Data Loading...
รวมนาฏศิลป์ Flipbook PDF
รวมนาฏศิลป์
112 Views
24 Downloads
FLIP PDF 1.53MB
ประวัติของนาฏศิลป์ ไทย
นาฏศิลป์ ไทยเป็ นศิลปะการแสดงประจาชาติ เป็ นสมบัติของชาติที่มีคุณค่าสู ง เป็ นทรัพย์สินทาง ปั ญญาที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ไว้และได้รับการถ่ายทอดสื บต่อกันมาอย่างต่อเนื่ อง ทั้งยังเป็ นแบบแผนที่ ยึดถือปฏิบตั ิแสดงถึงความเป็ นเอกลักษณ์ของชาติ สื บทอดตั้งแต่อดีตจนถึงปั จจุบนั การแสดงนาฏศิลป์ เป็ น การแสดงที่ใช้ท่าราประกอบ เพื่อสื่ อให้ผชู ้ มเข้าใจเรื่ องราวของการแสดง ให้ได้รับความเพลิดเพลินมี ความสุ ขที่ได้ชมได้ฟัง เป็ นการแสดงที่มีความวิจิตรงดงามมีลีลาอ่อนช้อยตามแบบอย่างไทย ทาให้เป็ นที่ชื่น ชอบของผูช้ ม ความประณี ตงดงามในศิลปวัฒนธรรมแขนงนี้ คนไทยทุกคนควรจะตระหนัก เห็นคุณค่า ร่ วมกันอนุรักษ์ สื บทอดสื บสานและร่ วมส่ งเสริ ม เพื่อให้ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ ไทยคงอยูค่ ู่ชาติไทย ตลอดไป
ความหมายของ “นาฏศิลป์ ไทย” คาว่า “นาฏศิลป์ ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 มีความหมายว่า ศิลปะ แห่งการละคร หรื อการฟ้อนรา นาฏ หมายถึง การฟ้อนรา ศิลป์ ได้แก่ สิ่ งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ในเมื่อธรรมชาติไม่สามารถอานวยให้แต่ตอ้ งสร้าง ให้ประณี ต ดี งาม และสาเร็ จสมบูรณ์ ศิลปะเกิดขึ้นด้วยทักษะ คือ ความชานาญในการปฏิบตั ิ ซึ่ งพอจะประมวลความได้วา่ นาฏศิลป์ หมายถึงการฟ้อนราที่มนุษย์ประดิษฐ์ข้ ึน ในเมื่อธรรมชาติไม่อานวย ให้ แต่ตอ้ งประณี ตลึกซึ้ งตรึ งตาตรึ งใจ ทั้งเพียบพร้อมไปด้วย ความวิจิตรบรรจงอันละเอียดอ่อนและปฏิบตั ิ ให้สมบูรณ์ได้โดยเกิดจากความชานาญถือเอาความหมายของ การร้องและการบรรเลงเข้าร่ วมด้วย ที่มาของนาฏศิลป์ ไทย การแสดงละคร ฟ้อน ราระบา เต้น เป็ นศิลปะที่มนุษย์ประดิษฐ์ข้ ึนมาตั้งแต่มนุษย์ เริ่ มอยูร่ ่ วมกันเป็ น ชุมชนมีววิ ฒั นาการและการพัฒนาการเป็ นลาดับอย่างต่อเนื่องที่ไปสู่ การละเล่นร้องราทาเพลงแล้วมาเป็ น การแสดงที่เล่นเป็ นเรื่ องเป็ นราว ที่มาของการแสดงเหล่านี้ได้มี ผูส้ ันนิษฐานถึงมูลเหตุของที่มาไว้หลาย ประการ ซึ่งอาจประมวลได้ดงั นี้
1. เกิดจากการเลียนแบบธรรมชาติ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวอิริยาบถตามธรรมชาติของมนุษย์ เช่น แขน ขา หน้าตา หรื อการแสดงความรู ้สึก อารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในกิริยาอาการต่างๆ เช่น ความโกรธ ความรัก โศกเศร้า เสี ยใจ มนุษย์ได้ใช้ลกั ษณะท่าทางต่างๆ เหล่านี้ในการสื่ อความหมายและ นามาดัดแปลงให้นุ่มนวลน่าดูชดั เจนไปกว่าธรรมชาติ จนเกิดเป็ นศิลปะ การฟ้อนราขึ้นและใช้เป็ นการแสดง โดยมีววิ ฒั นาการมาเป็ นลาดับ จนกระทัง่ เกิดเป็ น ท่าทางการร่ ายราที่งดงามที่เป็ นพื้นฐานของการฟ้ อนราทาง นาฏศิลป์ เรี ยกว่า ภาษาท่าราทางนาฏศิลป์ 2. เกิดจากการมนุษย์คิดประดิษฐ์เครื่ องบันเทิงใจ เมื่อหยุดพักจากภารกิจประจาวัน เป็ นการผ่อน คลายความเหน็ดเหนื่ อยโดยเริ่ มจากการเล่าเรื่ องต่างๆ สู่ กนั ฟัง เช่น นิทาน นิยาย ต่อมาได้มีววิ ฒั นาการโดย นาเอาดนตรี มาประกอบการเล่าเรื่ องเหล่านั้นเรี ยกว่า การขับเสภา ภายหลังมีการประดิษฐ์ท่าทางต่างๆ และมี การพัฒนารู ปแบบไปเป็ นการร่ ายราจนถึงขั้นการแสดงเป็ นเรื่ องราว 3. เกิดจากการละเล่นเลียนแบบของมนุษย์ ที่มกั หาความสนุกสนานเพลิดเพลินจากการเลียนแบบ แม้เรื่ องราวของตนเอง เช่น เลียนแบบท่าทางของพ่อ แม่ ครู ผูใ้ หญ่ หรื อเลียนแบบธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ต่างๆ เช่น การเล่นงูกินหาง การเล่นขายของ การเล่นมอญซ่อนผ้า ความสนุกของการเล่นเลียนแบบอยูท่ ี่การ ได้เล่นเป็ นคนอื่น ซึ่ งถือเป็ นการเรี ยนรู ้ในเรื่ องของ การแสดงขั้นต้นของมนุษย์ ที่นาไปสู่ การสร้างสรรค์การ แสดงนาฏศิลป์ 4. เกิดจากการเซ่นบวงสรวงบูชาเทพเจ้า ในสมัยก่อนมนุ ษย์มีความเชื่อในเรื่ องเทพเจ้าพระผูเ้ ป็ นเจ้า สิ่ งศักดิ์สิทธิ์ และจะเคารพบูชาในสิ่ งที่ตนนับถือ เมื่อมนุ ษย์เกิดความหวัน่ กลัว จะมีการเคารพสักการบูชาสิ่ ง ศักดิ์สิทธิ์ เริ่ มจากการอธิ ษฐานบวงสรวงบูชาด้วยอาหาร ต่อมา มีการบวงสรวงบูชาด้วยการร่ ายรา มีการเล่น เครื่ องดนตรี ดีดสี ตีเป่ าและมีการร้องประกอบ เพื่อให้เทพเจ้าพอใจมีความกรุ ณาผ่อนผันหนักเป็ นเบาหรื อ ประทานให้ประสบความสาเร็ จ ในสิ่ งที่ปรารถนา
จากความเชื่อเหล่านี้ จึงได้เกิดลิทธิ ทางศาสนาและตานานเกี่ยวกับเทพเจ้า ในสมัยสุ โขทัย มี หลักฐานสาคัญ คือ หลักศิลาจารึ กที่ปรากฏคาว่า “ระบาราเต้นเล่นทุกวัน” ทาให้เข้าใจได้วา่ สมัยสุ โขทัยนี้ มีระบาเกิดขึ้น แต่คาว่าละครยังไม่ปรากฏและในสมัยนี้ มีวฒั นธรรมของอินเดีย แพร่ หลายเข้ามามากมาย โดยเฉพาะศิลปะการฟ้อนราอินเดียเป็ นชาติที่มีความเจริ ญก่อนวัฒนธรรมจึงแพร่ หลายเข้าไปในชมพูทวีป การฟ้อนราของอินเดียมีตาราแต่โบราณ เรี ยกว่า “นาฏยศาสตร์ ” ประเทศไทย ก็ได้รับอิทธิ พลทางอารย ธรรมนี้ในด้านการฟ้ อนรา โดยได้นามาดัดแปลงแต่งเติมให้เหมาะสมตรงกับความนิยม
ตานานการฟ้อนราของอินเดีย ในกาลครั้งหนึ่งที่ป่าตาระกะเป็ นสถานที่อุดมด้วยพืชผลนานาชนิด มีความสงบร่ มรื่ นสวยงาม บรรดาฤๅษีท้ งั ชายและหญิงต่างพากันไปตั้งอาศรมบาเพ็ญพรตอยูก่ นั เป็ นจานวนมาก ต่อมาบรรดาฤๅษี เหล่านั้นได้ประพฤติผดิ เทวบัญญัติมกั มากไปด้วยกามราคะ ร้อนถึงพระอิศวร เมื่อทรงทราบเหตุดงั นี้ จึงชวน พระนารายณ์ลงไปปราบพญาอนันตนาคราช ซึ่ งเป็ นบัลลังก์ ของพระนารายณ์ก็ขอตามเสด็จไปด้วย พระ อิศวรทรงแปลงร่ างเป็ นดาบสหนุ่มรู ปงาม ส่ วนพระนารายณ์ทรงแปลงร่ างเป็ นดาบสสิ นีสาวกสาว ทั้งสอง
พระองค์ก็เสด็จมายังบริ เวณป่ าตาระกะและบริ เวณอาศรมของฤๅษี บรรดาฤๅษีหญิงทั้งปวงแลเห็นดาบส หนุ่มรู ปงามเดินเข้ามาต่างก็เกิดอารมณ์รัก พากันเข้ารุ มล้อมพูดจายัว่ ยวนต่างๆ ส่ วนพวกฤๅษีชายแลเห็น ดาบสสิ นีสาวสวยต่างเข้ารุ มล้อมเกี้ยวพาราสี จึงทาให้เกิดความหึ งหวงกันทั้งสองฝ่ าย ประหัตประหารกันเอง จนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส พระอิศวรและพระนารายณ์ต่างกลายร่ างกลับคืนตามเดิมพร้อมทั้ง กล่าวสัง่ สอน ให้รู้สานึกผิดชอบชัว่ ดี ได้มียกั ษ์ค่อมตนหนึ่งชื่อ มุยะละคะ (หรื ออสู รมูลาคนี) เข้ามาขัดขวางพยายาม จะช่วยเหลือเหล่าบรรดาฤๅษี พวกนั้น พระอิศวรจึงลงโทษโดยเอาพระบาทเหยียบยักษ์ตนนั้นไว้ แล้วแสดงท่าทางการร่ ายราด้วยความ งดงามอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาในโลก
พญาอนันตนาคราชที่ได้ตามเสด็จมาในคราวนั้น ได้เห็นการร่ ายราของพระอิศวรเกิดความ ประทับใจชื่นชมใคร่ อยากจะเห็นพระอิศวรทรงฟ้ อนราอีก จึงได้กราบทูลปรึ กษาพระนารายณ์ และพระ นารายณ์ได้ทรงแนะนาให้พญาอนันตนาคราชไปบาเพ็ญตบะ พญาอนันตนาคราช จึงไปนัง่ บาเพ็ญตบะที่เขา ไกรลาศซึ่ งเป็ นสถานที่ที่พระอิศวรประทับอยูแ่ ละเพ่งกระแสจิต อย่างแนวแน่ จนในที่สุดพระอิศวรก็ได้
เสด็จลงมา พญาอนันตนาคราชจึงกราบทูลความประสงค์แก่พระอิศวร พระองค์จึงได้ประทานพรให้แสดง ท่าทางการร่ ายราต่างๆ เหมือนครั้งก่อนตามที่ พญาอนันตนาคราชทูลขอ (ซึ่ งต่อมาราว พ.ศ. 1800 ชาว อินเดียได้สร้างเทวสถานและได้สลัก รู ปท่าราต่างๆ ของพระอิศวรครบ ๑๐๘ ท่า เรี ยกว่า “เทวรู ปปางนาฏ ราช”) ของคนไทย ดังนั้นการศึกษาเรื่ องราวของนาฏศิลป์ ไทยจึงจาเป็ นที่ผเู ้ รี ยนต้องเข้าใจเรื่ องราวที่มาของการ ฟ้อนราของอินเดียควบคู่ไปด้วย
ต่อมาพระอิศวรทรงมีประสงค์ที่จะให้เหล่าบรรดาเทวดานางฟ้าทั้งหลายได้เห็นการร่ ายราของ พระองค์ จึงประกาศให้ประชุ มเทวสภา พระอิศวรก็แสดงการร่ ายราท่ามกลางที่ประชุม เทวสภาด้วยท่าทาง อันสง่า สวยงาม เป็ นที่นิยมยินดีโดยทัว่ กัน พระนารทฤๅษีซ่ ึ งอยูใ่ นที่น้ นั ได้จดบันทึกสร้างเป็ นตาราการ ฟ้อนราขึ้น พระภรตฤๅษีเป็ นผูบ้ ญั ญัติวธิ ี การแสดงละคร โดยแต่งเป็ นโศลกบรรยายท่าราต่างๆ ของพระ อิศวรทั้ง 108 ท่า ให้ราเบิกโรงด้วยลีลาราตามโศลกที่ขบั เป็ นทานองตั้งแต่ตน้ จนจบ แล้วจับเรื่ องให้แสดง เรื่ องกวนน้ าอมฤต ซึ่ งตานานการแสดงละครของพระภรตฤๅษีน้ ีมีชื่อว่า นาฏยศาสตร์ บางที่ก็เรี ยกว่า ภรต ศาสตร์ ตามชื่ อของท่านผูแ้ ต่ง (พระภรตฤๅษีผรู ้ จนานาฏยศาสตร์ คนไทยนับถือเป็ นปรมาจารย์ทางด้าน นาฏศิลป์ ) พระภรตฤๅษีปฐมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์
ตาราของราไทย ตารานาฏยศาสตร์ ที่พวกพราหมณ์ชาวอินเดียนาเข้ามาในประเทศไทย รู ปแบบเป็ นอย่างไร ไม่มี หลักฐานแน่ชดั แต่มีเค้าพอสันนิษฐานได้วา่ ตารานาฏศาสตร์ ที่พวกพราหมณ์ชาวอินเดีย นาเข้ามานั้นคงจะ ได้แปลเป็ นภาษาไทยเฉพาะบางส่ วนน่าจะเป็ นหลักฐานได้วา่ ตาราราของไทย แต่เดิมน่าจะแปลมาแต่ตารา นาฏยศาสตร์ ของอินเดีย แต่จะแปลไว้อย่างไรข้อนี้ไม่ทราบเพราะตาราของไทยได้สูญหายไปเมื่อครั้งกรุ งศรี อยุธยาเสี ยแก่พม่า ตาราราที่ได้รวบรวมไว้มีเก่าที่สุด ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็ นตาราท่าราต่างๆ เขียนเป็ นรู ประบายสี ปิดทอง 1 เล่ม มีลกั ษณะชารุ ด ขาดหาย อีกเล่มหนึ่งเป็ นตาราท่าราต่างๆ มีลกั ษณะเป็ น ระเบียบเดียวกัน แสดงว่าตารารา ที่ได้มาจาก พระราชวังบวรฯ น่าจะเป็ นการคัดลอกมาจากตาราราเล่มใน รัชกาลที่ 1 และเป็ นหลักฐานให้รู้ได้อีกว่าท่าราต่างๆ ที่ขาดไปจากเล่มรัชกาลที่ 1 นั้นเป็ นท่าใดบ้าง โดย อาศัยหลักฐานที่ได้จากตาราราทั้งสองเล่มนี้ เข้าใจว่าตาราราแบบนี้ น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยกรุ งศรี อยุธยา ครั้นถึง สมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้ครู ละคร ทาตาราท่าราขึ้นใหม่ไว้เป็ น แบบแผน ครั้นต่อมาจึงโปรดให้เจ้านายในวังคัดลอกตารานั้นไว้เป็ นแบบฉบับ สาหรับละคร บันทึกสมัยอยุธยา ในสมัยอยุธยามีหลักฐานปรากฏในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า มีการให้จดั แสดง โขน และการแสดงประเภทอื่นขึ้นในพระราชวังหลวงของกรุ งศรี อยุธยา ในลักษณะที่กล่าวได้วา่ เกือบจะ เหมือนกับรู ปแบบของนาฏศิลป์ ไทยที่ปรากฏอยูใ่ นประเทศไทยในปั จจุบนั และที่แพร่ หลายไปยังประเทศ เพื่อนบ้าน โดยในระหว่างที่ราชอาณาจักรอยุธยายังมีสัมพันธ์ทางการทูตโดยตรงกับฝรั่งเศส ราชทูตฝรั่งเศส ชื่อ ซีมง เดอ ลาลูแบร์ ได้เข้ามายังประเทศสยาม ในปี ค.ศ. 1687 และพานักอยูใ่ นกรุ งศรี อยุธยาเป็ นเวลา 3 เดือน เพื่อให้จดบันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศสยาม ตั้งแต่การปกครอง ภาษา ตลอดจนวัฒนธรรม
ประเพณี โดย ลาลูแบร์ ได้มีโอกาสได้สังเกตการแสดงนาฏศิลป์ ประเภทต่างๆในราชสานักไทย และจด บันทึกไว้โดยละเอียดดังนี้ "ชาวสยามมีศิลปะการเวทีอยูส่ ามประเภท: ประเภทที่เรี ยกว่า"โขน"นั้น .+เป็ นการร่ ายราเข้า ๆ ออก ๆ หลายคารบ ตามจังหวะซอและเครื่ องดนตรี อย่างอื่นอีก ผูแ้ สดงนั้นสวมหน้ากาก และถืออาวุธ แสดงบทหนัก ไปในทางสู ้รบกันมากกว่าจะเป็ นการร่ ายรา และมาตรว่าการแสดงส่ วนใหญ่จะหนักไปในทางโลดเต้นเผ่น โผนโจนทะยาน และวางท่าอย่างเกินสมควรแล้ว นาน ๆ ก็จะหยุดเจรจาออกมาสักคาสองคา หน้ากาก (หัวโขน) ส่ วนใหญ่น้ นั น่าเกลียด เป็ นหน้าสัตว์ที่มีรูปพรรณวิตถาร หรื อไม่เป็ นหน้าอสู รปี ศาจ" ส่ วนการ แสดงประเภทที่เรี ยกว่า "ละคร" นั้นเป็ นบทกวีที่ผสมผสานกัน ระหว่างมหากาพย์ และบทละครพูด ซึ่ ง แสดงกันยืดยาวไปสามวันเต็มๆ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า จนถึง ๑ ทุ่ม ละครเหล่านี้เป็ น ประวัติศาสตร์ ที่ร้อยเรี ยงเป็ น บทกลอนที่เคร่ งครึ ม และขับร้องโดยผูแ้ สดงหลายคนที่อยูใ่ นฉากพร้อมๆกัน และเพียงแต่ร้องโต้ตอบกัน เท่านั้น โดยมีคนหนึ่งขับร้องในส่ วนเนื้ อเรื่ อง ส่ วนที่เหลือจะกล่าวบทพูด แต่ท้ งั หมดที่ขบั ร้องล้วนเป็ นผูช้ าย ไม่มีผหู ้ ญิงเลย ส่ วน "ระบา" นั้นเป็ นการราคู่ของหญิงชาย ซึ่ งแสดงออกอย่างอาจหาญ นักเต้นทั้งหญิงและ ชายจะสวมเล็บปลอมซึ่งยาวมาก และทาจากทองแดง นักแสดงจะขับร้องไปด้วยราไปด้วย พวกเขาสามารถ ราได้โดยไม่เข้าพัวพันกัน เพราะลักษณะการเต้นเป็ นการเดินไปรอบๆ อย่างช้าๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่ รวดเร็ ว แต่เต็มไปด้วยการบิดและดัดลาตัว และท่อนแขน"
ในส่ วนที่เกี่ยวกับการแต่งกายของนักแสดงโขน ลา ลูแบร์ ได้บนั ทึกไว้วา่ : "นักเต้นใน "ระบา" และ "โขน" จะสวมชฎาปลายแหลมทาด้วยกระดาษมีลวดลายสี ทอง ซึ่งดูคล้ายๆ หมวกของพวกข้าราชการสยามที่ใส่ ในงานพิธี แต่จะหุ ม้ ตลอดศีรษะด้านข้างไปจนถึงใต้หู และตกแต่งด้วย หิ นอัญมณี เลียนแบบ และมีหอ้ ยพูส่ องข้างเป็ นไม้ทาสี ทอง"
ความสาคัญของนาฏศิลป์ ไทย นาฏศิลป์ นอกจากจะเป็ นเครื่ องมือบันเทิงใจสาหรับมนุษย์แล้ว นาฏศิลป์ ยังเป็ น การแสดงออกทาง ศิลปวัฒนธรรมที่ดีของชาติ และมีความสาคัญต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ในพิธีกรรมต่างๆ ตลอดทั้งยังสามารถ สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของสังคม ซึ่ งส่ งผลให้นาฏศิลป์ มีความสาคัญดังนี้ 1. นาฏศิลป์ แสดงถึงความเป็ นเอกลักษณ์ประจาชาติ ที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์เฉพาะ ที่สะท้อนถึงระดับ จิตใจ สภาพความเป็ นอยู่ ความรู ้ความสามารถ ความเป็ นไทย ความเจริ ญรุ่ งเรื อง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ซึ่ งอารยธรรมเหล่านี้มีกาเนิดจากศิลปะที่มีคุณค่า ทาให้เกิดความคิดที่จะช่วยกันสร้างสรรค์ ความ เจริ ญก้าวหน้าให้แก่บา้ นเมือง และตระหนักถึงความสาคัญที่จะต้องรักษานาฏศิลป์ ไว้เป็ นสมบัติทาง วัฒนธรรมของชาติ ดังที่เรณู โกศินานนท์ กล่าวถึงนาฏศิลป์ ไทยที่แสดงถึงความเป็ นไทยไว้ดงั นี้ 1.1) ท่าราอ่อนช้อยงดงามและแสดงอารมณ์ตามลักษณะที่แท้จริ งของคนไทยมีความหมาย กว้างขวาง
1.2) จะต้องมีดนตรี ประกอบดนตรี น้ ีจะแทรกอารมณ์หรื อรากับเพลงที่มีแต่ทานองก็ได้ หรื อมี เนื้อร้องและให้ท่าไปตามเนื้ อร้องนั้นๆ 1.3) คาร้อง หรื อเนื้ อร้องจะต้องเป็ นคาประพันธ์ ส่ วนมากจะเป็ นกลอนแปด ซึ่ งจะนาไปร้องกับ เพลงชั้นเดียวหรื อเพลงสองชั้นได้ทุกเพลง คาร้องนี้ทาให้ผสู ้ อน หรื อผูร้ ากาหนดท่าราไปตามเนื้ อร้อง
1.4) เครื่ องแต่งกายละครไทย ซึ่ งผิดแผกกับเครื่ องแต่งกายละครของชาติอื่น มีแบบอย่างของตน โดยเฉพาะขนาดยืดหยุน่ ได้ตามสมควร เพราะการสวมจะใช้กลึงด้วยด้ายแทนที่จะเย็บสาเร็ จรู ป การแต่งกาย ของละครไทยอาจจะคล้ายของเขมรก็เพราะได้แบบอย่างจากไทยไป
2. นาฏศิลป์ เป็ นแหล่งรวมของศิลปะแขนงต่างๆนาฏศิลป์ ไม่ได้จากัดเฉพาะเรื่ องของ การร้องราทาเพลง เท่านั้น แต่นาฏศิลป์ ยังได้รวมเอาศิลปะประเภทอื่นๆ มาใช้ร่วมในการแสดงด้วย เช่น ศิลปะในการประพันธ์ หรื อวรรณคดี ศิลปะการออกแบบเครื่ องแต่งกาย ตลอดจนไฟฟ้าแสงเสี ยงก็รวมอยูด่ ว้ ย ดังนั้นจึงกล่าวได้วา่
นาฏศิลป์ มีความสาคัญคือ เป็ นแหล่งรวมของศิลปะสาขาต่างๆ เข้าด้วยกัน ด้วยความประณี ตละเอียดอ่อน และรอบคอบสุ ขมุ ถึงจะสามารถทาให้การแสดงนาฏศิลป์ สมบูรณ์แบบสวยงาม จากความสาคัญของนาฏศิลป์ ที่กล่าวมาในข้างต้น จึงได้จดั ให้มีการเรี ยนการสอนนาฏศิลป์ เพื่อสร้างความ ตระหนัก และส่ งเสริ มลักษณะนิสัยที่ดีแก่นกั เรี ยน ดังนี้ ความมุ่งหมายของการเรี ยนนาฏศิลป์ โดยทัว่ ไปก็เพื่อ - ให้นกั เรี ยนมีความรู ้ความเข้าใจในศิลปะมากยิง่ ขึ้น - เพื่อเป็ นการดารงไว้ซ่ ึ งสิ ทธิ แห่งความเป็ นเจ้าของในสมบัติอนั มีค่า และเพื่อให้มนุษย์ รู ้ซ้ ึ งถึงคุณค่าของ ศิลปะของตนเอง - ส่ งเสริ มการอนุ รักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย - ฝึ กปฏิบตั ิเพื่อเกิดความรู ้ความชานาญ ส่ งเสริ มการแสดงออกได้อย่างถูกต้องเหมาะสม - เพื่อฝึ กหัดอบรมให้เกิดความรู ้ ความชานาญ มีความแตกฉานสามารถปรับปรุ งส่ งเสริ มให้ได้รับการยกย่อง ชมเชย - เพื่อทานุบารุ งและส่ งเสริ มศิลปวัฒนธรรมของชาติให้คงอยูแ่ ละเจริ ญก้าวหน้า - เพื่อปลูกฝังและส่ งเสริ มค่านิยมทางศิลปะ เห็นคุณค่าของนาฏศิลป์ ที่เป็ นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทย
ประโยชน์ของการเรี ยนนาฏศิลป์ ไทย 1. มีโอกาสได้แสดงออกและมีความเพลิดเพลิน 2. ปลูกฝังให้มีนิสัยรักในศิลปะแขนงนี้ 3. เป็ นการสื บสานและร่ วมกันรักษานาฏศิลป์ ของไทยให้เป็ นสมบัติอนั มีค่าประจาชาติสืบไป 4. เป็ นการสันทนาการที่ดีทางหนึ่ง ถึงแม้วา่ จะไม่ได้แสดงเองก็ตามเพราะขณะที่ไปชมการแสดงก็จะมี ความเข้าใจ เกิดความสนุก สามารถวิจารณ์ได้ถูกต้อง 5. ช่วยส่ งเสริ มความถนัด หากมีความสนใจ มีความถนัด และมีใจรักอาจเป็ นแนวทางประกอบอาชีพได้ 6. ร่ วมแสดงและทางานร่ วมกับบุคคลอื่นได้ เป็ นผูม้ ีมนุ ษยสัมพันธ์ที่ดี 7. ช่วยในการสร้างบุคลิกภาพ ให้มีการเคลื่อนไหวไม่ขดั ตา ท่าทางสง่างาม น่าดู ไม่เก้อเขินและเหนียมอาย เมื่ออยูต่ ่อหน้าคนจานวนมาก 8. เป็ นการออกกาลังกายที่ได้บริ หารทุกส่ วนของร่ างกาย ทาให้กล้ามเนื้อแข็งแรงด้วย
สรุ ป นาฏศิลป์ เป็ นศิลปะแห่งการละคร ฟ้อนรา และดนตรี อันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรื อนาฏยะ กาหนดว่า ต้องประกอบไปด้วย ศิลปะ 3 ประการ คือ การฟ้อนรา การดนตรี และการขับร้อง รวมเข้า ด้วยกัน ซึ่ งทั้ง 3 สิ่ งนี้ เป็ นอุปนิสัยของคนมาแต่ดึกดาบรรพ์ นาฏศิลป์ ไทยมีที่มาและเกิดขึ้นจากสาเหตุ ตามแนวคิดต่าง ๆ เช่น เกิดจากความรู ้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ไม่วา่ จะอารมณ์แห่งความสุ ข หรื อ ความทุกข์แล้วสะท้อนออกมาเป็ นท่าทาง แบบธรรมชาติและประดิษฐ์ข้ ึนเป็ นท่าทางลีลาการฟ้อนรา หรื อ เกิดจากลัทธิ ความเชื่อในการนับถือสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรา ขับร้อง ฟ้อนราให้เกิดความพึงพอใจ เป็ นต้น
ประเภทของนาฏศิลป์ ไทย นาฎศิลป์ คือ การร่ ายราที่มนุ ษย์ได้ปรุ งแต่งจากลีลาตามธรรมชาติให้สวยสดงดงาม โดยมีดนตรี เป็ น องค์ประกอบในการร่ ายรา นาฎศิลป์ ของไทย แบ่งออกตามลักษณะของรู ปแบบการแสดงเป็ นประเภทใหญ่ ๆ 4 ประเภท คือ
1.โขนประเภทของโขนแบ่งออกเป็ น ๕ ประเภท คือโขนกลางแปลง โขนโรงนอก หรื อโขนนัง่ ราว โขน หน้าจอ โขนโรงใน โขนฉาก ทศกัณฑ์เป็ นการแสดงนาฎศิลป์ ชั้นสู งของไทยที่มีเอกลักษณ์ คือ ผูแ้ สดง จะต้องสวมหัวที่เรี ยกว่า หัวโขน และใช้ลีลาท่าทางการแสดงด้วยการเต้นไปตามบทพากย์ การเจรจาของผู ้ พากย์และตามทานองเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงด้วยวงปี่ พาทย์ เรื่ องที่นิยมนามาแสดง คือ พระราชนิพนธ์บท ละครเรื่ องรามเกียรติ์ แต่งการเลียนแบบเครื่ องทรงของพระมหากษัตริ ยท์ ี่เป็ นเครื่ องต้น เรี ยกว่าการแต่งกาย แบบ “ยืน่ เครื่ อง” มีจารี ตขั้นตอนการแสดงที่เป็ นแบบแผน นิยมจัดแสดงเฉพาะพิธีสาคัญได้แก่ งานพระ ราชพิธีต่าง ๆ
2. ละคร ละครใน เป็ นละครที่เกิดขึ้นในพระราชฐานจึงเป็ นละครที่มีระเบียบแบบแผน สุ ภาพละครในมี ความมุ่งหมายสาคัญอยู่ 3 ประการ คือรักษาศิลปของการราอันสวยงามรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี เคร่ งครัด รักษาความสุ ภาพทั้งบทร้องและเจรจา เพราะฉะนั้นเพลงร้อง เพลงดนตรี จึงต้องดาเนินจังหวะ ค่อนข้างช้าเพื่อให้ราได้อ่อนช้อยสวยงาม ดนตรี ใช้วงปี่ พาทย์ จะเป็ นวงเครื่ องห้าเครื่ องคู่หรื อเครื่ องใหญ่ ก็ได้โรงมีลกั ษณะเดียวกับโรงละคร นอกแต่มกั เรี ยบร้อยสวยงามกว่าละครนอก เพราะใช้วสั ดุที่มีค่ากว่าเนื่องจากมักจะเป็ นละครของเจ้านาย หรื อผูด้ ีมีฐานะ เครื่ องแต่งกายแบบเดียวกับละครนอก แต่ถา้ แสดงเรื่ องอิเหนาตัวพระบางตัวจะสวมศีรษะ ด้วยปันจุเหร็ จในบางตอน การแสดงมีคนบอกบท ต้นเสี ยง ลูกคู่การร่ ายราสวยงามตามแบบแผน เนื่องจากรักษาขนบประเพณี เคร่ งครัดการเล่นตลกจึงเกือบจะไม่มีเลย บทที่แต่งใช้ถอ้ ยคาสุ ภาพคาตลาดจะมีบา้ งก็ในตอนที่กล่าวถึง พลเมือง ผูแสดงเป็ นผูห้ ญิงล้วนตัวประกอบอาจเป็ นผูช้ ายบ้าง เรื่ องที่ใช้แสดงละครใน แต่โบราณมีเพียง 3 เรื่ องคือเรื่ องรามเกียรติ์ อิเหนา และอุณรุ ท ภายหลังได้มีเพิ่มขึ้นบ้างเช่น เรื่ องศกุลตลาพระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่ 6
ละครนอก เป็ นละครของภาคกลาง นัยว่าวิวฒั นาการมาจากโนราเพราะมีความมุ่งหมายเช่นเดียวกันคือ ดาเนินเรื่ องรวดเร็ ว และตลกขบขันสมัยโบราณผูแ้ สดงผูช้ ายล้วน เพิ่งมีผหู ้ ญิงแสดงในปลายสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกการห้ามมิให้บุคคลทัว่ ไปมีละครผูห้ ญิงในตอนหลังผูแ้ สดงเป็ นผูห้ ญิงโดยมาก ผูช้ ายเกือบจะไม่มี ตัวละคร มีครบทุกตัวตามเนื้อเรื่ อง ไม่จากัดจานวนดนตรี ใช้วงปี่ พาทย์ จะเป็ นเครื่ องห้า เครื่ องคู่ หรื อ เครื่ องใหญ่ ได้ท้ งั นั้นโรงละคร มีฉากเป็ นผ้าม่าน มีประตูเข้าออก 2 ประตู หลังฉากเป็ นที่แต่งตัวและ สาหรับให้ตวั ละครพัก หน้าฉากเป็ นที่แสดงตั้งเตียงตรงกลางหน้าฉาก การแต่งกายเลียนแบบเครื่ องต้นของ กษัตริ ย ์ ตัวพระสวมชฎา ตัวนางสวมเครื่ องประดับศีรษะตามฐานะเช่น มงกุฎกษัตรี รัดเกล้ายอด รัดเกล้า เปลว และกระบังหน้าเสื้ อผ้าปั กดิ้นเลื่อมแพรวพราว การแสดง มีคนบอกบท มีตน้ เสี ยงและลูกคู่สาหรับร้อง บางตัวละครอาจร้องเอง การราเป็ นแบบแคล่วคล่องว่องไวพริ้ งเพรา จังหวะของการร้องและการบรรเลง ดนตรี ค่อนข้างเร็ วเวลาเล่นตลกมักเล่นนานๆ ไม่คานึงถึงการดาเนิ นเรื่ อง และไม่ถือขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น ตัวกษัตริ ยห์ รื อมเหสี จะเล่นตลกกับเสนาก็ได้ เริ่ มต้นแสดงก็จบั เรื่ องที่เดียวไม่มีการไหว้ครู เรื่ องที่ละคร นอกแสดงได้สนุกสนานเป็ นที่นิยมแพร่ หลายบทที่สามัญชนแต่งได้แก่ เรื่ องแก้วหน้าม้า ลักษณวงศ์ และ จันทโครพบทที่เป็ นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 ได้แก่ เรื่ องสังข์ทอง สังข์ศิลป์ ชัย ไชยเชษฐ์คาวี มณี พิชยั และไกรทอง
3. รา และ ระบา เป็ นศิลปะแห่งการร่ ายราประกอบเพลงดนตรี และบทขับร้อง โดยไม่เล่นเป็ นเรื่ องราว ในที่น้ ีหมายถึงราและ ระบาที่มีลกั ษณะเป็ นการแสดงแบบมาตรฐาน ซึ่ งมีความหมายที่จะอธิ บายได้พอสังเขป ดังนี้ 3.1 รา ราไทย หมายถึง ศิลปะแห่งการรายราที่มีผแู ้ สดง ตั้งแต่ 1-2 คน เช่น การราเดี่ยว การราคู่ การรา อาวุธ เป็ นต้น มีลกั ษณะการแต่งการตามรู ปแบบของการแสดง ไม่เล่นเป็ นเรื่ องราวอาจมีบทขับร้อง ประกอบการราเข้ากับทานองเพลงดนตรี มีกระบวนท่ารา โดยเฉพาะการราคู่จะต่างกับระบา เนื่ องจากท่ารา จะมีความเชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องกัน และเป็ นบทเฉพาะสาหรับผูแ้ สดงนั้น ๆ เช่น ราเพลงช้าเพลงเร็ ว รา แม่บท ราเมขลา –รามสู ร เป็ นต้น 3.2 ระบา ระ และระบาหมายถึง ศิลปะแห่งการร่ ายราที่มีผเู ้ ล่นตังแต่ 2 คนขึ้นไป มีลกั ษณะการแต่งการ คล้ายคลึงกัน กระบวนท่ารายราคล้าคลึงกัน ไม่เล่นเป็ นเรื่ องราว อาจมีบทขับร้องประกอบการราเข้าทานอง เพลงดนตรี ซึ่ งระบาแบบมาตรฐานมักบรรเลงด้วยวงปี่ พาทย์ การแต่งการนิยมแต่งกายยืนเครื่ องพระนางหรื อแต่งแบบนางในราชสานัก เช่น ระบาสี่ บท ระบากฤดาภินิหาร ระบาฉิ่ งเป็ นต้น
4. การแสดงพื้นเมือง เป็ นศิลปะแห่งการร่ ายราที่มีท้ งั รา ระบา หรื อการละเล่นที่เป็ นเอกลักษณ์ของกลุ่มชนตามวัฒนธรรมในแต่ละ ภูมิภาค ซึ่ งสามารถแบ่งออกเป็ นภูมิภาคได้ 4 ภาค ดังนี้
4.1 การแสดงพี้นเมืองภาคเหนือ ราพื้นบ้านภาคเหนือ เป็ นศิลปะการรา และการละเล่น หรื อที่นิยมเรี ยกกัน ทัว่ ไปว่า “ฟ้อน” การฟ้ อนเป็ นวัฒนธรรมของชาวล้านนา และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาว ยอง ชาวเขิน เป็ นต้น ลักษณะของการฟ้อน แบ่งเป็ น 2 แบบ คือ แบบดั้งเดิม และแบบที่ปรับปรุ งขึ้นใหม่ แต่
ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่าราที่แช่มช้า อ่อนช้อยมีการแต่งกายตามวัฒนธรรม ท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรี พ้นื บ้าน เช่น วงสะล้อ ซอ ซึ ง วงปูเจ่ วง กลองแอว เป็ นต้น โอกาสที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณี หรื อต้นรับแขกบ้านแขกเมือง ได้แก่ ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนครัวทาน ฟ้อนสาวไหมและฟ้อนเจิง
4.2 การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง รากลองยาวเป็ นศิลปะการร่ ายราและการละเล่นของชนชาวพื้นบ้านภาค กลาง ซึ่ งส่ วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคล้องกับวิถีชีวติ และพื่อความ บันเทิงสนุกสนาน เป็ นการพักผ่อนหย่อนใจจากการทางาน หรื อเมื่อเสร็ จจากเทศการฤดูเก็บเก็บเกี่ยว เช่น การเล่นเพลงเกี่ยวข้าว เต้นการาเคียว ราโทนหรื อราวง ราเถิดเทอง รากลองยาว เป็ นต้น มีการแต่งกายตาม วัฒนธรรมของท้องถิ่น และใช้เครื่ องดนตรี พ้ืนบ้าน เช่น กลองยาว กลองโทน ฉิ่ ง ฉาบ กรับ และโหม่ง
4.3 การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน ราพื้นบ้านเป็ นศิลปะการราและการเล่นของชาวพื้นบ้านภาคอีสาน หรื อ ภาคตะวนออกเฉี ยงเหนื อของไทย แบ่งได้เป็ น 2 กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ ๆ คือ กลุ่มอีสานเหนื อ มีวฒั นธรรม ไทยลาวซึ่ งมักเรี ยกการละเล่นว่า “เซิ้ง ฟ้อน และหมอลา” เช่น เซิ้งบังไฟ เซิ้งสวิง ฟ้อนภูไท ลากลอนเกี้ยว ลาเต้ย ซึ่งใช้เครื่ องดนตรี พ้นื บ้านประกอบ ได้แก่ แคน พิณ ซอ กลองยาว อีสาน ฉิ่ ง ฉาบ ฆ้อง และกรับ ภายหลังเพิ่มเติมโปงลางและโหวดเข้ามาด้วย ส่ วนกลุ่มอีสานใต้ได้รับอิทธิ พลไทยเขมร มีการละเล่นที่ เรี ยกว่า เรื อม หรื อ เร็ อม เช่น เรื อมลูดอันเร หรื อรากระทบสาก รากระเน็บติงต็อง หรื อระบาตัก๊ แตน ตาข้าว ราอาไย หรื อราตัด หรื อเพลงอีแซวแบบภาคกลางวงดนตรี ที่ใช้บรรเลง คือ วงมโหรี อีสานใต้ มีเครื่ องดนตรี คือ ซอด้วง ซอด้วง ซอครัวเอก กลองกันตรึ ม พิณ ระนาด เอกไม้ ปี่ สไล กลองรามะนาและเครื่ องประกอบ จังหวะ การแต่งกายประกอบการแสดงเป็ นไปตามวัฒนธรรมของพื้นบ้าน ลักษณะท่าราและท่วงทานอง ดนตรี ในการแสดงค่อนข้างกระชับ รวดเร็ ว และสนุกสนาน
4.4 การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ โนราเป็ นศิลปะการราและการละเล่นของชาวพื้นบ้านภาคใต้อาจแบ่งตาม กลุ่มวัฒนธรรมได้ 2 กลุ่มคือ วัฒนธรรมไทยพุทธ ได้แก่ การแสดงโนรา หนังตะลุง เพลงบอก เพลงนา และ วัฒนธรรมไทยมุสลิม ได้แก่ รองเง็ง ซาแปง มะโย่ง (การแสดงละคร) ลิเกฮูลู (คล้ายลิเกภาคกลาง) และซิ ละ มีเครื่ องดนตรี ประกอบที่สาคัญ เช่น กลองโนรา กลองโพน กลองปื ด โทน ทับ กรับพวง โหม่ง ปี่ กาหลอ ปี่ ไหน รามะนา ไวโอลิน อัคคอร์ เดียน ภายหลังได้มีระบาที่ปรับปรุ งจากกิจกรรมในวิถีชีวติ ศิลปาต่างๆ เข่น ระบาร่ อนแต่ การี ดยาง ปาเตต๊ะ เป็ นต้น
ดนตรี และเพลงประกอบการแสดงนาฎศิลป์ ไทย ดนตรี เพลง และการขับร้องเพลงไทยสาหรับประกอบการแสดง สามารถแบ่งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ ไทย และเพลงสาหรับประกอบการแสดงนาฏศิลป์ ไทย ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ ไทย
ประกอบด้วย ดนตรี ประกอบการแสดงโขน – ละคร วงดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงโขนและละครของไทยคือ วงปี่ พาทย์ ซึ่งมีขนาดของวงเป็ นแบบวง ประเภทใดนั้นขึ้นอยูก่ บั ลักษณะของการแสดงนั้น ๆ ด้วย เช่น การแสดงโขนนัง่ ราวใช้วงปี่ พาทย์เครื่ องห้า 2 วง การแสดงละครในอาจใช้วงปี่ พาทย์เครื่ องคู่ หรื อการแสดงดึกดาบรรพ์ตอ้ งใช้วงปี่ พาทย์ดึกดาบรรพ์เป็ น ต้น ดนตรี ประกอบการแสดงราและระบามาตรฐาน การแสดงราและระบาที่เป็ นชุดการแสดงที่เรี ยกว่า รามาตรฐานและระบามาตรฐานนั้น เครื่ องดนตรี ที ใช้ประกอบการแสดงอาจมีการนาเครื่ องดนตรี บางชนิดเข้ามาประกอบการแสดง จะใช้วงปี่ พาทย์บรรเลง เช่น ระบากฤดาภินิหาร อาจนาเครื่ องดนตรี ขิมหรื อซอด้วง ม้าล่อ กลองต๊อก และกลองแด๋ ว มาบรรเลง ในช่วงท้ายของการราที่เป็ นเพลงเชิดจีนก็ได้ ดนตรี ประกอบการแสดงพื้นเมือง ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงพื้นเมืองภาคต่าง ๆ ของไทยจะเป็ นวงดนตรี พ้นื บ้าน ซึ่ งนับเป็ น เอกลักษณ์ที่มีคุณค่าของแต่ละภูมิภาค ได้แก่
ดนตรี พ้นื บ้านภาคเหนือ มีเครื่ องดนตรี เช่น พิณเปี๊ ยะ ซึ ง สะล้อ ปี่ แน ปี่ กลาง ปี่ ก้อย ปี่ ตัด ปี่ เล็ก ป้ าดไม้ (ระนาดไม้) ป้าด เหล็ก (ระนาดเหล็ก) ป้าดฆ้อง (ฆ้องวงใหญ่) ฆ้องหุ่ย ฆ้องเหม่ง กลองหลวง กลองแอว กลองปู่ เจ่ กลองปู จา กลองสะบัดไชย กลองเซิ ง กลองเต่งทิ้ง กลองม่าน และกลองตะโล้ดโป้ ด เมื่อนามารวมเป็ นวง จะได้วง ต่าง ๆ คือ วงสะล้อ ซอ ซึ ง วงปู่ จา วงกลองแอว วงกลองม่าน วงปี่ จุม วงเติ่งทิ้ง วงกลองปูจาและวงกลอง สะบัดไชย
ดนตรี พ้นื เมืองภาคกลาง เป็ นเครื่ องดนตรี ประเภทเดียวกับวงดนตรี หลักของไทยคือ วงปี่ พาทย์และเครื่ องสาย ซึ่ งลักษณะใน การนามาใช้อานาจนามาเป็ นบางส่ วนหรื อบางประเภท เช่น กลองตะโพนและเครื่ องประกอบจังหวะ นามาใช้ในการเล่นเพลงอีแซว เพลงเกี่ยวข้าว กลองรามะนาใช้เล่นเพลงลาตัด กลองยาวใช้เล่นราเถิดเทิง กลองโทนใช้เล่นราวงและราโทน ส่ วนเครื่ องเดินทานองก็นิยมใช้ระนาด ซอหรื อปี่ เป็ นต้น
ดนตรี พ้นื เมืองภาคอีสาน มีเครื่ องดนตรี สาคัญ ได้แก่ พิณ อาจเรี ยกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น ซุ ง หมากจับปี่ หมากตับแต่งและ หมากต๊ดโต่ง ซอ โปงลาง แคน โหวด กลองยาวอีสาน กลองกันตรึ ม ซอกันตรึ ม ซอด้วง ซอตรัวเอก ปี่ อ้อ ปราเตรี ยง ปี่ สไล เมื่อนามาประสมวงแล้วจะได้วงดนตรี พ้นื เมือง คือ วงโปงลาง วงแคน วงมโหรี อีสานใต้ วงทุ่มโหม่ง และวงเจรี ยงเมริ น
ดนตรี พ้นื เมืองภาคใต้ มีเครื่ องดนตรี ที่สาคัญ ได้แก่ กลองโนรา กลองชาตรี หรื อกลองตุก๊ กลองโพน กลองปื ด โทน กลอง ทับ รามะนา โหม่ง ฆ้องคู่ ปี่ กาหลอ ปี่ ไหน กรับพวงภาคใต้ แกระ และนาเครื่ องดนตรี สากลเข้ามาผสม ได้แก่ ไวโอลิน กีตา้ ร์ เบนโจ อัคคอร์ เดียน ลูกแซ็ก ส่ วนการประสมวงนั้น เป็ นการประสมวงตามประเภท ของการแสดงแต่ละชนิด
เพลงไทยประกอบการแสดงโขน ละคร รา และระบามาตรฐาน เพลงไทยที่ใช้บรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงนาฏศิลป์ ไทย โขน ละคร ราและระบามาตรฐาน นั้นแบ่งได้เป็ น 2 ประเภทดังนี้ เพลงหน้าพาทย์ โดยหลักใหญ่ๆ เพลงหน้าพาทย์แบ่งออกเป็ นสองอย่างด้วยกันคือ เพลงหน้าพาทย์ใช้บรรเลงอย่าง หนึ่งและเพลงหน้าพาทย์ใช้ประกอบกิริยาอาการของตัวโขน ละครามบทอีกอย่างหนึ่งปี่ พาทย์ที่ไม่ได้ ประกอบการแสดงอิสระในการบรรเลงไม่กาหนดเวลาที่แน่นอนอยูท่ ี่ผบู ้ รรเลง เป็ นส่ วนใหญ่ปี่พาทย์ ที่ประกอบการแสดงนั้นผูบ้ รรเลงจะต้องยึดผูแ้ สดงเป็ นส่ วนใหญ่ จะต้องใช้จงั หวะที่ แน่นอน ท่วงทานองเพลงต้องให้สอดคล้องกับผูแ้ สดงจึงจะเกิดความสมดุลกัน และเกิดสุ นทรี ยร์ สมากขึ้น เพลงเชิด ประกอบกิริยาไปมาไกลๆ หรื อรี บเร่ ง หรื อว่าต่อสู ้กนั เพลงเสมอ ประกอบกิริยาไปมาใกล้ๆ จากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง เช่น ออกจากห้องนอนไป ห้องรับแขก ออกจากห้องรับแขกไปเฉลียง เป็ นต้น เพลงโอด ประกอบกิริยาร้องไห้ หรื อสลบ หรื อตายได้ท้ งั นั้น
เพลงเหาะ ประกอบกิริยาไปมาในอากาศของเทวดา เพลงโล้ ประกอบกิริยาไปมาหรื อเคลื่อนไหวในน้ าทั้งของมนุษย์ สัตว์ หรื อวัตถุใดๆ ก็ได้ เพลงตระนอน ประกอบกับกิริยานอน เพลงตระนิมิต ประกอบการร่ ายอาคมคาถาที่จะให้เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น หรื อสู ญไป หรื อประสงค์ อย่างอื่นด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ของอาคมคาถานั้น
เพลงขับร้องรับส่ ง คือเพลงไทยทีนามาบรรจุไว้ในบทโขน – ละคร อาจนามาจากเพลงตับ เถา หรื อเพลงเกร็ ด เพื่อ บรรเลงขับร้องประกอบการราบทหรื อใช้บทของตัวโขน ละครหรื อเป็ นบทขับร้องในเพลงสาหรับการราแล ระบา เช่น เพลงช้าปี่ เพลงขึ้นพลับพลา เพลงนกกระจอกทอง เพลงลมพัดชายเขา เพลงเวสสุ กรรม เพลงแขก ตะเขิ่ง เพลงแขกเจ้าเซ็น เป็ นต้น
และคือเพลงไทยนาเข้าจากบทเพลงตับเถ้าหรื อเพลงเกร็ ดเพื่อบรรเลงขับร้องประกอบการราบทหรื อ ใช้บทโขนละครหรื อบทเพลงในเพลงเพื่อการผ่อนคลายเหมือนเพลงช้าปี่ เพลงขึ้นพลับพลาเพลงนกกระจอก ทองเพลงลาบัดเนี้ยยยยวเพลง เวสโซเซี ยเพลงแขกโคว์ เพลงไทยประกอบการแสดงนาฏศิลป์ ปลาตะเพียน เป็ นบทเพลงพื้นบ้านที่ใช้บรรเลงและการขับขี่ ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ โดยแบ่งออกตามภูมิภาค เพลงไทยประกอบการแสดงโขนละครราและระบามาตรฐาน เพลงไทยที่ใช้บรรเลงและการขับขี่ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ ไทยโขนละครราและระบา โดยหลัก แหล่ง การประดิษฐ์คิดค้นของตัวเองโอมานละครามบทคัดย่ออีกหนึ่งปี่ พีไม่มีส่วนร่ วมในการยับยั้งชัง่ ใจ ใหญ่จะต้องใช้จงั หวะที่แน่นอน ท่วงทานองเพลงต้องให้แนวกับผูแ้ สดงจะเกิดความรู ้สึกและเกิดขึ้น
เพลงเสภาหรื อร้องส่ ง ที่เรี ยกว่าเพลงเสภาหรื อร้องส่ งนี้ก็เพราะว่าเดิมทีเดียวเพลงประเภทนี้ได้ใช้ร้องส่ งในการขับเสภา เสภาในสมัยโบราณนั้นไม่มีปี่พาทย์หรื อเครื่ องดนตรี ใดๆ ประกอบจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงได้มีปี่พาทย์เข้า บรรเลงประกอบการร้องส่ ง วิธีการก็คือ ขับเสภาไปพักหนึ่งแล้วก็ร้องส่ งให้ปี่พาทย์รับ พอจบเพลงแล้วก็ขบั เสภาไปอีก แล้วก็ร้องส่ งให้ปี่พาทย์รับอีกสลับกันไปเช่นนี้ เมื่อจะจบการบรรเลงก็ร้องส่ งเพลงลา อีกเพลง หนึ่งเพลงที่แทรกอยูใ่ นการขับเสภานี้ได้เปลี่ยนแปลงมาตามลาดับ ต่อมาภายหลังจึงได้เปลี่ยนเป็ นเพลงสอง ชั้นต่างๆ ตั้งแต่โหมโรงจนถึงเพลงลา ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเป็ นสมัยที่วงการดนตรี ปี่พาทย์ทวั่ ไป นิยม เพลงอัตราสามชั้นกันอย่างแพร่ หลาย ในการขับเสภาจึงได้นาเอาเพลงอัตราสามชั้น เข้ามาร้องแทรกแทน เพลงสองชั้นของเดิมตั้งแต่โหมโรงถึงเพลงลา การเรี ยงเพลงก็วางไว้เป็ นแบบแผน เริ่ มกันด้วยปี่ พาทย์บรรเลงรัวประลองเสภา ซึ่งเป็ นเพลงที่ใช้ สาหรับนักดนตรี ปี่พาทย์ได้ยืดเส้นยืดสาย ทาให้ประสาทตื่นตัว ก่อนที่จะบรรเลงเพลงอื่นๆ ต่อจากนั้นก็เริ่ ม เพลงโหมโรงซึ่ งเรี ยกว่า เพลงโหมโรงเสภา เป็ นเพลงสามชั้นซึ่ งท่านผูแ้ ต่งได้แต่งขึ้นโดยเฉพาะให้เป็ นเพลง โหมโรง แต่เพลงโหมโรงนี้ จะต้องจบลงด้วยทานองท้ายเพลงวา เพลงร้องที่เป็ นอันดับแรกก็คือ เพลงพะม่า ห้าท่อน แล้วจึงเพลงจระเข้หางยาว เพลงสี่ บท และเพลงบุหลัน ต่อจากนี้ก็แล้วแต่จะต้องการร้องหรื อฟัง เพลงอะไร ในสมัยต่อมาจะเป็ นด้วยหาผูข้ บั เสภาดีๆ ยาก หรื อว่าความนิยมฟังเสภาจะเสื่ อมลง จึงเปลี่ยนเป็ นไม่มีขบั เสภา เหลือแต่เพียงร้องส่ งให้ปี่พาทย์รับ แต่เพลงต่างๆ ก็ยงั คงดาเนินเหมือนกับเมื่อบรรเลงเพลงประกอบกับ การขับเสภาตั้งแต่รัวประลองเสภา โหมโรงเสภา ไปจนถึง เพลงลา ซึ่ งได้ใช้สืบต่อมาจนปั จจุบนั แต่ใน ปั จจุบนั นี้ เพลงร้องมักจะไม่ดาเนินตามที่ได้วางแบบแผนไว้แต่เดิม พอจบเพลงโหมโรงเสภาแล้วก็ร้องเพลง ต่างๆ แล้วแต่อธั ยาศัย แต่ยงั มีร้องส่ งเพลงลา ซึ่ งเป็ นเพลงสุ ดท้ายตามแบบแผนเดิมอยู่
เพลงมโหรี เพลงมโหรี ก็คือเพลงที่มโหรี ใช้บรรเลง ซึ่ งจะต้องแยกออกอธิบายเป็ น ๒ ตอน ตอนหนึ่งนั้นเป็ นเพลง มโหรี สมัยโบราณ สมัยโบราณมโหรี บรรเลงแต่เพลงสองชั้นเท่านั้น เพราะเพลงสามชั้นยังไม่เกิด เพลงสอง ชั้นที่มโหรี สมัยโบราณใช้บรรเลงก็มีท้ งั เพลงตับ และเพลงเกร็ ด แต่วา่ เพลงเกร็ ดรู ้สึกว่าความนิยมจะน้อย โดยมากจะนิยม ขับร้องและ บรรเลงเป็ นเพลงตับกันทั้งนั้น
เพลงตับ เพลงตับก็คือเพลงหลายๆ เพลงนามาเรี ยบเรี ยงติดต่อกัน เรี ยกเพลงชนิดนี้วา่ เพลงตับเรื่ อง แล้วใช้ชื่อ เพลงแรกของตับนั้นเป็ นชื่ อของตับ เช่น เพลงตับเรื่ องบังใบ ก็มีเพลงบังใบเป็ นเพลงแรก แล้วติดต่อด้วยเพลง ต่างๆ อีกหลายเพลง ในสมัยอยุธยา มีวธิ ี การที่จะไม่ให้ลืมหลงชื่อเพลงที่เรี ยบเรี ยงไว้ในตับ โดยท่านได้นา เพลงต่างๆ ในตับมาผูกเป็ นกลอนไว้ให้ท่องจาด้วย เช่น เพลงตับเรื่ อง โฉลก ถือว่าเป็ น เพลงไหว้ครู เป็ น เพลงตับสาคัญตับหนึ่ง มีเพลงโฉลกแรก ลอยชายเข้าวัง อักษรโฉลก วิศาลโฉลก มหาวิศาลโฉลก พราหมณ์ เข้าโบสถ์ และ โยคีโยนแก้วท่านก็แต่งเป็ นกลอนไว้ ว่าดังนี้
“ข้าไหว้ครู ซอขอคานับ ขับบรรสารสายสุ หร่ ายเรื่ อง มโหรี แรกเริ่ มเฉลิมเมือง บอกเบื้องฉบับบุราณนาน แต่บรรดาเพลงใหญ่ให้รู้ คือโฉลกแรกเรื่ อยเฉื่ อยฉาน ชื่อ
วิศาลโฉลกนั้นเป็ นหลัน่ ลด
อักษรโฉลกบรรเลงลาน พราหมณ์เดินเข้ายังอุโบสถ มหาโฉลกลอยชายเข้าวัง เจ็ดบทบอกต้นดนตรี ” โยคีโยนมณี โชติชด ชื่อเพลงของตับนี้ที่บนั ทึกเป็ นตาราธรรมดากับที่ผกู เป็ นกลอนมีแตกต่างกันอยูแ่ ห่งหนึ่ ง คือ เพลง ลอยชายเข้าวัง ตามตารานั้นเป็ นอันดับที่ ๒ แต่ในกลอนเป็ นอันดับที่ ๕ แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฉบับนี้เป็ นคน ละคณะหรื อคนละครู เพลงตับเรื่ องมโหรี ในสมัยรัตนโกสิ นทร์ ก็แตกต่างกับสมัยอยุธยา เพลงตับเรื่ องมโหรี ของสมัยอยุธยา นามาใช้บรรเลงกันน้อยลงไปทุกทีๆ แล้วเรี ยบเรี ยงเพลงตับมโหรี ข้ ึนใหม่ เช่น เพลงตับต้นเพลงฉิ่ ง เพลงตับ นางนาค และเพลงตับทะแย ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่ งเป็ นสมัยที่นิยมเพลงอัตราสามชั้นกันอย่างแพร่ หลาย ในวงดนตรี ต่างๆ ก็ นิยมใช้เพลงสามชั้นกันทั้งนั้น ต่างก็นาเพลงตับต่างๆ เหล่านั้น มาแต่งขึ้นเป็ นสามชั้นไปทุกๆ ตับ เพลงตับ มโหรี ต่างๆ ก็กลายเป็ นเพลงตับอัตราสามชั้นไปทั้งหมด เพลงเกร็ ด ครั้นมาในสมัยหลังๆ นี้ การนิยมฟังเพลงตับได้ลดน้อยลงไปเป็ นอันมาก เพราะว่าบรรเลงเพลงตับ หนึ่งๆ นั้นจะต้องบรรเลงเป็ นเวลานานๆ จึงจะจบตับ จึงได้เปลี่ยนมาร้องและบรรเลงเป็ นเพลงเกร็ ด คือ
บรรเลงให้จบไปเป็ นเพลงๆ อยากจะฟังเพลงไหนก็บรรเลงเพลงนั้นเฉพาะเป็ นเพลงๆ ไป ยิง่ กว่านั้นในสมัย ปั จจุบนั การบรรเลงมโหรี ได้นาเอาวิธีการร้องส่ งของวงปี่ พาทย์มาใช้โดยตลอดคือ เริ่ มโหมโรงด้วยเพลงโหม โรงเสภา แล้วร้องส่ งเพลงต่างๆ จนถึงสุ ดท้ายจะเลิกบรรเลงจึงร้องส่ งเพลงลาอีกเพลงหนึ่ง เช่นเดียวกับการ บรรเลงเพลงเสภาหรื อร้องส่ งของวงปี่ พาทย์ที่ได้กล่าวมาแล้ว แม้วงเครื่ องสายก็บรรเลงเพลงต่างๆ เป็ นแบบ เดียวกันนี้ไปด้วย
การแต่งกายนาฏศิลป์ การแต่งกาย การแสดงนาฏศิลป์ ไทย โดยเฉพาะการแสดงโขนนั้นได้จาแนกผูแ้ สดงออกเป็ น 4 ประเภท ตาม ลักษณะของบทบาทและการฝึ กหัด คือ ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์ และตัวลิง ซึ่ งในแต่ละตัวนั้น นอกจาก บุคลิกลักษณะที่ถ่ายทอดออกมาให้ผชู ้ มทราบจากการแสดงแล้ว เครื่ องแต่งกายของผูแ้ สดงก็ยงั เป็ น สัญลักษณ์ที่สาคัญอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า ผูน้ นั รับบทบาทแสดงเป็ นตัวใด เครื่ องแต่งกายนาฏศิลป์ ไทยมีความงดงามและมีกรรมวิธีการประดิษฐ์ที่วิจิตรบรรจงเป็ นอย่างยิง่ ทั้งนี้เพราะที่มาของเครื่ องแต่งกายนาฏศิลป์ ไทยนั้น จาลองแบบมาจากเครื่ องทรงของพระมหากษัตริ ย ์ (เครื่ องต้น) แล้วนามาพัฒนาให้เหมาะสมต่อการแสดง ซึ่ งจาแนกออกเป็ น 4 ฝ่ าย ดังนี้
- เครื่ องแต่งตัวพระ
- เครื่ องแต่งตัวนาง
- เครื่ องแต่งตัวยักษ์
- เครื่ องแต่งตัวลิง
สาหรับเครื่ องแต่งตัวพระและตัวนางดังกล่าวนี้ จะใช้แต่งกายสาหรับผูร้ าในระบามาตรฐาน เช่น ระบาสี่ บท ระบาดาวดึงส์ ระบาพรหมมาสตร์ ราบาย่องหงิด และระบากฤดาภินิหาร เป็ นต้น และยังใช้แต่ง กายสาหรับตัวละครในการแสดงละครนอกและละครในด้วย ส่ วนในระบาเบ็ดเตล็ด เช่น ระบานพรัตน์
ระบาตรี ลีลา ระบาไตรภาคี ระบาไกรลาสสาเริ ง ระบาโบราณคดีชุดต่างๆ หรื อระบาสัตว์ต่างๆ จะใช้เครื่ อง แต่งกายให้ถูกต้องตรงตามรู ปแบบของระบานั้นๆ เช่น ระบาโบราณคดี ก็ตอ้ งแต่งกายให้ถูกต้องตรงตาม หลักฐานที่ปรากฏในรู ปปั้ นหรื อภาพจาหลัก ตามโบราณสถานในยุคสมัยนั้น เป็ นต้น นอกจากนี้ ยังมีการ แสดงที่เป็ นนาฏศิลป์ พื้นเมืองของท้องถิ่นต่างๆ ซึ่ งจาเป็ นต้องแต่งกายให้สวยงามถูกต้องตามวัฒนธรรมของ ท้องถิ่นด้วย
นอกจากนี้ยงั มีเครื่ องแต่งกายประกอบการแสดงโขน ที่เห็นได้ชดั เจนคือ การแต่งกายชุดยักษ์ ชุดลิง (หนุมาน) และหัวโขนที่ใช้ในการแสดงโขนเรื่ องรามเกียรติ์ เป็ นต้น
เครื่ องแต่งตัวพระ
(แขนขวา - แสดงเสื้ อแขนสั้นไม่มีอินทรธนู แขนซ้าย - แสดงเสื้ อแขนยาวมีอินทรธนู) 1. กาไลเท้า 2. สนับเพลา 3. ผ้านุ่ง ในวรรณคดี เรี ยกว่า ภูษา หรื อพระภูษา
4. ห้อยข้าง หรื อเจียระบาด หรื อชายแครง5. เสื้ อ ในวรรณคดีเรี ยกว่า ฉลององค์ 6. รัดสะเอว 7. ห้อยหน้า หรื อชายไหว 8. สุ วรรณกระถอบ9. เข็มขัด หรื อปั้ นเหน่ง 10. กรองคอ 11. ตาบหน้า หรื อ ตาบทับ ในวรรณคดีเรี ยกว่า ทับทรวง 12.อินทรธนู 13. พาหุรัด 14.สังวาล 15. ตาบทิศ 16. ชฎา 17. ดอกไม้เพชร(ซ้าย) 18. จอนหู ในวรรณคดีเรี ยกว่า กรรเจียก หรื อกรรเจียกจร 19.ดอกไม้ทดั (ขวา) 20. อุบะ หรื อพวงดอกไม้(ขวา)21. ธามรงค์ 22. แหวนรอบ 23.ปะวะหล่า 24. กาไลแผง ในวรรณคดีเรี ยกว่า ทองกร
เครื่ องแต่งตัวนาง
1. กาไลเท้า 2. เสื้ อในนาง 3. ผ้านุ่ง ในวรรณคดี เรี ยกว่า ภูษา หรื อพระภูษา 4. เข็มขัด 5. สะอิ้ง 6. ผ้าห่มนาง 7. นวมนาง ในวรรณคดีเรี ยกว่า กรองศอ หรื อสร้อยนวม 8. จี้นาง หรื อ ตาบทับ ในวรรณคดีเรี ยกว่า ทับทรวง 9. พาหุรัด 10. แหวนรอบ
11. ปะวะหล่า 12. กาไลตะขาบ 13. กาไลสวม ในวรรณคดีเรี ยกว่า ทองกร 14. ธามรงค์ 15. มงกุฎ 16. จอนหู ในวรรณคดีเรี ยกว่า กรรเจียก หรื อกรรเจียกจร 17. ดอกไม้ทดั (ซ้าย) 18. อุบะ หรื อพวงดอกไม้ (ซ้าย)
เครื่ องแต่งตัวยักษ์
ยักษ์ (ทศกัณฐ์) คือ เครื่ องแต่งกายของผูแ้ สดงเป็ นตัวยักษ์ ประกอบด้วย ส่ วนประกอบของเครื่ องแต่งกายดังภาพ นอกจากนี้ยงั มีเครื่ องแต่งกายประกอบการแสดงโขน ที่เห็นได้ ชัดเจนคือ การแต่งกายชุดยักษ์ ชุดลิง (หนุมาน) และหัวโขนที่ใช้ในการแสดงโขนเรื่ องรางเกียรติ์ เป็ น ต้น
เครื่ องแต่งตัวลิง
ลิง (หนุมาน) คือ เครื่ องแต่งกายของผูแ้ สดงที่แสดงเป็ นตัวลิง ประกอบด้วยส่ วนประกอบของเครื่ องแต่ง กาย ดังภาพ
ดังนั้นเครื่ องแต่งการประกอบการแสดงจึงมีความสาคัญต่อการแสดงนาฎศิลป์ ไทยประเภทต่างๆ ที่ทาให้ การแสดงนาฎศิลป์ มีความสวยงาม และยังสามารถบ่งยอกอุปนิสัย ตาแหน่ง และฐานะของตัวละครใน เรื่ องด้วย
การแต่งกายประจาภาคอีสาน ลักษณะการแต่งกาย ผูช้ ายส่ วนใหญ่นิยมสวมเสื้ อแขนสั้นสี เข้มๆที่เราเรี ยกว่า “ม่อห่ อม” สวมกางเกงสี เดียวกับเสื้ อจรด เข่า นิยมใช้ผา้ คาดเอวด้วยผ้าขาวม้า ผูห้ ญิง การแต่งกายส่ วนใหญ่นิยมสวมใส่ ผา้ ซิ่ นแบบทอทั้งตัว สวมเสื้ อคอเปิ ดเล่นสี สัน ห่มผ้าสไบเฉี ยง สวม เครื่ องประดับตามข้อมือ ข้อเท้าและคอ
ผ้าพื้นเมืองอีสาน ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็ นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทานาหรื อว่างจากงานประจาอื่นๆ ใต้ ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหู กทอผ้ากันแทบทุกครัวเรื อน โดยผูห้ ญิงในวัยต่างๆ จะสื บทอดกันมาผ่านการ จดจาและปฏิบตั ิจากวัยเด็ก ทั้งลวดลายสี สัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนาไปใช้ตดั เย็บทาเป็ น เครื่ องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็ นการเตรี ยมผ้าสาหรับการออกเรื อนสาหรับหญิงวัย สาว ทั้งการเตรี ยมสาหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็ นการวัดถึงความเป็ นกุลสตรี เป็ นแม่เหย้าแม่เรื อนของ หญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้น
จาแนกออกเป็ น 2 ชนิด คือ 1. ผ้าทอสาหรับใช้ในชีวติ ประจาวัน จะเป็ นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอ ด้วยฝ้ายย้อมสี ตามต้องการ 2. ผ้าทอสาหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณี ต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรา ผ้าที่ทอจึง มักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสี สัน ประเพณี ที่คู่กนั มากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บา้ นจะพากันมารวมกลุ่มก่อ
กองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสี และนัง่ คุยเป็ นเพื่อน บางครั้ง ก็มีการนาดนตรี พ้นื บ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน เนื่องจากอีสานมีชนอยูห่ ลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม
กลุ่มอีสานเหนื อ เป็ นกลุ่มชนเชื้อสายลาวที่มีกาเนิดในบริ เวณลุ่มแม่น้ าโขง และยังมีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ เช่น ข่า ผูไ้ ท โส้ แสก กระเลิง ย้อ ซึ่ งกลุ่มไทยลาวนี้มีความสาคัญบิ่งในการผลิตผ้าพื้นเมืองของอีสาน ส่ วนใหญ่เป็ นผลผลิต จากฝ้ายและไหม แม้วา่ ในปั จจุบนั จะมีการนาเอาเส้นใยสังเคราะห์มาทอร่ วมด้วย ผ้าที่นิยมทอกัยในแถบ อีสานเหนือคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด และผ้าแพรวา ผ้ามัดหมี่ เป็ นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองที่ใช้กรรมวิธีในการย้อมสี ที่เรี ยกว่า การมัดย้อม (tie dye) เพื่อทาให้ผา้ ที่ทอเกิดเป็ นลวดลายสี สันต่างๆ เอกลักษณ์อนั โดดเด่นก็อยูต่ รงที่รอยซึ มของสี ที่วงิ่ ไป ตามบริ เวณของลวดลายที่ผกู มัด และการเหลื่อมล้ าในตาแหน่งต่างๆ ของเส้นด้ายเมื่อถูกนาขึ้นกี่ในขณะที่ทอ ลวดลายสี สันอันวิจิตรจะได้มาจากความชานาญของการผูกมัดและย้อมหลายครั้งในสี ที่แตกต่าง ซึ่ งสื บทอด มาจากบรรพบุรุษ การทอผ้ามัดหมี่จะมีแม่ลายพื้นฐาน 7 ลาย คือ หมี่ขอ หมี่โคม หมี่บกั จัน หมี่กงน้อย หมี่ ดอกแก้ว หมี่ขอ้ และหมี่ใบไผ่ ซึ่ งแม่ลายพื้นฐานเหล่านี้ดดั แปลงมาจากธรรมชาติ เช่น จากลายใบไม้ ดอกไม้ ชนิดต่างๆ สัตว์ เป็ นต้น ผ้ามัดหมี่ที่มีชื่อเสี ยงได้แก่ เขตอาเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น อาเภอบ้านเขวา จังหวัดชัยภูมิ เป็ นต้น ผ้าขิด หมายถึงผ้าที่ทอโดยวิธีใช้ไม้เขี่ยหรื อสะกิดซ้อนเส้นยืนขึ้นตามจังหวะที่ตอ้ งการ เว้นแล้วสอด เส้นด้ายพุง่ ให้เดินตลอด การเว้นเส้นยืนถี่ห่างไม่เท่ากันจะทาให้เกิดลวดลายต่างๆ ทานองเดียวกับการทา ลวดลายของเครื่ องจักสาน จากกรรมวิธีที่ตอ้ งใช้ไม้เก็บนี้จึงเรี ยกว่า การเก็บขิด มากกว่าที่จะเรี ยก การทอขิด ผ้าขิดที่นิยมทอกันมีอยู่ 3ชนิด ตามลักษณะประโยชน์ใช้สอยเป็ นหลัก คือ
ผ้าตีนซิ่ น เป็ นผ้าขิดที่ทอเพื่อใช้ต่อชายด้านล่างของผ้าซิ่ น เนื่องจากผ้าทอพื้นเมืองจะมีขอ้ จากัดใน เรื่ องของขนาดผืนผ้า ดังนั้นเวลานุ่งผ้าซิ่ นผ้าจะสั้นจึงต่อชายผ้าที่เป็ นตีนซิ่ นและหัวซิ่ นเพื่อให้ยาวพอเหมาะ ผ้าหัวซิ่ น ก็เช่นเดียวกันเป็ นผ้าขิดที่ใช้ต่อชายบนของผ้าซิ่ น ผ้าแพรวา มีลกั ษณะการทอเช่นเดียวกับผ้าจก แพรวา มีความหมายว่า ผ้าไหมหรื อผ้าฝ้ายที่ทอเป็ น ผืนมีความยาวประมาณวาหนึ่งของผูท้ อ ซึ่งยาวประมาณ 1.5-2 เมตร ผ้าแพรมน มีลกั ษณะเช่นเดียวกับแพรวา แต่มีขนาดเล็กกว่า เป็ นรู ปสี่ เหลี่ยมจัตุรัส นิยมใช้ เช่นเดียวกับผ้าเช็ดหน้าและหญิงสาวผูไ้ ทนิยมใช้โพกผม ผ้าลายน้ าไหล ผ้าลายน้ าไหลนี้ที่มีชื่อเสี ยงคือ ซิ่ นน่าน (ของภาคเหนือ) มีลกั ษณะการทอลวดลาย เป็ นริ้ วใหญ่ๆ สลับสี ประมาณ 3 หรื อ 4 สี แต่ละช่วงอาจคัน่ ลวดลายให้ดูงดงามยิง่ ขึ้น ผ้าลายน้ าไหลของ อีสานก็คงจะได้แบบอย่างมาจากทางเหนื อ โดยทอเป็ นลายขนานกับลาตัว และจะสลับด้วยลายขิดเป็ นช่วงๆ ผ้าโสร่ ง เป็ นผ้านุ่งสาหรับผูช้ าย ลักษณะของผ้าโสร่ งจะทอด้วยไหมหรื อฝ้ายมีลวดลายเป็ นตาหมาก รุ กสลับเส้นเล็ก1 คู่ และตาหมากรุ กใหญ่สลับกัน กว้างประมาณ 1 เมตร ยาว 2 เมตร เย็บต่อกันเป็ นผืน
กลุ่มอีสานใต้ คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยูใ่ นแถบจังหวัดสุ รินทร์ ศรี สะเกษและ บุรีรัมย์ เป็ นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว ผ้ามัดหมี่ ในกลุ่มอีสานใต้ก็มีการทอเช่นเดียวกันนิยมใช้สีที่ทาเองจากธรรมชาติเพียงไม่กี่สี ทาให้สีของ ลวดลายไม่เด่นชัดเหมือนกลุ่มไทยลาว แต่ที่เห็นเด่นชัดในกลุ่มนี้คือการทอผ้าแบบอื่นๆ เพื่อการใช้สอยกัน มาก ผ้าหางกระรอก จะมีสีเลื่อมงดงามด้วยการใช้เส้นไหมต่างสี สองเส้นควัน่ ทบกันทอแทรก
ผ้าปูม เป็ นผ้าที่มีลกั ษณะการมัดหมี่ที่พิเศษเป็ นเอกลักษณ์ต่างจากถิ่นอื่น ผ้าเซียม (ลุยเซียม) ผ้าไหมที่นิยมใช้ในกลุ่มผูส้ ู งอายุ ผ้าขิด การทอผ้าขิดในกลุ่มอีสานใต้มีท้ งั การทอด้วยผ้าฝ้ายและผ้าไหม แต่ส่วนมากมักจะใช้ต่อเป็ น ตีนซิ่ นในหมู่คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี เพราะชาวบ้านทัว่ ไปไม่นิยมใช้กนั ลักษระการต่อตีนซิ่ น ของกลุ่มนี้นิยมใช้เชิงต่อจากตัวซิ่ นก่อน แล้วจึงใช้ตีนซิ่ นต่อจากเชิงอีกทีหนึ่ง ซึ่ งแตกต่างจากกลุ่มไทยลาว อย่างเด่นชัด
ลักษณะผ้าพื้นเมืองอีสาน ลวดลายผ้าพื้นเมืองอีสานทั้งสองกลุ่มนิยมใช้ลายขนานกับตัว ซึ่ งต่างจากผ้าซิ่ นล้านนาที่นิยมลาย ขวางตัวและนุ่งยาวกรอมเท้า ในขณะที่ชาวไทยลาวนิยมนุ่งผ้าซิ่ นสู งระดับเข่าแต่ไม่ส้ นั เหมือนผูห้ ญิงเวียง จันทร์ และหลวงพระบาง การต่อหัวซิ่ นและตีนซิ่ นจะต่อด้วยผ้าชนิ ดเดียวกัน ส่ วนหัวซิ่ นนิยมด้วยผ้าไหมชิ้นเดียวทอเก็บขิด เป็ นลายโบคว่าและโบหงายมีสีแดงเป็ นพื้น ส่ วนการต่อตะเข็บและลักษณะการนุ่งจะมีลกั ษณะเฉพาะ แตกต่างไปจากภาคอื่นคือ การนุ่งซิ่ นจะนุ่งป้ ายหน้าเก็บซ่อนตะเข็บ ยกเว้นกลุ่มไทยเชื้อสายเขมรในอีสานใต้ ซึ่ งมักจะทอริ มผ้าเป็ นริ้ วๆ ต่างสี ตามแนวตะเข็บซิ่ น จนดูกลมกลืนกับตะเข็บและเวลานุ่งจะให้ตะเข็บอยูข่ า้ ง สะโพก
การใช้ผา้ สาหรับสตรี ชาวอีสาน ผ้าซิ่ นสาหรับใช้เป็ นผ้านุ่งของชาวอีสานนั้นจะมีลกั ษณะการใช้แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ ผ้าซิ่ นสาหรับผูห้ ญิงที่มีสามีแล้ว จะใช้ผา้ สามชิ้นมาต่อกันโดยแบ่งเป็ นผ้าหัวซิ่ น ผ้าตัวซิ่ น และผ้า ตีนซิ่ น ผ้าแต่ละชิ้นมีขนาดและลวดลายต่างกัน
ผ้าหัวซิ่ น จะมีขนาดกว้างประมาณ 20 ซม. ยาวเท่ากับผ้าซิ่ น มีลวดลายเฉพาะตัว คือ ทอเป็ นลาย ขวางสลับเส้นไหมแทรกเล็กๆ สลับสี สวยงาม ส่ วนตัวซิ่ น คือส่ วนกลางของผ้าซิ่ นมีความกว้างมากกว่าส่ วนอื่น ซึ่ งส่ วนใหญ่มีขนาดเท่าฟื มที่ใช้ทอ ซึ่งนิยมทอเป็ นลายมัดหมี่ ส่ วนตีนซิ่ น คือส่ วนล่างของผ้าซิ่ นจะมีความกว้างเพียง 10 ซม. และยาวเท่ากับความยาวของผ้าซิ่ น เมื่อต่อ เข้ากับตัวซิ่ นแล้วลายจะเป็ นตรงกันข้ามกับผ้าหัวซิ่ น ความงามอยูท่ ี่การสลับสี ส่วนใหญ่จะเลียนแบบจาก ลวดลายของสัตว์ เช่น ลายงูทาเป็ นลายปล้องสี เหลืองและดา ผ้าซิ่ นสาหรับหญิงสาว จะเป็ นผ้าซิ่ นมัดหมี่เหมือนกันแต่เป็ นผืนเดียวกันตลอด ใช้วธิ ี การมัดหมี่เป็ น ดอกและลวดลายติดต่อแล้วทอเป็ นผืนเดียวกันตลอด ในผืนซิ่ นจะมีลายที่ริมขอบด้านล่างในลักษณะเชิงซิ่ น ลวดลายส่ วนใหญ่ท้ งั ตัวซิ่ นและเชิงนิยมใช้ลายรู ปสัตว์ เช่น ไก่ฟ้า หงษ์ทอง ภาษาภาคนี้สาเนียงคล้ายภาษาลาว ซึ่ งเรามักจะเรี ยกว่าเป็ นภาษาอีสานภาษาอีสานเช่น เว้า (พูด) แซบ (อร่ อย) เคียด (โกรธ) นา (ด้วย) การแต่งกายส่ วนใหญ่ใช้ผา้ ทอมือ ซึ่ งทาจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย และผ้าไหม
ผ้าพื้นเมืองอีสาน ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็ นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทานาหรื อว่างจากงานประจาอื่นๆ ใต้ ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหู กทอผ้ากันแทบทุกครัวเรื อน โดยผูห้ ญิงในวัยต่างๆ จะสื บทอดกันมาผ่านการจดจา และปฏิบตั ิจากวัยเด็กทั้งลวดลายสี สัน
การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนาไปใช้ตดั เย็บทาเป็ นเครื่ องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และ การทอผ้ายังเป็ นการเตรี ยมผ้าสาหรับการออกเรื อนสาหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรี ยมสาหรับตนเองและ เจ้าบ่าว ทั้งยังเป็ นการวัดถึงความเป็ นกุลสตรี เป็ นแม่เหย้าแม่เรื อนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้น จาแนกออกเป็ น 2 ชนิด คือ 1. ผ้าทอสาหรับใช้ในชีวติ ประจาวัน จะเป็ นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้าย ย้อมสี ตามต้องการ 2. ผ้าทอสาหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณี ต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรา ผ้าที่ทอจึงมักมี ลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสี สัน ประเพณี ที่คู่กนั มากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดา สาวๆ ในหมู่บา้ นจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสี และนัง่ คุยเป็ นเพื่อน บางครั้งก็มีการนาดนตรี พ้นื บ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน เนื่องจากอีสานมีชนอยูห่ ลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมือง จึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม กลุ่มอีสานใต้ คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐาน อยูใ่ นแถบจังหวัดสุ รินทร์ ศรี สะเกษและบุรีรัมย์ เป็ นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มี สี สันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว
การแต่งกายของภาคกลาง ในปั จจุบนั การแต่งกายของแต่ละภาคได้รับความกลมกลืนกันไปหมด เนื่องมาจากถูกครอบคลุมสิ่ ง ที่เรี ยกว่าแฟชัน่ จึงทาให้การแต่งกายมีความคล้ายคลึงกันไปหมด จนแยกแยะไม่ค่อยออกว่าบุคคลไหนอาศัย อยูใ่ นภาคใด เราลองไปรื้ อฟื้ นกันดูวา่ ในสมัยรุ่ นก่อนๆ สมัยคุณ ปู่ ย่า ตา ยาย มีการแต่งกายกันแบบใดบ้าง โดยแยกแยะในแต่ละภาคดังต่อไปนี้
ความหมายของเครื่ องแต่งกาย คาว่า “ เครื่ องแต่งกาย “ หมายถึงสิ่ งที่มนุษย์นามาใช้เป็ นเครื่ องห่ อหุ ม้ ร่ างกาย การแต่งกายของ มนุษย์แต่ละเผ่าพันธุ์สามารถค้นคว้าได้จาก หลักฐานทางวรรณคดีและประวัติศาสตร์ เพื่อให้เป็ นเครื่ องช่วย ชี้นาให้รู้และเข้าใจถึงแนวทางการแต่งกาย ซึ่ งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพของการดารงชีวิตของมนุษย์ในยุค สมัยนั้น
ประวัติของเครื่ องแต่งกาย ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุ ษย์ใช้เครื่ องห่ อหุ ม้ ร่ างกายจากสิ่ งที่ได้มาจากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ใบ หญ้า หนังสัตว์ ขนนก ดิน สี ต่างๆ ฯลฯ มนุษย์บางเผ่าพันธุ์รู้จกั การใช้สีที่ทามาจากต้นพืช โดยนามาเขียน หรื อสักตามร่ างกายเพื่อใช้เป็ นเครื่ องตกแต่งแทนการใช้เครื่ องห่ อหุ ม้ ร่ างกาย ต่อมามนุ ษย์มีการเรี ยนรู ้ ถึงวิธี ที่จะดัดแปลงการใช้เครื่ องห่ อหุ ม้ ร่ างกายจากธรรมชาติให้มีความเหมาะสมและสะดวกต่อการแต่งกาย เช่น มี
การผูก มัด สาน ถัก ทอ อัด ฯลฯ และมีการวิวฒั นาการเรื่ อยมา จนถึงการรู ้จกั ใช้วธิ ีตดั และเย็บ จนในที่สุดได้ กลายมาเป็ นเทคโนโลยีจนกระทัง่ ถึงปั จจุบนั นี้
ความแตกต่างในการแต่งกาย มนุษย์เป็ นสัตว์โลกที่อ่อนแอที่สุดในทางฟิ สิ กส์ เพราะผิวหนังของมนุษย์มีความบอบบาง จึง จาเป็ นต้องมีสิ่งปกคลุมร่ างกายเพื่อสามารถที่จะดารงชี วติ อยูไ่ ด้ จากความจาเป็ นนี้ จึงเป็ นแรงกระตุน้ ที่สาคัญ ในอันที่จะแต่งกาย เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์เอง โดยมีสังคมและสิ่ งอื่นๆประกอบกัน และเครื่ อง แต่งกายก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามสาเหตุน้ นั ๆ คือ 1.สภาพภูมิอากาศ ประเทศที่อยูใ่ นภูมิอากาศแถบเส้นอาร์ คติก ซึ่ งมีอากาศที่หนาวเย็นมาก มนุษย์ในแถบภูมิภาคนี้จะ สวมเสื้ อผ้าซึ่ งทามาจากหนังหรื อขนของสัตว์ เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ส่ วนในภูมิภาคที่มีอากาศร้อน อบอ้าว เสื้ อผ้าที่สวมใส่ จะทาจากเส้นใย ซึ่ งทาจากฝ้าย แต่ในทวีปแอฟริ กา เสื้ อผ้าไม่ใช่สิ่งจาเป็ นสาหรับใช้ ในการป้ องกันจากสภาพอากาศ แต่เขากลับนิยมใช้พวกเครื่ องประดับต่างๆที่ทาจากหิ นหรื อแก้วสี ต่างๆ ซึ่ งมี อยูใ่ นธรรมชาตินามาตกแต่งร่ างกาย เพื่อใช้เป็ นเครื่ องลางหรื อเครื่ องป้ องกันภูติผปี ี ศาจอีกด้วย 2.ศัตรู ทางธรรมชาติ ในภูมิภาคเขตร้อน มนุษย์จะได้รับความราคาญจากพวกสัตว์ปีกประเภทแมลงต่างๆ จึงหาวิธีขจัด ปั ญหาโดยการใช้โคลนพอกร่ างกายเพื่อป้ องกันจากแมลง ชาวฮาวายเอี้ยน แถบทะเลแปซิ ฟิค สวมกระโปรง ซึ่ งทาด้วยหญ้า เพื่อใช้สาหรับป้ องกันแมลง แต่ก็ได้กลายเป็ นที่เก็บแมลงเสี ยมากกว่า ชาวพื้นเมืองโบราณ ของญี่ปุ่นรู ้จกั ใช้กางเกงขายาว เพื่อป้ องกันสัตว์และแมลง 3.สภาพของการงานและอาชีพ หนังสัตว์และใบไม้สามารถใช้เพื่อป้ องกันอันตรายจากภายนอก เช่น การเดินป่ าเพื่อหาอาหาร
มนุษย์ก็ใช้หนังสัตว์และใบไม้เพื่อป้ องกันการถูกหนามเกี่ยว หรื อ ถูกสัตว์กดั ต่อย ต่อมา สามารถนาเอาใย จากต้นแฟลกซ์ ( Flax ) ผ้าทอเป็ นผ้าที่เรี ยกกันว่า ผ้าลินิน เมื่อความเจริ ญทางด้านวิทยาการมีมากขึ้น ก็เริ่ มมีสิ่งที่ผลิตเพิ่มขึ้น อีกมากมายหลายชนิด สมัยศตวรรษที่ 19 เสื้ อผ้ามีการวิวฒั นาการเพิ่มมากขึ้น มีผคู ้ ิดประดิษฐ์เสื้ อผ้าพิเศษ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผูส้ วมใส่ โดยเฉพาะผูท้ ี่ทางานประเภทต่างๆ เช่น กลาสี เรื อล่าปลาวาฬ คนงานเหมืองแร่ เกษตรกร คนงานอุตสาหกรรม ข้าราชการทหาร ตารวจ พนักงานดับเพลิง เป็ นต้น อันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างปฏิบตั ิงาน ทาให้ความต้องการของมนุษย์ในด้านเสื้ อผ้ามี มากยิง่ ขึ้น จนกระทัง่ ในปั จจุบนั นี้ เสื้ อผ้าที่ผลิตขึ้นมานั้นได้มีการปรับปรุ งและตกแต่งพิเศษเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับอาชีพต่างๆ เช่น ให้มีความคงทนต่อสารเคมี ทนต่อพิษ และ อุณหภูมิ นอกจากนี้ยงั มีการ ตกแต่งพิเศษอื่นอีก อาทิเช่น ทนต่อการซักและทาความสะอาด ไม่เป็ นสื่ อไฟฟ้า ไม่ดูดซึ มน้ า และไม่เป็ น ตัวนาความร้อน เป็ นต้น
1.ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและศาสนา เมื่อมนุษย์มีสติปัญญามากยิง่ ขึ้น มีการอยูร่ วมกันเป็ นกลุ่มชน และจากการอยูร่ ่ วมกันเป็ นหมู่คณะนี้ เอง จึงจาเป็ นต้องมีระเบียบและกฎเกณฑ์ในอันที่จะอยูร่ ่ วมกันอย่างสงบสุ ข โดยไม่มีการรุ กรานซึ่ งกันและ กัน จากการปฏิบตั ิที่กระทาสื บต่อกันมานี้ เอง ในที่สุดได้กลายมาเป็ นขนบธรรมเนียม ประเพณี และ วัฒนธรรมขึ้น ในสมัยโบราณ เมื่อมีการเฉลิมฉลองประเพณี สาคัญต่างๆ เช่น การเกิด การตาย การเก็บเกี่ยวพืชผล หรื อเริ่ ม มีการสังคมกับกลุ่มอื่นๆ ก็จะมีการประดับหรื อตกแต่งร่ างกาย ให้เกิดความสวยงามด้วยเครื่ องประดับต่างๆ เช่น ขนนก หนังสัตว์ หรื อทาสี ตามร่ างกาย มีการสักหรื อเจาะ บางครั้งก็วาดลวดลายตามส่ วนต่างๆของ ร่ างกาย เพื่อแสดงฐานะหรื อตาแหน่ง ซึ่ งในปั จจุบนั ก็ยงั มีหลงเหลืออยู่ ส่ วนใหญ่ก็จะเป็ นชาวพื้นเมืองของ ประเทศต่างๆ ศาสนาก็มีบทบาทสาคัญในการแต่งกายด้วยเหมือนกัน ในสมัยสงครามทางศาสนา เช่น สงครามครู เสด ซึ่ งเป็ นสงครามที่ยดื เยื้อนานกว่า 300 ปี การสงครามที่ยาวนานทาให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างข้าศึก เกิดขึ้น ทาให้ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดและวัฒนธรรมซึ่ งกันและกันตามมา 2.ความต้องการดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้าม ธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเจริ ญเติบโตขึ้น ย่อมมีความต้องการความสนใจจากเพศตรงกันข้าม โดยจะ มีการแต่งกายเพื่อให้เกิดความสวยงาม มีการจับจ่ายใช้สอยในเรื่ องเสื้ อผ้ามากยิง่ ขึ้น ผูท้ ี่ทาหน้าที่สนองความต้องการนี้ได้ดีที่สุดก็คือ นักออกแบบเสื้ อผ้า ซึ่ งได้พยายามออกแบบเสื้ อผ้า เครื่ องแต่งกาย เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามระดับของสังคมและเศรษฐกิจของผู ้ สวมใส่ 3.เศรษฐกิจและสภาพแวดล้อม สถานะภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์ แต่ละบุคคลย่อมไม่เหมือนกัน จึงทาให้เกิดการแต่ง
กายที่แตกต่างกันออกไป สังคมทัว่ ไปมีหลายระดับชนชั้น มีการแบ่งแยกกันตามฐานะทางเศรษฐกิจ เช่น ชน ชั้นระดับเจ้านาย ชาวบ้าน และกรรมกร การแต่งกายสามารถบอกได้ถึงสถานภาพทางสังคมของผูส้ วมใส่ ได้ อีกด้วย การแต่งกายประจาภาคกลาง ภาษาภาคกลาง ส่ วนใหญ่ใช้ภาษาไทยกลางที่เป็ นภาษาราชการ ยกเว้นคนบางกลุ่มที่มีบรรพบุรุษเป็ นชาวจีน ชาวมอญหรื อชาวลาวพวน ซึ่ งมีสาเนียงภาษาที่แตกต่างออกไป การแต่งกายภาคกลาง การแต่งกายในชีวติ ประจาวันทัว่ ไป ชายนุ่งกางเกงครึ่ งน่อง สวมเสื้ อแขนสั้น คาด ผ้าขาวม้า ส่ วนหญิง จะนุ่งซิ่ นยาว สวมเสื้ อแขนสั้นหรื อยาว ลักษณะการแต่งกาย ผูช้ าย สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง นิยมสวมใส่ โจงกระเบนสวมเสื้ อสี ขาว ติด กระดุม 5 เม็ด ที่เรี ยกว่า “ราชประแตน” ไว้ผมสั้นข้างๆตัดเกรี ยนถึงหนังศีรษะข้างบนหวีแสกกลาง ผูห้ ญิง สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง นิยมสวมใส่ ผา้ ซิ่ นยาวครึ่ งแข้ง ห่มสไบเฉี ยงตามสมัย อยุธยา ทรงผมเกล้าเป็ นมวย และสวมใส่ เครื่ องประดับเพื่อความสวยงาม
การแต่งกายภาคตะวันออก ในภาคตะวันออกการแต่งกายมีลกั ษณะเช่นเดียวกับคนภาคกลางเดิมที่ภาคนี้เรี ยกรวมกับคนภาคกลาง แต่ เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศซึ่ งต่างไปจากภาคกลางผลิตผลและภูมิอากาศคล้ายคลึงกับภาคใต้จงั มีลกั ษณะ เด่นขัดของตนเองที่แยกออกไปได้ ภาคกลางและภาคตะวันออก
ชุดไทย ร.5 – ตัวเสื้ อเป็ นผ้าลูกไม้เนื้อนุ่ม เอวใส่ ลาสติกระบายสวยงามทั้งรอบคอและปลายแขนเสื้ อ แขน ตุก๊ ตาติดกระดุมด้านหลังสวมใส่ สบาย โจรกระเบนผ้าตราดลายไทยสอดดิ้น เด็กหญิงในสมัยนี้ นุ่งโจงกระเบนเช่นเดียวกับผูใ้ หญ่ ไม่สวมเสื้ อเวลาออกงานจึงสวมเสื้ อคอติดลูกไม้ที่ เรี ยกว่า เสื้ อคอกระเช้า เวลาแต่งตัวเต็มที่นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้ อแขนยาวคอปิ ดแต่งด้วยผ้าลูกไม้งดงาม สวม ถุงเท้า รองเท้า เจ้านายที่ทรงพระเยาว์ ทรงฉลองพระองค์แขนยาว พองและทรงเครื่ องประดับมาก ยังคงนิยม ไว้ผมจุก เมื่อตัดจุกแล้วจึงเริ่ มไว้ผมยาว ได้กล่าวไว้แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ไม่มีพระราชประสงค์จะให้ชาวต่างประเทศดูหมิ่นเหยียด หยามคนไทยว่าแต่งกายเหมือนคนป่ า จึงทรงกวดขันเรื่ องนี้มากถึงกับโปรดให้ออกประกาศ 2 ฉบับ ใชับงั คับราษฎร ฉบับแรกคือ ประกาศห้ามคนแต่งตัวไม่สมควร มิให้ไปมาในพระราชฐานที่เสด็จออก โดยห้าม ผูใ้ หญ่ท้ งั ชายหญิงสวมแต่เสื้ อชั้นในหรื อไม่สวมเสื้ อเลย หรื อนุ่งกางเกงขาสั้นเหนือเข่า หรื อนุ่งผ้าหยักรั้งไม่ ปิ ดเข่าหรื อนุ่งโสร่ ง หรื อสวมรองเท้าไม่มีถุงเท้า ไม่วา่ รองเท้าชนิดใด ๆ หรื อสวมรองเท้าสลิปเปอร์ ตลอดจนเด็กที่เปลือยกายเข้ามาในบริ เวณพระราชวังชั้นนอกด้านหน้ากับบริ เวณวัดพระศรี รัตนศาสดาราม ยกเว้นคนทางานขนของก่อสร้าง กวาดล้าง ถ้าผูใ้ ดฝ่ าฝื นหรื อพาเด็กหรื อปล่อยเด็กที่แต่งกายไม่สมควร ดังกล่าวล่วงเข้ามาในเขตที่กาหนดไว้ให้นายประตูขบั ไล่ห้ามปราม ถ้าไม่ฟังให้จบั ส่ งศาลกระทรวงวังตัดสิ น โทษ ปรับไม่เกินคราวละ 20 บาท หรื อขังไว้ใช้การไม่เกินคราวละ 15 วัน หรื อทั้งปรับทั้งขังตามควรแก่ โทษ ถ้าผูท้ าผิดเป็ นเด็กอายุต่ากว่า 15 ปี ลงไป บิดามารดาหรื อมูลนายหรื อผูเ้ ลี้ยงดูเด็กนั้น จะต้องรับโทษ แทนทุกประการ ประกาศเมื่อวันที่ 20 มกราคม ร.ศ.117 (พ.ศ.2441) ให้ใช้บงั คับตั้งแต่1 กุมภาพันธ์ ร.ศ.117 เป็ นต้นไป
ชุดราชปแตน – เป็ นชุดไทยสาหรับท่านชายแบบทางการใช้ได้กบั การใส่ เพื่อเข้าร่ วมงานพิธีแบบไทย หรื อ เป็ นชุดสาหรับเจ้าบ่าว ในพิธีหมั้นหรื อพิธีมงคลสมรส ชุดนี้โดยปกติจะใส่ กบั โจงกระเบนมีให้เลือก 8 สี ด้วยกันตัดเป็ นสาเร็ จรู ปขอบยางยืด เครื่ องแต่งกายของชายไทยในสมัยต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั นี้ได้ ปรับปรุ งตามแบบประเพณี นิยมสากลของชาวตะวันตกเป็ นครั้งแรก แต่หลังจากเสด็จประพาสอินเดีย-พม่า ในปี พ.ศ.2414 แล้ว มีพระราชดาริ วา่ การสวมเสื้ อนอกแบบฝรั่งซึ่ งต้องมีเสื้ อเชิ้ต สวมข้างในแล้วยัง มีผา้ ผูกคออีกด้วยนั้น ไม่เหมาะสมกับอากาศร้อนของเมืองไทย จึงโปรดให้ดดั แปลงเป็ นเสื้ อนอกสี ขาวคอปิ ดติด กระดุมตลอดอก 5 เม็ด เรี ยกว่า “เสื้ อราชแปตแตนท์ (RajPattern) ซึ่ งต่อมาเรี ยกเพี้ยนไปเป็ น “เสื้ อ ราชปะแตน” ซึ่ งแปลว่า “แบบหลวง” แต่ยงั คงนุ่งผ้าม่วงสี กรมท่าเหมือนเดิม ในสมัยนี้ นิยมสวมหมวก แบบยุโรปหรื อหมวกหางนกยูง ถือไม้เท้า ซึ่ งมักจะใช้คล้องแขนจึงเรี ยกว่า “ไม้ถือ” ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดให้ทหารนุ่งกางเกงขายาวแทนผ้าม่วงโจงกระเบนสี กรมท่า เป็ นผลให้ประชาชนเริ่ มนิยมนุ่งกางเกงขายาวและสวมหมวกกะโล่กนั ขึ้นบ้างในตอนปลายรัชกาล
การแต่งกายของชายทัว่ ไป ยังคงนิยมแต่งกายตามสบายเช่นเดียวกับสมัยรัชกาลก่อน ๆ คือ นุ่งผ้า ลอยชาย มีผา้ ขาวม้าหรื อผ้าอะไรก็ได้แต่ะบ่าคลุมไหลหรื อคาดพุง ซึ่ งคงจะเป็ นประเพณี การแต่งกายของคน ไทยตามปกติมาแต่โบราณและคาดพุง ไม่นิยมใช้ผา้ แตะบ่า การนุ่งลอยชาย คือ การเอาผ้าทั้งผืนนั้นมาโอบ หลังกะให้ชายผ้าข้างหน้าเท่ากัน แล้วขมวดชายพก ค่อนข้างใหญ่เหน็บแน่นติดตัว แล้วทิ้งชายห้อยลงไป ข้างหน้า การนุ่งผ้าลอยชายนี้ บางคนชอบนุ่งใต้สะดือ ชายพกที่ค่อนข้างใหญ่น้ ีเพื่อเก็บกล่องหรื อหี บบุหรี่ ที่ ตนชอบ ส่ วนผ้าคาดพุงไม่วา่ จะเป็ นผ้าขาวม้าหรื อผ้าส่ านหรื อผ้าอะไรผูกเป็ นโบเงื่อนกระทก ไว้ขา้ งหน้า ทิ้ง ชายผ้าลงมาเล็กน้อย
การแต่งกายประจาภาคใต้ ภูมิหลัง ดินแดนทางภาคใต้ของประเทศไทย อันประกอบด้วย 14 จังหวัดนั้น แต่เดิมมีผคู ้ นอาศัยอยูต่ ้ งั แต่ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนต่อมาได้พฒั นาเกิดเป็ นชุมชนและกลายเป็ นเมืองท่าที่สาคัญ อันเป็ นจุดเชื่อมโยง ระหว่างดินแดนตะวันออกและตะวันตกของโลก ซึ่ งเป็ นแหล่ง แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่สาคัญโดยเฉพาะ ประเทศจีน อินเดีย และหมู่เกาะสุ มาตรา เรี ยกดินแดนแห่งนี้กนั ว่าอาณาจักรศรี วชิ ยั
อิทธิ พลในการทอผ้าจากอินเดีย ที่มีการสอดผสมดิ้นเงินดิ้นทอง ลงในผืนผ้าสร้างรู ปแบบแก่ผา้ ใน ภาคใต้ โดยซื้ อหาวัสดุส่วนใหญ่จากอินเดีย ต่อมาเนื่ องจากศึกสงคราม บ้านเมือง ล่มสลายลงการทอผ้าอัน วิจิตรก็สูญหายไปด้วย โดยต่อมาภายหลังหันมานาเข้าผ้าพิมพ์ และผ้าแพรจากจีนรวมถึงผ้าบาติกจากเกาะ ชวา และ ผ้ายุโรปมาสรวมใส่ จากการที่ชาวใต้มิได้มีการปลูกฝ้ายหรื อไหมขึ้นใช้เอง เนื่ องจากข้อจากัดของ พื้นที่ จึงทาการ สั่งซื้ อผ้าสาเร็ จรู ปโดยเฉพาะผ้าบาติก หรื อปาเต๊ะมาใช้กนั จนภายหลังเป็ นเครื่ องแต่งกาย ประจาภาคไปในที่สุด ปั จจุบนั แหล่งทาผ้าแบบดั้งเดิมนั้นเกือบจะสู ญหายไป คงพบได้เฉพาะ 4แหล่งเท่านั้นคือ ที่ตาบล พุมเรี้ ยง จังหวัดสุ ราษฎร์ ธานี , อาเภอเมือง จังหวัดนครศรี ธรรมราช , เกาะยอ จังหวัดสงขลา และตาบลนา หมื่นศรี จังหวัดตรัง
การแต่งกายของชาวใต้ การแต่งกายนั้นแตกต่างกันในการใช้วสั ดุ และรู ปแบบโดยมีเอกลักษณ์ไปตามเชื้อชาติ ของผูค้ นอัน หลากหลายที่เข้ามาอยูอ่ าศัยในดินแดนอันเก่าแก่แห่งนี้พอจาแนกเป็ นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดงั นี้ 1. กลุ่มเชื้อสายจีน – มาลายูเรี ยกชนกลุ่มนี้วา่ ยะหยา หรื อ ยอนย่า เป็ นกลุ่มชาวจีน เชื้อสายฮกเกี๊ยนที่มา สมรสกับชนพื้นเมืองเชื้อสายมาลายู ชาวยะหยาจึงมีการแต่งกายอันสวยงาม ที่ผสมผสาน รู ปแบบของชาว จีนและมาลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝ่ ายหญิงใส่ เสื้ อฉลุลายดอกไม้ รอบคอ,เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมนุ่งผ้าซิ่ นปาเต๊ะ ฝ่ ายชายยังคงแต่งกาย คล้ายรู ปแบบจีนดั้งเดิมอยู่ 2. กลุ่มชาวไทยมุสลิมชนดั้งเดิม ของดินแดนนี้นบั ถือศาสนาอิสลาม และมี เชื้อสายมาลายู ยังคงแต่งกาย ตามประเพณี อันเก่าแก่ฝ่ายหญิงมีผา้ คลุมศีรษะ ใส่ เสื้ อผ้ามัสลิน หรื อลูกไม้ตวั ยาวแบบมลายูนุ่งซิ่ นปาเต๊ะ หรื อ ซิ่ นทอแบบมาลายู ฝ่ ายชายใส่ เสื้ อคอตั้ง สวมกางเกงขายาว และมีผา้ โสร่ งผืนสั้น ที่เรี ยกว่า ผ้าซองเก็ต พันรอบเอวถ้าอยู่ บ้านหรื อลาลองจะใส่ โสร่ ง ลายตารางทอด้วยฝ้าย และสวมหมวกถัก
3. กลุ่มชาวไทยพุทธชนพื้นบ้าน แต่งกายคล้ายชาวไทยภาคกลาง ฝ่ ายหญิงนิยมนุ่งโจงกระเบน หรื อ ผ้าซิ่ น ด้วย ผ้ายกอันสวยงาม ใส่ เสื้ อสี อ่อนคอกลม แขนสามส่ วน ส่ วนฝ่ ายชายนุ่งกางเกงชาวเล หรื อ โจงกระเบน เช่นกัน สวมเสื้ อผ้าฝ้ายและ มีผา้ ขาวม้าผูกเอว หรื อพาดบ่าเวลาออกนอกบ้านหรื อไปงานพิธี 4. กลุ่มราชสานักสยาม เนื่ องจากผ้าทอ ทางภาคใต้น้ นั มีชื่อเสี ยงในความงดงามและ ประณี ตดั้งนั้นกลุ่ม เจ้านาย ในราชสานักตั้งแต่ อดีตของไทยจึงนิยม นาผ้าทอจากภาคใต้ โดยเฉพาะผ้ายกเอามาสวมใส่ เป็ น ผ้าซิ่ น และผ้าโจงกระเบน โดยใส่ เสื้ อหลากหลายแบบ ส่ วนใหญ่จะนิยมแบบยุโรป
ประเภทของผ้าทอที่มีชื่อเสี ยงของภาคใต้ ผ้ายกเมืองนครศรี ธรรมราช เป็ นผ้าที่ทอยกโดยการสอดดิ้นเงิน และดิ้นทองสลับไหมอันวิจิตร ผลิตใช้สาหรับ ราชสานักไทย
ผ้ายกทองของนครศรี ธรรมราชนั้น ขึ้นชื่อในความละเอียด ลวดลายแปลกโดยสามารถทาหน้า กว้างได้ถึง 70-80 ตระกรอ โดยผ้าขนาด 12 เขานั้นต้องใช้คนทาถึง 3 คน ในอดีตใช้เป็ นเครื่ องราช บรรณาการสู่ ราชสานัก สื บมาตั้งแต่สมัยกรุ งศรี อยุธยา ธนบุรี จวบจนกรุ งรัตนโกสิ นทร์ ส่ วนใหญ่การทอจะ ได้รับอุปภัมถ์จากเจ้าเมือง โดยนารู ปแบบและช่างทอจากอินเดียมาช่วยสอนอีกด้วย
ผ้ายกพุมเรี ยง ชาวตาบลพุมเรี ยงอาเภอไชยา จังหวัดสุ ราษฎ์ธานี เป็ นชาวมุสลิม ที่หนีภยั สงครามมาจากเขาหัวแดง จังหวัดสงขลา จากปัตตานี และไทรบุรี ในสมัยต้นรัตนโกสิ นทร์ ผ้ายกจะมีสันสดใสฝี มือประณี ต ที่มี ชื่อเสี ยงคือผ้ายกหน้านาง ผ้ายกดอกถมเกสร และดอกลายเชิง เป็ นต้น
ผ้ายกเกาะยอ เป็ นผ้าที่มีชื่อเสี ยงของจังหวัดสงขลา เดิมคงอพยพหนีสงครามมาจากเขาหัวแดง มาอยูท่ ี่เกาะยอ เนื่องจากวัสดุในการทอต้องสั่งซื้ อจากต่างถิ่น จึงทาให้การทอผ้ายกของเกาะยอมีปัญหา จนเกือบสู ญหายไป เพิ่งมาได้รับการส่ งเสริ มขึ้นอีกครั้งเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการใช้กี่กระตุกแทนกี่เตี้ย แบบดั้งเดิม
ผ้ายกปัตตานี เมืองปั ตตานี เคยเป็ นเมืองท่านานาชาติที่สาคัญตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยเป็ นที่อยูอ่ าศัยของชาว จีน , อินเดีย และเปอร์เซีย ที่หนีการปกครองของ ชาวโปรตุเกสจากเมืองมาลัคกา โดยนาเทคนิค การทอผ้า หลายหลากชนิดมาเผยแพร่ จนผสมผสานขึ้นโดยมีรูปแบบอัน เป็ นเอกลักษณ์ของตนเอง จากสัญลักษณ์ทาง ศาสนาอิสลาม เข้ามาใช้ในลวดลายผ้า อย่างงดงาม ผ้ายกปั ตตานี เดิมเรี ยกว่าผ้าซอแก๊ะ ผ้ามัดหมี่ เรี ยกว่าผ้าอีกดั ผ้าไหมยกตระกรอ เรี ยกว่า ผ้าการะดู วอ เป็ นต้น ผ้ายกปั ตตานี ที่ทอยกทองนั้น ภายหลังได้สูญหายไป คงเหลืออยูบ่ า้ งก็คือ ผ้าจวนตานี หรื อผ้า ล่วง จวน ซึ่งเป็ นผ้ามัดหมี่ อันมีลกั ษณะพิเศษ โดยเฉพาะ ผ้าพานช้าง เป็ นผ้าขิดใช้เป็ นผ้ากราบพระ ผ้าเช็ดหน้า หรื อเช็ดน้ าหมาก ทอยาวติดกัน เพื่อใช้ในพิธีทางศาสนา ของชาวตาบลบ้านนาหมื่นศรี จังหวัดตรัง แต่ละชิ้นมักเป็ นรู ป สี่ เหลี่ยมจัตุรัส ขิดด้วยสี ดา , น้ า เงิน , ฟ้า , เขียว ทอเป็ นลายครุ ฑ , คน และนกยูง สลับตัวหนังสื อโคลงกลอนคติธรรมสอนใจ
บางครั้ง
ใช้ในพิธีศพ โดยเมื่อเสร็ จพิธีแล้วจะนามาตัดแบ่ง แจกกันในครอบครัวลูกหลานหรื อถวายพระเพื่อเป็ นสิ่ ง ราลึกสื บไป
” ปัจจุบนั ชาวใต้ยงั คงสื บทอดมรดกทางวัฒนธรรมในการถักทอผืนผ้าซึ่งสื บทอดมาจากบรรพบุรุษ ในอดีตให้ปรากฏเป็ นสิ่ งทออันล้ าค่าอันสื บสานและโยงใยไปถึงความเจริ ญรุ่ งเรื องในอดีตกาลของดินแดน แห่งนี้เพื่อให้คงอยูก่ บั ผืนแผ่นดินไทยสื บต่อไป ชัว่ กาลนาน”
นาฏศิลป์ กับบทบาททางสังคม\
นาฏศิลป์ เป็ นศิลปะแขนงหนึ่ งที่สร้างสรรค์สุนทรี ยะด้านจิตใจและอารมณ์ให้กบั คนในสังคมและมี อิทธิ พลต่อการดาเนิ นชีวติ ของมนุษย์ที่สามารถสะท้อนวิถีชีวติ และกิจกรรมของคนในสังคม ทั้งที่เป็ น กิจกรรมส่ วนตัวและกิจกรรมส่ วนรวม ดังพิจารณาได้จากบทบาทของนาฏศิลป์ ที่มีผลต่อการดาเนินชีวติ ของ มนุษย์ทางด้านต่าง ๆ เช่น บทบาทในพิธีกรรมรัฐพิธีและราชพิธี การแสดงนาฏศิลป์ ในพิธีกรรมต่าง ๆ สามารถแสดงถึงความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติของภูตผีปีศาจและสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ ท้ งั หลาย เช่น การฟ้อนรา ในพิธีราผีฟ้าเพื่อรักษาโรค หรื อสะเดาะเคราะห์ของภาคอีสาน การฟ้อนผีมดผีเม็งในภาคเหนือ ที่จะมีผหู ้ ญิง มาเข้าทรง เป็ นต้น นาฏศิลป์ ไทยในสังคมปัจจุบนั เมื่อกล่าวถึงคาว่า นาฏศิลป์ ไทย ทุกท่านคงนึกถึงภาพ คนแต่งกายแบบละคร สวมชฎา มงกุฎ ทาท่า ร่ ายราตามทานองเพลง และมองว่าสิ่ งเหล่านี้เป็ นสิ่ งที่โบราณ คร่ าครึ ไม่เข้ากับสังคมยุคสมัยปั จจุบนั ที่ทุกสิ่ ง ทุกอย่างต้องรวดเร็ ว ฉับไว และดูเป็ นสากล แต่คงไม่มีใครทราบว่าสิ่ งที่ท่านมองเห็นว่าล้าหลังนั้น เป็ น เครื่ องยืนยันถึงอดีต ความเป็ นมาและวัฒนธรรมที่สั่งสม อันมีคุณค่ายิง่ ของชาติไทย คาว่า นาฏศิลป์ ตามความหมายของพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530 ได้ให้ความหมายไว้ดงั นี้
นาฏ – น. นางละคร นางฟ้ อนรา ไทยใช้หมายถึง หญิงสาวสวย เช่น นางนาฏ นาฏกรรม - น. การละคร ฟ้อนรา นาฏศิลป์ - น. ศิลปะแห่งการละครหรื อการฟ้อนรา นอกเหนือจากนี้ ยังมีท่านผูร้ ู ้ได้ให้ความหมายของคาว่า นาฏศิลป์ ในแง่มุมต่างๆ ไว้ดงั นี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุ ภาพฯ ทรงอธิ บายถึงกาเนิดและวิวฒั นาการของ นาฏศิลป์ ที่ผกู พันกับมนุษย์ ดังนี้ “ การฟ้อนรา ย่อมเป็ นประเพณี ในเหล่ามนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ไม่เลือกว่าจะอยู่ ณ ประเทศถิ่นสถานที่ใด ในพิภพนี้ คงมีวธิ ี การฟ้อนราตามวิสัยชาติของตนด้วยกันทั้งนั้น อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ถึงแม้สัตว์เดรัจฉานก็มี วิธีฟ้อนรา ดังเช่น สุ นขั กาไก่ เป็ นต้น เวลาใดที่สบอารมณ์มนั เข้ามันก็เต้นโลดกรี ดกรายทากิริยาท่าทางได้ ต่างๆ ฯลฯ “ คาว่า นาฏยะ หรื อ นาฏะ ความจริ งมีความหมายรวมเอาศิลปะ 3 อย่างไว้ดว้ ยกัน คือ การฟ้อนรา หนึ่ง การบรรเลงดนตรี หนึ่ง และการขับร้องหนึ่ง หรื อพูดอย่างง่ายๆ คาว่า นาฏยะ มีความหมายรวมทั้งการ ฟ้อนราขับร้องและประโคมดนตรี ดว้ ย ไม่ใช่มีแต่ความหมายเฉพาะศิลปะแห่งการฟ้อนราอย่างเดียวดัง่ ที่ท่าน เข้าใจกัน “ สรุ ปความได้วา่ นาฏศิลป์ เป็ นศิลปะที่มนุษย์แสดงออกเมื่อเกิดอารมณ์ข้ ึน มีววิ ฒั นาการมาพร้อม ความเจริ ญของมนุษย์ มีการจัดระเบียบแบบแผนให้เกิดความงดงาม ประกอบไปด้วย การร้อง การรา และ การบรรเลงดนตรี การแสดงนาฏศิลป์ ของไทย ปรากฏในรู ปแบบของการละคร ฟ้อน รา ระบา เต้น การแสดงพื้นเมือง ภาคต่างๆ ซึ่ งมีการขับร้องและการบรรเลงดนตรี
รวมอยูด่ ว้ ย ถือกาเนิดขึ้นมาจากธรรมชาติ ความเชื่อ ศาสนา ความเป็ นอยู่ วิถีชีวติ ผนวกกับได้รับ อารยธรรมจากประเทศอินเดียที่มีความเจริ ญก้าวหน้าทางศิลปวิทยาการทางด้านต่างๆ ต่อมาได้มีการพัฒนา ปรับปรุ ง เปลี่ยนแปลง จนกลายมาเป็ นนาฏศิลป์ ไทยที่มีแบบแผนอย่างเช่นในปั จจุบนั
นาฏศิลป์ ไทยในอดีตมีบทบาทสาคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวติ ของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย บทบาทในงานสาคัญของหลวงพิธีกรรมต่างๆของชาวบ้าน รวมถึงการสร้างความบันเทิงให้กบั ผูค้ นในสังคม เช่นการแสดงลิเก ละคร โขน เพลงพื้นเมืองต่างๆ เมื่อสังคมยุคปั จจุบนั ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ ว นาฏศิลป์ ไทยจาเป็ นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของ ตัวเองจากที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์อย่างในอดีต มาเป็ นบทบาททางด้านต่างๆที่สามารถจาแนก บทบาทให้เห็นได้ ดังนี้
1. บทบาททางการศึกษา การแสดงออกทางด้านศิลปะนั้นถือเป็ นศาสตร์และศิลป์ ในอดีต การเรี ยนของ ศาสตร์ แขนงนี้มกั อยูใ่ นแวดวงที่จากัดเฉพาะกลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบนั มีการเปิ ดกว้างมากขึ้น มีการจัดตั้ง สถานศึกษาสาหรับการสอนนาฏศิลป์ ขึ้นหลายแห่ง ทั้งของรัฐ ที่สอนทางด้านนาฏศิลป์ มีหน้าที่ทานุ บารุ งรักษาศิลปะโดยตรง สถานศึกษาของเอกชนที่สอนนาฏศิลป์ ให้แก่กุลบุตรกุลธิ ดา เพื่อส่ งเสริ ม ความสามารถและบุคลิกภาพรวมถึงส่ งเสริ มลักษณะนิสัย 2. บทบาททางธุ รกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่ งบทบาทนี้เห็นได้อย่างชัดเจน ในการ แสดงตามงาน เทศกาลท่องเที่ยวต่างๆ ที่ภาครัฐหรื อเอกชนจัดขึ้น จะต้องมีนาฏศิลป์ ไทยเข้าไป เกี่ยวข้องอยูเ่ สมอ ไม่วา่ จะ เป็ นรู ปแบบมหรสพสมโภชหรื อ การแสดงแสง เสี ยงสื่ อและผสม โดยศิลปะการแสดงเหล่านี้ถือเป็ นจุดขาย ที่สาคัญ นอกเหนื อจากนี่ยงั มีโรงละครของเอกชนเปิ ดทาการแสดงเพื่อให้ชาวต่างชาติหรื อผูท้ ี่สนใจเข้าชม ดาเนินการในรู ปแบบธุ รกิจอย่างชัดเจน 3. บทบาทในการอนุรักษ์และเผยแพร่ เอกลักษณ์ของชาติ ปั จจุบนั วัฒนธรรมต่างชาติมี บทบาทอย่างมากใน สังคมไทย และเป็ นไปได้วา่ อนาคตประเทศไทยอาจถูกกลืนทางวัฒนธรรมได้ เพื่อให้ความเป็ นไทยคงอยู่ สิ่ ง ที่จะช่วยได้นนั่ คือ เอกลักษณ์ของชาติในด้านต่างๆ โดยใช้วธิ ี การเผยแพร่ อนุ รักษ์ และสร้างสรรค์ ศิลปะการแสดง นอกจากนี้ยงั เป็ นการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจอันดีกบั ประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก ด้วย จะเห็นได้วา่ นาฏศิลป์ ไทยได้ปรับตัวให้ดารงอยูไ่ ด้ในสังคมไทย ช่วยสร้างอาชีพให้กบั ผูค้ น สร้าง เสริ มความเข้าใจอันดีระหว่างสังคมหนึ่งกับอีกสังคมหนึ่ง ส่ งเสริ มเอกลักษณ์ของชาติให้ชดั เจน ส่ งเสริ ม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนารายได้เข้าประเทศ และอื่นๆอีกมากมายที่สอดแทรกอยูใ่ นวิถีชีวติ ของผูค้ นใน สังคม จึงเห็นได้วา่ สิ่ งที่บางท่านอาจมองอย่างไม่เข้าใจ ดูวา่ ไม่เป็ นสากลหรื อเข้ากับยุคสมัย แต่สิ่งนี้เป็ นสิ่ ง สาคัญระดับชาติที่ช่วยให้ชาติไทยดารงอยูไ่ ด้ เป็ นประเทศที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองไม่เหมือนประเทศใด
จงภูมิใจและช่วยกันรักษาสิ่ งนี้ให้คงอยูก่ บั ประเทศไทยต่อไปตราบนานเท่านาน สมดัง ปรัชญาที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุ ดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯพระราชทาน ในโอกาส ครบรอบ 60 ปี วิทยาลัยนาฏศิลป ว่าไว้ดงั นี้ “ สาธุ โข สิ ปปก นาม อปี ยาทิสกีทิส “ “ ขึ้นชื่ อว่าศิลปะ แม้เช่นใดเช่นหนึ่งก็ยงั ประโยชน์ให้สาเร็ จได้ ”