้วจะกลับคืนเป็ น กุหลาบดังเดิม แต่หากนางได้รักบุรุษใดแล้ว เมื่อนั้นจึงจะคงรู ปมนุษย์อยูไ่ ด้ และหากเมื่อใดที่ นางมีทุกข์เพราะรัก ก็จงขอประทานโทษมายังพระองค์พระองค์จะยกโทษให้

6

ภาคพืน้ ดิน - มัทนาได้ไปเกิดเป็ นดอกกุหลาบอยูใ่ นป่ าหิมวัน ในป่ านั้นมีพระฤๅษีนามกาละทรรศิ นพร้อมด้วยศิษย์ท้ งั หลาย พระกาละทรรศินได้เห็นกุหลาบมัทนาก็ชอบใจ สั่งให้ศิษย์ขดุ เอา กุหลาบมัทนาไปปลูกใหม่ไว้ใกล้อาศรม เมื่อถึงคืนวันเพ็ญ มัทนาก็กลายเป็ นร่ างมนุษย์มาคอยรับ ใช้พระกาละทรรศินและศิษย์ท้ งั หลาย คอยปรนนิบตั ิเรื่ อยมา พระกาละทรรศินก็รักมัทนาเหมือน ลูกตัว ต่อมาวันหนึ่ง ท้าวชัยเสนผูค้ รองนครหัสดิน ได้เสด็จประพาสป่ า ผ่านมายังอาศรมพระกา ละทรรศิน ประจวบกับเป็ นคืนวันเพ็ญ ก็ได้พบกับนางมัทนา ทั้งสองฝ่ ายต่างรักกัน พระกา ละทรรศินก็จดั พิธีอภิเษกให้ และนางมัทนาก็ได้เดินทางไปกับท้าวชัยเสน เข้าไปยังกรุ งหัสดิน โดยไม่ได้กลับเป็ นดอกกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนหลงรักนางมัทนามาก จนกระทัง่ ลืมมเหสี ของตน คือนางจัณฑี พระมเหสี จณ ั ฑีหึงหวงนางมัทนา ทั้งอิจฉาริ ษยาเป็ นอันมาก ก็ทาอุบายใส่ ร้ายนาง มัทนาว่าเป็ นชูก้ บั ทหารเอกท้าวชัยเสนนามว่าศุภางค์ และยุยงท้าวมคธพระราชบิดาให้มาตีเมือง หัสดิน ท้าวชัยเสนออกไปรบ ครั้นเมื่อกลับมาได้ข่าวว่ามัทนาลอบเป็ นชูก้ บั ศุภางค์กก็ ริ้ วจัด สั่ง ประหารมัทนาเสี ยทันที แต่เพชฌฆาตได้ปล่อยนางหนีไปเพราะความสงสาร ส่ วนศุภางค์น้ นั ด้วยความจงรักภักดีต่อท้าวชัยเสน ก็ออกสนามรบกับท้าวชัยเสนเป็ นครั้งสุ ดท้ายในฐานะไพร่ ทหารเลว และตายในที่รบ มัทนาหนีกลับมายังป่ าหิมวัน และได้ทาพลีกรรม์บูชาสุ เทษณ์เทพบุตร จนสุ เทษณ์เทพบุตรเสด็จ มา และเอ่ยปากจะช่วยให้คืนสวรรค์ สุ เทษณ์เทพบุตรได้ขอความรักจากนางอีก แต่มทั นามิ สามารถจะรักใครได้อีกแล้ว และปฏิเสธไป สุ เทษณ์เทพบุตรกริ้ วนัก จึงสาปนางให้เป็ นกุหลาบ ไปตลอดชีวติ ฝ่ ายท้าวชัยเสน ต่อมาเมื่อรบชนะท้าวมคธ และได้รู้ความจริ งทั้งหมด ก็กริ้ วพระ มเหสี จณ ั ฑีมาก และได้ลงอาญาไป ก่อนจะออกไปตามหามัทนาในป่ า แต่สิ่งที่พบ ก็เพียงแต่ กุหลาบกอใหม่อนั ขึ้นอยูย่ งั กองกูณฑ์บูชาสุ เทษณ์เทพบุตรเท่านั้น ท้าวชัยเสนทาอะไรไม่ได้อีก ต่อไป แต่ดว้ ยความรักสุ ดจะรัก จึงนากุหลาบมัทนากลับไปปลูกใหม่ยงั สวนขวัญกรุ งหัสดิน

7

บทวิเคราะห์ 1. คุณค่ าด้ านเนือ้ หา โครงเรื่ อง เป็ นบทละครพูดคาฉันท์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงคิด โครงเรื่ องเอง ไม่ได้ตดั ตอนมาจากวรรณคดีเรื่ องใด แก่นสาคัญของเรื่ องมีอยู่ 2 ประการ คือ 1) ทรงปราถนาจะกล่าวถึงตานานดอกกุหลาบ ซึ่งเป็ นดอกไม้ที่สวยงาม แต่ไม่เคยมีตานานใน เทพนิยาย จึงพระราชนิพนธ์ให้ดอกกุหลาบมีกาเนิดมาจากนางฟ้ าที่ถูกสาปให้จุติลงมาเกิดเป็ น ดอกไม้ชื่อว่า "ดอกกุพฺชกะ" คือ "ดอกกุหลาบ" 2) เพื่อแสดงความเจ็บปวดอันเกิดจากความรัก ทรงแสดงให่เห็นว่าความรักมีอนุภาพอย่างยิง่ ผูใ้ ดมีความรักก็อาจเกิดความหลงขึ้นตามมาด้วย ทรงใช้ชื่อเรื่ องว่า "มัทนะพาธา" อันเป็ นชื่อของ ตัวละครเอกของเรื่ อง ซึ่งมีความหมายว่า "ความเจ็บปวดหรื อความเดือดร้อนอันเกิดจากความ รัก" มีการผูกเรื่ องให้มีความขัดแย้งซึ่งเป็ นปมปัญหาของเรื่ อง คือ 2.1 สุ เทษณ์เทพบุตรหลงรักนางมัทนา แต่นางไม่รับรักตอบจึงสาปนางเป็ นดอกกุพฺชกะ (กุหลาบ) 2.2 นางมัทนาพบรักกับท้าวชัยเสน แต่กต็ อ้ งพบกับอุปสรรคเพราะนางจันทีมเหสี ของท้าวชัย เสนวางอุบายให้ทา้ วชัยเสนเข้าใจนางมัทนาผิด สุ ดท้ายนางมัทนาได้มาขอความช่วยเหลือจากสุ เทษณ์เทพบุตร และสุ เทษณ์เทพบุตรขอความรักนาง อีกครั้งแต่นางปฏิเสธช่นเคย เรื่ องจึงจบลง ด้วยความสู ญเสี ยและความเจ็บปวดด้วยกันทุกฝ่ าย

8

2. คุณค่าด้ านวรรณศิลป์ 1. การใช้ถอ้ ยคาและรู แบบคาประพันธ์เหมาะสมกับเนื้อหา ทาให้ผอู ้ ่านเกิดความรู ้สึกคล้อยตาม เกิดความประทับใจอยากติดตามอ่าน เช่น เมื่อมายาวินเล่าเรื่ องราวในอดีตถวายสุ เทษณ์วา่ เหตุ ใดมัทนาจึงไม่รักสุ เทษณ์ กวีเลือกใช้อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ที่มีท่วงทานองเร็วเหมาะแก่การเล่า ความ หรื อบรรยายเรื่ อง ส่ วนเนื้อหาตอนสุ เทษณ์ฝากรักนางมัทนานั้นใช้วสันตดิลกฉันท์ ซึ่งมี ท่วงทานองที่อ่อนหวาน เมื่อสุ เทษณ์กริ้ วนางมัทนาก็ไช้ กมลฉันท์ ซึ่งมีคาครุ ลหุที่มีจานวน เท่ากันแต่ข้ ึนต้นด้วยคาลหุ จึงมีทานองประแทกกระทั้นถ่ายทอดอารมณ์โกรธเกรี้ ยวได้ดี ดัง ตัวอย่าง มะทะนาชะเจ้าเล่ห์ ชิชิช่างจานรรจา,.... .................................... ก็และเจ้ามิเต็มจิต จะสดับดนูชวน, ผิวะให้อนงค์นวล ชนะหล่อนทนงใจ. บ่มิยอมจะร่ วมรัก และสมัครสมรไซร้, ก็ดะนูจะยอมให้ วนิดานิวาศสวรรค์,.... 2. การใช้โวหาร กวีใช้อุปมาโวหารในการกล่าวชมความงามของนางมัทนาทาให้ผอู ้ ่านมองเห็น ภาพความงามของมัทนาเด่นชัดขึ้น ดังตัวอย่าง งามผิวประไพผ่อง กลทาบศุภาสุ พรรณ งามแก้มแฉล้มฉัน พระอรุ ณแอร่ มละลาน งามเกศะดาขา กลน้ า ณ ท้องละหาน งามเนตรพินิจปาน สุ มณี มะโนหะรา งามทรวงสล้างสอง วรถันสุ มนสุ มาลีเลิดประเสริ ฐกว่า วรุ บลสะโรชะมาศ งามเอวอนงค์ราว สุ ระศิลปชาญฉลาด

9

เกลากลึงประหนึ่งวาด วรรู ปพิไลยพะวง งามกรประหนึ่งงวง สุ ระคชสุ เรนทะทรง นวยนาฏวิลาศวง ดุจะราระบาระเบง ซ้ าไพเราะน้ าเสี ยง อรเพียงภิรมย์ประเลง, ได้ฟังก็วงั เวง บ มิวา่ งมิวายถวิล นางใดจะมีเทียบ มะทะนา ณ ฟ้ า ณ ดิน เป็ นยอดและจอดจิน- ตะนะแน่ว ณ อก ณ ใจ 3. การใช้ลีลาจังหวะของคาทาให้เกิดความไพเราะ กวีมีความเชี่ยวชาด้านฉันทลักษณ์อย่างยิง่ สามารถแต่งบทเจรจาของตัวละครให้เป็ นคาฉันท์ได้อย่างดีเยีย่ ม อีกทั้งการใช้ภาษาก็คมคาย โดย ที่บงั คับฉันทลักษณ์ ครุ ลหุ ไม่เป็ นอุปสรรคเลย เช่น บทเกี้ยวพาราสี ต่อไปนี้ แต่งด้วยวสันตดิลก ฉันท์ 14 มีการสลับตาแหน่งของคา ทาให้เกิดความไพเราะได้อย่างยอดเยีย่ ม สเทษณ์ : พี่รักและหวังวธุจะรัก และบทอดบทิ้งไป มัทนา : พระรักสมัครณพระหทัย ฤจะทอกจะทิ้งเสี ย? สุ เทษณ์ : ความรักละเหี่ยอุระระทด เพราะมิอาจจะคลอเคลีย มัทนา : ความรักระทดอุระละเหี่ย ฤจะหายเพราะเคลียคลอ 4. การใช้คาที่มีเสี ยงไพเราะ อันเกิดจากการเล่นเสี ยงสัมผัสคล้องจอง และการหลากคาทาให้เกิด ความไพเราะ เช่น ตอนมายาวินร่ ายมนตร์

10

3. คุณค่าด้ านสังคม 1. สอดแทรกความคิดเกี่ยวกับความเชื่อในสังคมไทย เช่น 1.1 ความเชื่อเรื่ องชาติภพ 1.2 ความเชื่อเรื่ องการทาบุญมากๆ จะได้ไปเกิดในสวรรค์ และเสวยสุ ขในวิมาน 1.3 ความเชื่อเรื่ องทากรรมสิ่ งใดย่อมได้รับผลกรรมนั้น 1.4 ความเชื่อเรื่ องเวทมนตร์คาถา การทาเสน่ห์เล่ห์กล 2. แสดงกวีทศั น์ โดยแสดงให้เห็นว่า "การมีรักเป็ นทุกข์อย่างยิง่ " ตรงตามพุทธวัจนะที่วา่ "ที่ใดมี รักที่นนั่ มีทุกข์" เช่น 2.1 สุ เทษณ์รักนางมัทนาแต่ไม่สมหวังก็เป็ นทุกข์ แม้เมื่อได้เสวยสุ ขเป็ นเทพบุตรก็ยงั รักนางมัทนาอยู่ จึงทาทุกอย่างเพื่อให้ได้นางมาแต่ไม่สมหวังก็พร้อมที่จะทาลาย ความรักเช่นนี้ เป็ นความรักที่เห็นแก่ตวั ควรหลีกหนีให้ไกล 2.2 ท้าาสุ ราษฎร์รักลูกและรักศักดิ์ศรี พร้อมที่จะปกป้ องศักดิ์ศรี และลูกแม้จะสู ้ไม่ได้และต้อง ตายแน่นอนก็พร้อมที่จะสู ้ เพราะรักของพ่อแม่เป็ นรักที่ลริ สุทธิ์และเที่ยงแท้ 2.3 นางมัทนารักบิดา นางยอมท้าวสุ เทษณ์เพื่อปกป้ องบิดา รักศักดื์ศรี และรักษาสัจจะ เมื่อทา ตามสัญญาแล้วจึงฆ่าตัวตาย รักของนางมัทนาเป็ นความรักที่แท้จริ งมัน่ คง กล้าหาญและเสี ยสละ 2.4 ท้าวชัยเสนและนางจันที เป็ นความรักที่มีความใคร่ และความหลงอยูด่ ว้ ยจึงมีความรู ้สึกหึง หวง โกรธแค้นเมื่อถูกแย่งชิงคนรัก พร้อมที่จะต่อสู ้ทาลายทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับคืนมา ตัวละครทั้งหมดในเรื่ องประสบแต่ความทุกระทมจากความรัก มีรักแล้วรักไม่สมหวังก็เป็ นทุกข์ อยูก่ บั คนที่ไม่รักก็เป็ นทุกข์ มีรักแล้วไม่ได้อยูก่ บั คนรักก็เป็ นทุกข์ มีความรักแล้วถูกแย่งคนรักก็ เป็ นทุกข์ มีรักแล้วพลัดพรากจากสิ่ งที่รักก็เป็ นทุกข์แก่นของเรื่ องมัทนะพาธาแสดงให้เห็นว่า ผูท้ ี่ มีความรักต้องเจ็บปวดจากความรักทั้งสิ้ น 3. ให้ขอ้ คิดในการครองตน หญิงใดอยูใ่ นฐานะอย่างนางมัทนาจะต้องมีความระมัดระวังตัว หลีก หนีจากผูช้ ายมาราคะให้ไกล กวีจึงกาหนดให้ทางมัทนาถูกสาปกลายเป็ นดอกไม้ชื่อดอกกฺุชกะ

11

(กุหลาบ) ซึ่งสวยงามมีหนามแหลมคมเป็ นเกราะป้ องกันตนให้พน้ จากมือผูท้ ี่ปรารถนาจะหัก หาญรานกิ่งหรื อเด็ดดอกไปเชยชม ดอกกุหลาบจึงเป็ นสัญลักษณ์แทนหญิงสาวที่มีรูปสวยย่อม เป็ นที่หมายปองของชายทัว่ ไป หนามแหลมคมเปรี ยบเหมือนสติปัญญา ดังนั้นถ้าหญิงสาวที่รูป งามและมีความเฉลียวฉลาดรู ้ทนั เล่ห์เหลี่ยม ย่อมสามารถเอาตัวรอดจากผูท้ ี่หมายจะหยามเกียรติ หรื อหมิ่นศักดิ์ศรี ได้ 4. ให้ขอ้ คิดในเรื่ องการมีบริ วารที่ขาดคุณธรรมอาจทาให้นายประสบหายนะได้ เช่น บริ วารของ ท้าวสุ เทษณ์ที่เป็ นคนธรรพ์ ชื่อจิตระเสนมีหน้าที่บารุ งบาเรอให้เจ้านายมีความสุ ข มีความพอใจ ดังนั้นจึงทาทุกอย่างเพือ่เอาใจผูเ้ ป็ นเจ้านาย เช่น แสวงหาหญิงงามมาเสนอสนองกิเลสตัณหาของ เจ้านาย ให้วทิ ยาธรชื่อมายาวินใช้เวทมนตร์สะกดนางมัทนามาให้ทา้ วสุ เทษณ์ บริ วารลักษณะ อย่างนี้มีมากในสังคมจริ ง ซึ่งมีส่วนให้นาย หรื อประเทศชาติ ประสบความเดือดร้อนเสี ยหายได้ บทละครพูดคาฉันท์ เรื่ อง มัทนะพาธาถือเป็ นวรรณคดีเรื่ องเยีย่ มและได้รับการยกย่องจาก วรรณคดีสโมสรให้เป็ นแบบอย่างของบทละครพูดคาฉันท์ โดยวรรณคดีเรื่ องนี้ให้ความ เพลิดเพลินจากเนื้อหาที่ชวนติดตาม และวรรณศิลป์ อันไพเราะแล้วยังให้ขอ้ คิดเกี่ยวกับความรัก อย่างน่าสนใจ จึงควรศึกษาวรรณคดีเรื่ องนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการอ่าน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

12

สรุป จากเรื่ องมัทนาธา จะเห็นได้ชดั ว่าตัวละครล้วนมีการแบ่งชนชั้นวรรณะกัน จึงทาให้ตวั ละครมัทนาเป็ นตัวละครที่ไร้สิ้นทางสู ้ ถึงแม้วา่ ตัวนางมัทนาจะมิได้ทาอะไรผิดแต่กย็ งั ถูกรับ โทษอยูด่ ี นัน่ เป็ นเพราะว่านางไม่ได้มีอานาจหรื อชนชั้นที่สูงกว่าผูอ้ ื่น ไม่วา่ จะเป็ นสุ เทษณ์เทพ หรื อพระชัยเสน ล้วนแล้วแต่มีอานาจและชนชั้นที่สูงกว่า จึงถือได้วา่ อยูเ่ หนือกว่าและสามารถทา สิ่ งตามใจชอบได้ ถึงแม้ตนเองจะมีความผิดก็มิได้ถูกรับโทษ เปรี ยบเสมือนกับมนุษย์และใน สังคมยุคปัจจุบนั เพียงแค่มีอานาจและชนชั้นที่สูงกว่าก็มกั จะกดคนที่อยูช่ ้ นั ผูน้ อ้ ยเสมอ จากตัวละครเรื่ องมัทนะพาธาสะท้อนให้เห็นกิเลสของตัวบุคคลที่มีอย่างมากมายไม่วา่ จะ เป็ นความรัก ความโลภ ความโกรธ และความลุ่มหลงจนทาให้กระทาความผิดไม่วา่ จะเป็ นชาติน้ ี หรื อในชาติปางก่อน ก็จะเห็นได้วา่ พระสุ เทษณ์เทพนั้นได้กระทาความผิดลาดจนเป็ นบาปติตวั มา เหตุเกิดจากความรักท่บงั ตาแลแทนที่ดว้ ยความโกรธจนพลั้งพลาดทาความผิดซ้ าแล้วซ้ าเล่า ถึงจะได้รู้ถึงสิ่ งที่เคยผิดลาดแต่กย็ งั กระทาอีกในชาติน้ ี และตัวละครพระชัยเสนก็หึงหวงจนไม่ ลืมหูลืมตา จนขาดสติไม่ใคร่ ควรให้ดีถึงความเป็ นจริ ง จึงพลังลาดทาความต่อนางมัทนา นาง จัณฑีกไ็ ด้ทาสิ่ งที่ไม่ถูกไม่ควรเพียงเพราะความรักเช่นเดียวกันหมด เสมือนว่าทุกคนล้วนผิดหวัง จากความรักและมีนางมัทนาเป็ นศูนย์กลางของอารมณ์ ทั้งรัก หลง ริ ษยา ทุกคนก็จะลงที่ตวั นาง มัทนาทั้งหมด สรุ ปได้วา่ วรรณคดีเรื่ องมัทนะพาธาเป็ นวรรณคดีที่มีเหตุเกินจากความรักเป็ นหลัก ทุกตัว ละครในเรื่ องกระทาผิดลาดเราะเหตุเกิดจากความรัก และช้ าอานาจในมือทาร้ายและลงโทษหาก ไม่ทาให้โกรธ เรื่ องมัทนาธาจึงเป็ นวรรณคดีที่ครบทุกรส และไม่แปลกใจที่ถูกยกย่องและ ยอมรับอย่างแพร่ หลาย

13

อ้ างอิง วิกีพเี ดีย. (2564). มัทนะพาธา. (ออนไลน์) . สื บค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2564, จาก มัทนะพาธา - วิกิพีเดีย (wikipedia.org) โรงเรี ยนโนนเจริ ญทยาคม. (2564). มัทนะพาธา. (ออนไลน์) . สื บค้นเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2564, จาก มัทนะพาธา - เรียนภาษาไทยกับครูภทั ทิรา (google.com)