Data Loading...
บทที่ 13
การกําหนดราคาและปริมาณผลิตของสินค้าเอกชน และสินค้าสาธารณะ
การจําแนกลักษณะของสินค้า ในการแบ่งประเภทของสินค้าจะแบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภท คือ 1. สิ นค้าเอกชน (Private goods) หมายถึง สินค้าหรือบริการทีก่ ลไกราคาสามารถทําหน้าทีจ่ ดั สรรสินค้าและบริการได้ อย่างดีและมีประสิทธิภาพ 2. สิ นค้าสาธารณะ (Public goods) หมายถึง สินค้าหรือบริการทีไ่ ม่สามารถใช้กลไกราคาทําหน้าทีจ่ ดั สินค้าสินค้าและ บริการได้ การพิจารณาว่าสินค้าจะเป็ นสินค้าเอกชนหรือสินค้าสาธารณะจะพิจารณาได้จากหลัก 2 ประการ คือ 1. ลักษณะการแบ่งแยกการบริโภคออกจากกัน (Exclusion principle) 2. ลักษณะการเป็ นปรปกั ษ์ในการบริโภค (Rival consumption)
1. ลักษณะการแบ่งแยกการบริ โภคออกจากกัน (Exclusion principle) หลักการแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันจะเป็ นสิง่ ทีช่ ว้ี ่ากลไกราคาสามารถทําหน้าที่ จัดสรรสินค้าหรือบริการได้หรือไม่ดงั พิจารณาได้ดงั นี้ (1) การแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ (Excludability) หมายความว่า การทีส่ ามารถใช้กลไกราคาหรือมาตรการบางอย่างเป็ นเครื่องมือเพื่อ
EC 211
481
กีดกันไม่ให้ผหู้ นึ่งผูใ้ ดใช้สนิ ค้าหรือริการนัน้ ถ้าผูน้ นั ้ ไม่ยอมจ่ายเงินหรือค่าตอบแทนพื่อแลกกับ การใช้หรือบริโภคสินค้านัน้ เช่น ถ้าไม่จ่ายค่าโดยสารรถเมล์ คนขับหรือกระเป๋าก็จะไม่ให้ โดยสารรถเมล์ได้ แสดงว่าสินค้านัน้ สามารถแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ และการทีจ่ ะได้ สินค้าและบริการของผูอ้ ่นื มาใช้จะต้องได้รบั ความยินยอมจากเจ้าของโดยมีสงิ่ แลกเปลี่ยนซึ่ง ลักษณะเช่นนี้ทาํ ให้กลไกราคาสามารถทํางานได้ (2) การแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันไม่ได้ (Non-excludability) หมายความว่า กลไกราคาหรือมาตรการอื่นไม่สามารถนํ ามาใช้เป็ นเครื่องมือกีดกัน ไม่ให้บุคคลอื่นใช้สนิ ค้าหรือบริการได้ไม่ว่าผูน้ ัน้ จะจ่ายหรือไม่จ่ายค่าตอบแทนในการใช้สนิ ค้า และบริการนัน้ ก็ตาม เช่น การป้องกันประเทศ เป็ นต้น สินค้าและบริการทีแ่ บ่งแยกการบริโภค ออกจากันไม่ได้จะมีลกั ษณะที่เมื่อผลิตขึน้ มาแล้วทุกคนได้ใช้ร่วมกัน(Joint consumption) ถึงแม้ว่าในบางครัง้ บางคนอาจไม่ตอ้ งการใช้สนิ ค้าหรือบริการก็ตาม แต่เขาจะปฏิเสธการใช้ สินค้าหรือบริการนัน้ ไม่ได้ ซึง่ ลักษณะนี้บางครัง้ เรียกว่ามีอุปทานร่วมกัน (Joint supply) ลักษณะของการแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันไม่ได้น้ีทําให้กลไกตลาดหรือกลไก ราคาไม่สามารถทําหน้าทีจ่ ดั สรรสินค้าและบริการได้ ทัง้ นี้เพราะเมื่อผลิตขึน้ มาแล้วทุกคนได้ใช้ บริการนัน้ ทําให้ผผู้ ลิตไม่สามารถเรียกค่าตอบแทนจากผูใ้ ช้บริการได้ รัฐจึงต้องทําหน้าทีจ่ ดั สรร สินค้าหรือบริการ แล้วรัฐจัดเก็บเงินทางอ้อมจากผู้ใช้บริการในรูปภาษีอากรเพื่อนํ ามาผลิต สินค้าหรือบริการดังกล่าวนี้
2. ลักษณะการเป็ นปรปักษ์ในการบริ โภค (Rival consumption) เป็ นการพิจารณาว่าเมือ่ สินค้าหรือบริการได้ถูกใช้หรือบริโภคโดยคนใดคนหนึ่งแล้วจะ เป็ นเหตุให้บุคคลอื่นไม่ได้ใช้สนิ ค้าหรือบริการนัน้ หรือทําให้ผอู้ ่นื ได้รบั ความพอใจน้อยลงจาก การบริโภคสินค้านัน้ หรือไม่ กล่าวคือ (1) ถ้าสินค้าหรือบริการนัน้ มีลกั ษณะเป็ นปรปกั ษัในการบริโภค (Rival consumption) หมายความว่า สินค้านัน้ ถูกใช้หรือบริโภคโดยคนใดคนหนึ่งแล้วจะทําให้ผูอ้ ่นื ไม่ได้ บริโภคสินค้านัน้ หรือทําให้ผอู้ ่นื ทีม่ าร่วมใช้สนิ ค้าหรือบริการนัน้ ได้รบั ความสะดวกสะบายหรือ ได้รบั ความพอใจจากการร่วมใช้น้อยลง สินค้าทีม่ ลี กั ษณะดังกล่าวนี้อย่างใดอย่างหนึ่งถือว่ามี ลักษณะการเป็ นปรปกั ษ์ในการบริโภค ตัวอย่างเช่น ขนมชิน้ หนึ่ง ถ้าคนหนึ่งได้ไปคนอื่นก็จะ ไม่ได้บริโภค หรือในกรณ๊ของสินค้าทีใ่ ช้รว่ มกัน เช่น ถนนหลวง เมื่อมีการใช้รว่ มกันแล้วทําให้
482
EC 211
ความสะดวกสะบายหรือความพอใจจากการใช้สนิ ค้านัน้ น้อยลง (2) consumption)
ถ้าสินค้าหรือบริการนัน้ ไม่มลี กั ษณะเป็ นปรปกั ษัในการบริโภค (Non-rival
หมายถึง สินค้าหรือบริการนัน้ เมื่อถูกบริโภคหรือใช้โดยคนใดคนหนึ่งแล้วจะไม่เป็ น เหตุให้ผอู้ ่นื ไม่ได้ใช้สนิ ค้าหรือบริการนัน้ หรือไม่ได้ทําให้ผรู้ ่วมใช้สนิ ค้าหรือบริการนัน้ ได้รบั ความพอใจน้อยลง หรือไม่ได้รบั ความไม่สะดวกสะบายในการใช้ เช่น การป้องกันประเทศ การ ส่งวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เป็ นต้น การจําแนกลักษณะของสินค้าออกมาจะมีผลต่อการใช้กลไกตลาดหรือกลไกราคาว่า จะสามารถทําหน้าทีใ่ นการจัดสรรสินค้าหรือบริการได้หรือไม่ ถ้ากลไกตลาดสามารถทําหน้าที่ ในการจัดสรรสินค้าหรือบริการได้เป็ นอย่างดี รัฐบาลไม่จาํ เป็ นต้องเข้าไปทําหน้าทีใ่ นการจัดสรร ควรปล่อยให้เอกชนทําหน้าทีจ่ ดั สรร แต่ถ้ากลไกราคาไม่สามารถทําหน้าทีจ่ ดั สรรบริการได้ เพราะไม่สามารถกีดกันไม่ให้ผอู้ ่นื ใช้สนิ ค้าหรือบริการได้ และเอกชนไม่อยูใ่ นฐานะทีจ่ ะทําการ จัดสรรสินค้าหรือบริการ รัฐบาลจําต้องทําหน้าทีเ่ ป็ นผูจ้ ดั สรร และในความเป็ นจริงรัฐบาลมิได้ ทําหน้าทีจ่ ดั สรรสินคัาและบริการทีเ่ ป็ นสินค้าสาธารณะเท่านัน้ แต่รฐั บาลอาจทําหน้าทีจ่ ดั สรร สินค้าและบริการทีเ่ ป็ นสินค้าเอกชนด้วย โดยเฉพาะสินค้าทีก่ ่อให้เกิดผลกระทบภายนอกทีเ่ ป็ น คุณ (external economies) หรือเป็ นโทษต่อบุคคลอื่นหรือสังคมส่วนรวม การกําหนดราคาและปริ มาณผลิ ตในกรณี สินค้าเอกชน (Private Goods) จากการทีส่ นิ ค้าเอกชนมีลกั ษณะเป็ นปรปกั ษ์ในการบริโภค (Rival consumption) และสามารถแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ (Excludability) นอกจากนี้คุณประโยชน์ทเ่ี กิด จากการบริโภคสินค้าหรือบริการจะตกแก่ผบู้ ริโภคเองเป็ นสําคัญ ความต้องการหรือตัดสินใจ บริโภคสินค้าหรือบริการจะเกิดขึน้ โดยสมัครใจของผูบ้ ริโภค ดังนัน้ การจัดสรรการผลิตและการ กระจายรายได้จะทําโดยผ่านกลไกตลาด หรือกลไกราคา ในทางทฤษฎี ถ้าตลาดมีการแข่งขันโดยสมบูรณ์ กลไกตลาดหรือราคาสามารถทํา การจัดสรรสินค้าหรือบริการอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถทําให้สงั คมได้รบั สวัสดิการสูงสุด ได้ ราคาตลาดจะถูกกําหนดโดยเส้นอุปสงค์ตลาดและเส้นอุปทานตลาด
EC 211
483
ในกรณีของสินค้าเอกชน กลไกตลาดหรือกลไกราคา (กําหนดโดยDemand และ Supply ของสินค้า) จะทําหน้าทีใ่ นการจัดสรรสินค้าและบริการ ในระบบเศรษฐกิจแบบเสรี ผูบ้ ริโภคจะแสดงความพอใจโดยผ่านอุปสงค์ทม่ี ตี ่อสินค้า การหาอุปสงค์รวมของสินค้าจะทําได้โดยรวมเส้นอุปสงค์ของผู้บริโภคแต่ละคนโดยรวมใน แนวนอน (horizontal summation) ตัวอย่างเช่น ถ้าในตลาดสินค้ามีผบู้ ริโภค 2 ราย คือ A และ B อุปสงค์ตลาดจะหาได้โดยการรวมเส้นอุปสงค์ของผูบ้ ริโภคในแนวราบ
รูปที่ 13 – 1 การหาอุปสงค์รวมของสิ นค้าเอกชน ราคา :P
0
DA
DB
DT = DA+ DB ปริมาณสินค้า :Q
สําหรับอุปทานตลาดของสินค้าเอกชน หาได้โดยการรวมอุปทานของผูผ้ ลิตแต่ละราย โดยเส้นอุปทานของผูผ้ ลิตจะแสดงโดยเส้นต้นทุนเพิม่ ในการผลิตสินค้าเพิม่ ขึน้ 1 หน่วย
484
EC 211
รูปที่ 13 – 2 การหาอุปทานรวมของสิ นค้าเอกชน ราคา :P S1
S2
ST = S1+ S2
0
ปริมาณสินค้า: Q
ดังนัน้ ราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพของสินค้าเอกชนจะกําหนดจากอุปสงค์และ อุปทานของตลาด
รูปที่ 13 – 3 การกําหนดราคาและปริ มาณดุลยภาพ ราคา :P
ST PE
H
E
F 0
Q1 QE
DA DB
DT = DA+ DB ปริมาณสินค้า :Q
จากรูปที่ 13 – 3 ณ ระดับราคาเท่ากับ PE ปริมาณความต้องการซือ้ เท่ากับปริมาณ เสนอขาย (QD = QS) ค่าของอุปสงค์สว่ นเกิน(excess demand) และอุปทานส่วนเกิน (excess
EC 211
485
supply) เท่ากับศูนย์ ไม่มแี รงกดดันให้ราคาสินค้าเปลีย่ นแปลง ถ้าปริมาณเท่ากับ Q1 (Q1 < QE) จะพบว่าราคาทีผ่ บู้ ริโภคเต็มใจจ่ายเท่ากับ Q1H บาท ในขณะทีต่ น้ ทุนในการผลิตสินค้า เท่ากับ Q1F บาท ซึง่ Q1F < Q1H ดังนัน้ ผูผ้ ลิตจะผลิตปริมาณเพิม่ จนกระทัง่ ราคาทีผ่ บู้ ริโภค เต็มใจจ่าย เท่ากับ ต้นทุนเพิม่ ในการผลิตสินค้า (P = MC) พอดี
การวัดสวัสดิการของสังคมในระบบเศรษฐกิจที่มีการผลิตสินค้าเอกชน ในตลาดทีม่ กี ารแข่งขันอย่างสมบูรณ์ การกําหนดราคาของสินค้าจะถูกกําหนดโดย กลไกตลาดทําให้การจัดสรรทรัพยากรเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผูบ้ ริโภคจะได้รบั สินค้าทีม่ ี คุณภาพสูงเพราะต้องผลิต แข่งขันกัน และการใช้ป จั จัยการผลิต จะเป็ นไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เพราะถ้าปริมาณผลิตมากเกินไปจะทําให้ราคาสินค้าลดลงและกําไรของผูผ้ ลิตจะ ลดลง ในทางตรงกันข้ามถ้ามีการผลิตสินค้าน้อยไปจะทําให้สนิ ค้ามีราคาสูงขึน้ ผลกําไรเพิม่ ขึน้ จะมีผลใก้มกี ารผลิตสินค้านี้มากขึน้ ทําให้มกี ารเคลื่อนย้ายการใช้ปจั จัยการผลิตสินค้ามากขึน้ การผลิตทีม่ ปี ระสิทธิภาพสูงสุดจะอยู่ ณ จุดทีผ่ ลประโยชน์เพิม่ เท่ากับ ต้นทุนเพิม่ (MB = MC) เนื่องจากเส้น D จะแสดงถึงผลประโยชน์เพิม่ (Marginal Benefit: MB) และเส้น S จะแสดงถึงต้นทุนเพิม่ (Marginal Cost: MC) จุดที่ D ตัดกับ S จะแสดงถึงราคาและปริมาณ ดุลยภาพ ในการวัดสวัสดิการของสังคมส่วนรวมจะเป็ นการวัดผลรวมของส่วนเกินของผูบ้ ริโภค (Consumer’s surplus) ทีไ่ ด้จากการซือ้ สินค้าและบริการ และส่วนเกินของผูผ้ ลิต (Producer’s surplus) ทีเ่ กิดจาการขายสินค้าและบริการ โดยมีหลักการว่า สังคมจะได้รบั สวัสดิการสูงขึน้ เมื่อ วิธกี ารกําหนดราคานัน้ สามารถทําให้ทงั ้ ผูบ้ ริโภคและผูผ้ ลิตได้รบั ส่วนเกินหรือสวัสดิการรวมกัน มากทีส่ ดุ
ส่วนเกิ นของผูบ้ ริ โภค (consumer surplus) หมายถึง ส่วนต่างระหว่างมูลค่าทีผ่ บู้ ริโภคยินดีจา่ ยให้กบั สินค้าหนึ่งกับมูลค่าที่ ผูบ้ ริโภคจ่ายจริงให้แก่สนิ ค้า ส่วนเกินของผูบ้ ริโภคก็คอื พืน้ ทีใ่ ต้เส้นอุปสงค์สว่ นทีอ่ ยูเ่ หนือระดับราคาตลาดนันเอง ่ ส่วนเกินของผูบ้ ริโภคเปรียบเสมือน “สวัสดิการ" (welfare) ทีผ่ บู้ ริโภคได้รบั เนื่องจากจ่ายน้อย กว่าทีเ่ ต็มใจจ่าย
486
EC 211
ส่วนเกิ นของผูผ้ ลิ ต (producer’s surplus) หมายถึง ส่วนต่างระหว่างมูลค่าตํ่าสุดทีผ่ ผู้ ลิตยินดีผลิตสินค้าหนึ่งออกมาเสนอขาย กับมูลค่าทีผ่ ผู้ ลิตได้รบั จริงจากสินค้านัน้ ส่วนเกินของผูผ้ ลิตก็คอื พื้นที่เหนือเส้นอุปทานส่วนที่อยู่ใต้ระดับราคาตลาดนัน่ เอง ส่วนเกินของผูผ้ ลิตเปรียบเสมือน “สวัสดิการ" (welfare) ทีผ่ ผู้ ลิตได้รบั เนื่องจากขายได้ราคาสูง กว่าทีเ่ ต็มใจจะผลิต หน่ ว ยธุ ร กิจ แต่ ล ะรายในตลาดแข่ง ขัน โดยสมบู ร ณ์ จะต้อ งขายสิน ค้า ณ ราคาที่ กําหนดโดยตลาด (อุปสงค์และอุปทานของตลาดกําหนดราคา) และผูผ้ ลิตแต่ละรายในตลาดทีม่ ี การแข่งขันโดยสมบูรณ์ จะต้องขายทีร่ าคานี้เหมือนกันหมด เพราะไม่มผี ขู้ ายรายใดมีอทิ ธิพล ในการกําหนดราคาได้ ตลาดทีม่ กี ารแข่งขันเช่นนี้ควรปล่อยให้กลไกของตลาดดําเนินการไป โดยเสรีเพือ่ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจสูงสุดของตลาดนัน้ อาจพิจารณาได้จากการที่ไม่มภี าวะ ความสูญเสียประโยชน์ (deadweight loss) เกิดขึน้ ความสูญเสียประโยชน์หรือประโยชน์สาบสูญ(deadweight loss) เป็ นส่วนของ ส่วนเกินทีข่ าดหายไปโดยไม่มผี ใู้ ดได้รบั ไม่ว่าจะเป็ นผูบ้ ริโภคหรือผูผ้ ลิต จึงถือเป็ นการสูญเสีย หรือสูญเปล่า
EC 211
487
รูปที่ 13 – 4 ส่วนเกิ นของผูบ้ ริ โภคและส่วนเกิ นของผูผ้ ลิ ตเมื่อราคาถูก กําหนดโดยตลาด ราคา (P) A
P
ส่ วนเกินผูบ้ ริ โภค
S
E
ส่ วนเกินผูผ้ ลิต C 0
D Q
ปริมาณ(Q)
ในตลาดแข่งขันโดยสมบูรณ์ ซึ่งอุปสงค์และอุปทานของตลาดกําหนดราคาดุลยภาพ ตลาดนัน้ ส่วนเกินของผูบ้ ริโภคคือพืน้ ทีใ่ ต้เส้นอุปสงค์ส่วนทีอ่ ยู่เหนือระดับราคาตลาด และ ส่วนเกินของผูผ้ ลิตคือพืน้ ทีเ่ หนือเส้นอุปทานส่วนทีอ่ ยูใ่ ต้ระดับราคาตลาด รูปที่ 13 – 4 แสดง ส่วนเกินของผูบ้ ริโภคและส่วนเกินของผูผ้ ลิตเมื่อราคาถูกกําหนดโดยตลาด โดยส่วนเกินของ ผูบ้ ริโภคคือพืน้ ที่ ∆PAE ในขณะทีส่ ่วนเกินของผูผ้ ลิตคือพืน้ ที่ ∆PEC ผลประโยชน์รวมของ สังคมหรือส่วนเกินทัง้ หมดทีส่ งั คมได้รบั (total surplus) จึงมีค่าเท่ากับพืน้ ที่ ∆PAE บวก พืน้ ที่ ∆PEC
การกําหนดราคาและปริมาณผลิตของสินค้าสาธารณะ (Public Goods) ประชาชนโดยทัวไปมี ่ ความต้องการบริโภคสินค้าสาธารณะเช่นเดียวกับสินค้าเอกชน แต่การผลิตสินค้าสาธารณะต้องใช้รายได้จากภาษีอากร โดยการผลิตสินค้าสาธารณะจะเป็ น เท่าใดจะกําหนดจากอุปสงค์และอุปทานของสินค้าสาธารณะ
488
EC 211
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการผลิตสินค้าสาธารณะโดยอาศัยกลไกตลาดจึงต้อง วิเคราะห์ความต้องการสินค้าสาธารณะของประชาชนและต้นทุนในการผลิตสินค้าสาธารณะโดย พิจารณาจากเส้นอุปสงค์และอุปทานของสินค้าสาธารณะ
เส้นอุปสงค์ของสินค้าสาธารณะ เนื่องจากการผลิตสินค้าสาธารณะจําเป็ นต้องได้รายได้จากภาษีมาผลิต ดังนัน้ อุป สงค์ของผูบ้ ริโภคต่อสินค้าสาธารณะจะบอกความพอใจของผูบ้ ริโภคที่ได้รบั จากการบริโภค สินค้าสาธารณะ ดังนัน้ ราคาทีย่ นิ ดีจา่ ยเพือ่ ให้ได้สนิ ค้าสาธารณะจึงเป็ นภาษีทผ่ี บู้ ริโภคแต่ละคน เต็มใจจะจ่ายเพือ่ ให้ได้สนิ ค้าสาธารณะปริมาณต่าง ๆ กัน ดังนัน้ เส้นอุปสงค์รวมของสินค้าสาธารณะจะแสดงถึงความต้องการทีจ่ ะเสียภาษีของ ผู้ บ ริ โ ภคและเนื่ องจากสิ น ค้ า สาธารณะมี ล ั ก ษณะเป็ นสิ น ค้ า ที่ บ ริ โ ภคร่ ว มกั น (Joint consumption) กล่าวคือเมื่อผลิตขึน้ มาแล้วทุกคนได้ใช้บริการร่วมกัน ดังนัน้ การหาอุปสงค์รวม สําหรับสินค้าสาธารณะจะรวมในแนวตัง้ เพราะว่าสินค้าสาธารณะเป็ นสินค้าทีท่ ุกคนบริโภคได้ เท่าเทียมกัน
รูปที่ 13 – 5 การหาเส้นอุปสงค์รวมของสิ นค้าสาธารณะ ราคา , ภาษี
DT M K J 0
EC 211
DA Q1
DB ปริมาณสินค้าสาธารณะ
489
จากรูปที่ 13 – 5 เส้น DA และ DB คือ เส้นอุปสงค์ทม่ี ตี ่อสินค้าสาธารณะของ ผูบ้ ริโภค A และ B โดยทีผ่ บู้ ริโภค B มีความต้องการสินค้าสาธารณะมากกว่าผูบ้ ริโภค A ดังนัน้ ผูบ้ ริโภค B จึงยินดีเสียภาษีมากกว่าผูบ้ ริโภค A โดยทีภ่ าษีทผ่ี บู้ ริโภคต้องการเสียจะ เป็ นภาษีทท่ี าํ ให้ผบู้ ริโภคนัน้ ได้รบั ความพอใจสูงสุด ภาษีทแ่ี ต่ละคนต้องการเสียเรียกว่า ส่วน แบ่งภาษี (tax share) หรือ ราคาภาษี(tax prices) ซึง่ เป็ นตัวบอกว่าต้นทุนในการผลิตสินค้า สาธารณะใครจะเป็ นผูร้ บั ภาระเท่าใด ผูบ้ ริโภคแต่ละคนจะเสียภาษีไม่เท่ากัน แต่ได้บริโภค สินค้าสาธารณะในปริมาณเท่ากัน การเก็บภาษีเงินได้ของรัฐบาลจึงเป็ นการยุตธิ รรมสําหรับ ผูบ้ ริโภคทุกคน คือถ้ามีรายได้มากก็ควรจะเสียภาษีมาก
การผลิตสินค้าสาธารณะโดยอาศัยกลไกตลาดในกรณี ต้นทุนการผลิตสินค้า สาธารณะมีค่าเพิ่มขึน้ ถ้าสมมุตสิ นิ ค้าทีผ่ ลิตเป็ นสินค้าสาธารณะ และมีผบู้ ริโภค 2 ราย คือ ผูบ้ ริโภค A และ ผูบ้ ริโภค B เส้นอุปสงค์รวมของสินค้าสาธารณะของสังคม (D T ) หาได้จากการรวมเส้นอุปสงค์ ของผูบ้ ริโภค A และผูบ้ ริโภค B ตามแนวตัง้ สมมุตติ น้ ทุนในการผลิตสินค้าสาธารณะมีค่าเพิม่ ขึน้ ดังนัน้ เส้นอุปทานของสินค้า สาธารณะจึงมี Slope เป็ นบวก แสดงในการผลิตสินค้าสาธารณะเพิม่ ขึน้ แต่ละหน่ วยจะต้องใช้ ต้นทุนเพิม่ ขึน้ เส้นอุปทานของสินค้าสาธารณะแสดงถึงต้นทุนเพิม่ ที่ต้องใช้ในการผลิตสินค้า สาธารณะ(MC)
490
EC 211
รูป ที่ 13 – 6 การผลิ ต สิ น ค้ า สาธารณะโดยอาศัย กลไกตลาดในกรณี ต้นทุนการผลิ ตสิ นค้าสาธารณะมีค่าเพิ่ มขึน้ ราคา , ภาษี
DT
ST R
M K J 0
E H
N
F DA Q1 QE Q2
DB ปริมาณสินค้าสาธารณะ
จากรูปที่ 13 – 6 เส้นอุปสงค์ตลาด (DT) ของสินค้าสาธารณะตัดกับเส้นอุปทานตลาด (ST) ของสินค้าสาธารณะทีจ่ ุด E ดังนัน้ ปริมาณสินค้าสาธารณะทีเ่ หมาะสมคือ QE โดยภาษีท่ี ผูบ้ ริโภค A ต้องจ่ายเท่ากับ QEF และภาษีทผ่ี บู้ ริโภค B ต้องจ่ายเท่ากับ QEH เมื่อนําภาษีท่ี ผูบ้ ริโภค A และ B ต้องจ่ายจะเท่ากับต้นทุนในการผลิตสินค้าสาธารณะต่อหน่ วย (AC ของ สินค้าสาธารณะ) เท่ากับ QEE พอดี ถ้าปริมาณสินค้าสาธารณะทีร่ ฐั บาลผลิตเท่ากับ OQ1 ความต้องการทีจ่ ะเสียภาษีของ A และ B เท่ากับ Q1J และ Q1K ตามลําดับ ซึง่ รวมกันเท่ากับ Q1M แต่ตน้ ทุนทีใ่ ช้ในการผลิต สินค้าสาธารณะเท่ากับ Q1J ดังนัน้ ผูบ้ ริโภคต้องการให้รฐั บาลผลิตสินค้าสาธารณะมากขึน้ จะ กระทังเท่ ่ ากับ QE
EC 211
491
ถ้ารัฐบาลผลิตสินค้าสาธารณะเท่ากับ OQ2 ความต้องการเสียภาษีรวมเท่ากับ Q2N แต่ตน้ ทุนต่อหน่วยของการผลิตสินค้าสาธารณะเท่ากับ Q2R ดังนัน้ รัฐบาลจะขาดทุนจะต้องลด ปริมาณผลิตสินค้าสาธารณะให้เท่ากับ OQE
การผลิตสินค้าสาธารณะโดยอาศัยกลไกตลาดในกรณี ต้นทุนการผลิตสินค้า สาธารณะมีค่าคงที่ ถ้าสมมุตสิ นิ ค้าทีผ่ ลิตเป็ นสินค้าสาธารณะ และมีผบู้ ริโภค 2 ราย คือ ผูบ้ ริโภค A และ ผูบ้ ริโภค B เส้นอุปสงค์รวมของสินค้าสาธารณะของสังคม (D T ) หาได้จากการรวมเส้นอุปสงค์ ของผูบ้ ริโภค A และผูบ้ ริโภค B ตามแนวตัง้ สมมุตติ ้นทุนในการผลิตสินค้าสาธารณะมีค่าคงที่ ดังนัน้ เส้นอุปทานของสินค้า สาธารณะจึงเป็ นเส้นขนานแกนนอน การทีเ่ ส้น S ขนานกับแกนนอน แสดงว่าต้นทุนต่อหน่ วย (AC) ในการผลิตสินค้าสาธารณะเท่ากับ ต้นทุนเพิม่ ทีต่ อ้ งใช้ในการผลิตสินค้าสาธารณะ(MC) ดังนัน้ เส้นอุปทานจะแสดงถึงต้นทุนทีเ่ พิม่ ขึน้ ในการผลิตสินค้าสาธารณะทีเ่ พิม่ ขึน้ 1 หน่วย
รูป ที่ 13 – 6 การผลิ ต สิ น ค้ า สาธารณะโดยอาศัย กลไกตลาดในกรณี ต้นทุนการผลิ ตสิ นค้าสาธารณะมีค่าคงที่ ราคา , ภาษี
DT = D A + D B
E
P1
S
N 0
492
DA
M Q1
DB ปริมาณสินค้าสาธารณะ
EC 211
อุปสงค์รวมตัดกับอุปทานรวมทีจ่ ุด E ปริมาณสินค้าสาธารณะเท่ากับ OG1 โดย ผูบ้ ริโภค A จะจ่ายเงินเพื่อให้ได้สนิ ค้าสาธารณะในรูปของภาษีเท่ากับ G1M และผูบ้ ริโภค B จ่ายเงินเท่ากับ G1N ซึง่ เมื่อรวมกันจะได้เท่ากับต้นทุนต่อหน่ วยของการผลิตสินค้าสาธารณะ โดยต้นทุนต่อหน่วยของการผลิตสินค้าสาธารณะเท่ากับ G1E
EC 211
493