Data Loading...
การปกครองสมัยอยุธยา Flipbook PDF
การปกครองสมัยอยุธยา
123 Views
60 Downloads
FLIP PDF 356.45KB
การปกครองสมัยอยุธยา
ระบอบการปกครองในสมัยอยุธยาเป็ นระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์อำนาจอธิปไตยอยู่ที่พระมหากษัตริย์เพียง พระองค์เดียวเหมือนกับสมัยสุโขทัยแต่แนวความคิดเกี่ยวกับพระ มหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ซึ่งพวกขอมนำมา โดยถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นผู้ที่ได้รับอำนาจจากสวรรค์ตาม แนวความคิดแบบลัทธิเทวสิทธิ์ ลักษณะการปกครองแบบเทวสิทธิ์นี้ ถือว่า พระมหากษัตริย์เป็ น เสมือนเจ้าชีวิต นอกจากจะมีพระราชอำนาจเด็ดขาด สามารถ กำหนดชะตาชีวิตของผู้อยู่ใต้ปกครองแล้ว ยังถือว่าอำนาจในการ ปกครองนั้ นพระมหากษัตริย์ทรงได้รับจากสวรรค์ หรือเป็ นไป ตามเทวโองการ การกระทำของพระมหากษัตริย์ถือเป็ นความ ต้องการของพระเจ้า พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นเหมือนสมมุติเทพ หรือพระเจ้า หรือผู้แทนพระเจ้า เพราะฉะนั้ นพระมหากษัตริย์ ตามแนวความคิดแบบเทวสิทธิ์จึงทรงอำนาจสูงสุดล้นพ้น ลักษณะ การปกครองเป็ นแบบนายปกครองบ่าว หรือเจ้าปกครองข้า
สมัยอยุธยาตอนต้น (พ.ศ. 1893 – 1991 )
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พ.ศ. 1893 – 1991 ) (อู่ทอง) ได้ทรงวาง
ระบอบการปกครองส่วนกลางเป็ นแบบ จตุสดมภ์ ตามแบบ ขอม มี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นผู้อำนวยการปกครองสูงสุด และมีเสนาบดี 4
คน คือ ขุนเมือง (เวียง) ขุนวัง ขุนคลัง และขุนนา เป็ นผู้ช่วยดำเนิ นการ
เกี่ยวกับกิจการทั้ง 4 คือ
1. เมือง (เวียง) รับผิดชอบด้านรักษาความสงบและ
ปราบปรามโจรผู้ร้าย 2. วัง มีหน้ าที่เกี่ยวกับราชสำนั ก การยุติธรรม และ
ตัดสินคดีความต่างๆ 3. คลัง ได้แก่ งานด้านคลังมหาสมบัติ การค้า และ
ภาษีต่างๆ 4. นา รับผิดชอบเกี่ยวกับการเกษตร
สำหรับการจัดระเบียบการปกครองนั้ นได้นำรู ปแบบในสมัยสุโขทัยมา
ใช้ โดยให้ กรุ งศรีอยุธยาเป็ นราชธานี และเป็ นศูนย์กลางการปกครอง
เมืองอื่นๆ แบ่งเป็ น 3 ประเภท
การจัดระเบียบการปกครอง
แบ่งเป็ น 3 ประเภท 1. หัวเมืองชั้นใน ประกอบด้วยเมืองหน้ าด่านชั้นในสำหรับป้ องกัน ในราชธานี 4 ทิศ คือ ลพบุรี นครนายก พระประแดง และ สุพรรณบุรี รวมทั้งหัวเมืองชั้นในเรียงรายตาม ระยะทางคมนาคม สามารถติต่อกับราชธานี ได้ภายใน 2 วัน เช่น นครพนม สิงห์บุรี ปราจีนบุรี ชลบุรี เพชรบุรี ราชบุรี เป็ นต้น 2. หัวเมืองชั้นนอก หรือเมืองพระยามหานคร ได้แก่ เมืองซึ่งอยู่ นอกเขตหัวเมืองชั้นในออกไปตามทิศต่าง ๆ ได้แก่ โคราช จันทบุรี ไชยา นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ถลาง ตะนาวศรี ทวาย และ เชียงกราน เมืองเหล่านี้ บางเมืองในสมัยสุโขทัย จัดว่าเป็ นเมืองประเทศราช แต่ในสมัยอยุธยา ได้เปลี่ยนสภาพมาเป็ นหัวเมืองชั้นนอก
การจัดระเบียบการปกครอง
3. เมืองประเทศราช ได้แก่ เมืองมะละกา ยะโฮร์ ทางแหลมมลายู และกัมพูชาด้านตะวันออก ในสมัยอยุธยานี้ นอกจากจะจัดการปกครองส่วนภูมิภาค เป็ นหัวเมืองต่าง ๆ แล้ว ยังมีการจัดระเบียบการ ปกครองท้องที่ในหัวเมืองชั้นในอีก โดยแบ่งออกเป็ น แขวง แขวงแบ่งออเกเป็ นตำบล และตำบลแบ่งออก เป็ นหมู่บ้าน โดยมีผู้ปกครองตามระดับ ดังนี้ หมื่นแขวง กำนั นซึ่งมักได้รับบรรดาศั กดิ์เป็ นพัน และผู้ใหญ่บ้าน
การจัดระเบียบการปกครอง
ประชาชนในสมัยอยุธยาตอนต้นมีฐานะเป็ นไพร่ ทำหน้ าที่ทั้งทางราชการ และหน้ าที่ทางพลเรือนพร้อมกันไป เพราะว่าการปกครองในสมัยนั้ นยังไม่มีทฤษฎีการแบ่งงาน ประชาชนเป็ นไพร่ได้รับที่ดินตามที่ตนและครอบครัว จะทำการเพาะปลูกได้ เมื่อมีผลผลิตเกิดขึ้นพวกไพร่จะต้องมอบ ส่วนหนึ่ งให้กับขุนวัง หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลที่ดินนั้ น ไพร่จะต้องสละเวลาส่วนหนึ่ งไปรับใช้ผู้ที่ยอมให้ตนอยู่ในที่ดิน ของเขา ขุนนางจะเป็ นผู้ควบคุมไพร่โดยตรง และมีหน้ าที่ ระดมกำลังยามศึ กสงคราม หรือเกณฑ์แรงงานไปช่วยทำงาน สาธารณประโยชน์ ซึ่งเท่ากับว่าประชาชนหรือไพร่ทุกคนจะ ต้องรับใช้พระมหากษัตริย์ มีฐานะเป็ นทหารทุกคน
สมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย (พ.ศ. 1991 - 2310 ) การปรับปรุ งการปกครอง ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนนาถในช่วง 100 ปี แรก ของสมัยอยุธยา การบริหารมิได้แยกกันระหว่างฝ่ ายพลเรือน และฝ่ ายทหาร เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงขึ้นครอง ราชย์ในระหว่าง พ.ศ. 1991 – 2031 พระองค์ทรงปฏิรู ปการ ปกครองเสียใหม่ ให้มีสมุหนายกเป็ นหัวหน้ าราชการ ฝ่ ายพลเรือน โดยมีเสนาบดีจตุสมดภ์เป็ นผู้ช่วย รับผิดชอบบริหารกิจการเกี่ยวกับเมือง วัง คลัง นา และให้มี สมุหกลาโหมเป็ นหัวหน้ าราชการ ฝ่ ายทหาร ทำหน้ าที่ด้าน ทหารและการป้ องกันประเทศไพร่จะได้รับสิทธิที่จะเลือกสังกัด ฝ่ ายพลเรือน หรือ ฝ่ ายทหาร แต่ในยามสงครามไพร่ทั้งสอง ฝ่ ายต้องออกรบด้วยกัน
สมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย (พ.ศ. 1991 - 2310 ) ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 – 2031 ) ได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยศั กดินาขึ้นและใช้มาจนถึง ยุคกรุ งรัตนโกสินทร์ตอนต้น ศั กดินา คือ วิธีให้เกียรติยศบุคคลตั้งแต่ขุนนางข้าราชการลงไป ถึงไพร่ และทาสโดยกำหนดจำนวนที่นามากน้ อยตามศั กดิ์ หรือเกียรติยศของบุคคล เช่น ขุนนางชั้นเอก คือ ชั้นเจ้าพระยามี ศั กดินา 10,000 ไร่ คนธรรมดาสามัญมีศั กดินา 25 ไร่ ทาสมีศั กดินา 5 ไร่ เป็ นต้น การกำหนดระบบศั กดินาขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์ ในการกำหนด สิทธิ และหน้ าที่ของประชาชน นอกจากนี้ ระบบศั กดินายังเกี่ยว พันกับการชำระโทษและปรับไหมในกรณีกระทำผิดอีกด้วย คนที่ถือศั กดินาสูงเมื่อทำผิดจะถูกลงโทษหนั กกว่าผู้มีศั กดินาต่ำ การปรับในศาลหลวงค่าปรับนั้ นก็เอาศั กดินาเป็ นบรรทัดฐาน
สมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย (พ.ศ. 1991 - 2310 ) ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ในสมัยอยุธยา นอกจากค้าขายกับชาติต่าง ๆ ในเอเชียแล้ว ก็ได้ค้าขายกับ ชาวตะวันตกด้วย ชาติแรกที่เข้ามาคือ โปรตุเกส โดยฑูตชื่อ ดูอาร์ต เฟอร์นั นเดช ในสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 พ.ศ. 2061 ได้มีการเซ็นสัญญาอนุญาตให้ชาวโปรตุเกสทำมา ค้าขายในดินแดนไทยได้ ต่อจากนั้ นก็มีชนชาติอื่น ๆ เช่น สเปน อังกฤษ ฮอลันดา ฝรั่งเศสทยอยกันเข้ามามีสัมพันธ์ ทางการค้ากับไทย โดยปกติพระมหากษัตริย์ของไทยมักให้การต้อนรับชน ต่างชาติเป็ นอย่างดี บางครั้งก็มีกองกำลังต่างชาติประจำการ เป็ นอาสาประจำอาณาจักร โดยเฉพาะในสมัยพระนารายณ์ มหาราช (พ.ศ. 2199 - 2231) มีชาวต่างประเทศเข้ามารับ ราชการในตำแหน่ งสำคัญ ๆ หลายคน มีการแลกเปลี่ยนทูต กับฝรั่งเศสหลายครั้ง หลังจากสมัยพระนารายณ์ลงมา อิทธิพลของชาวตะวันตกในราชสำนั กจึงลดลง เพราะ พระมหากษัตริย์ของอยุธยาตอนปลายไม่นิ ยมชาวตะวันตก และระแวงว่าจะเข้ามาหาทางครอบครองเอาชาติไทย เป็ นเมืองขึ้น