Data Loading...

พุทธประวัติ Flipbook PDF

พุทธประวัติ


138 Views
126 Downloads
FLIP PDF 457.42KB

DOWNLOAD FLIP

REPORT DMCA

พุทธประวัติ

พุทธประวัติ เจ้ ายสิ ทธัตถะประสู ติ พระนางสิ ริมหามายาแห่งโกลิยวงศ์ พระมเหสี ของพระเจ้าสุ ทโธทนะแห่งศากยวงศ์ผคู ้ รองกรุ งกบิลพัสดุแ์ คว้น โกศล ขณะทรงพระครรภ์แก่ได้ทรงขอพระราชานุญาตจากพระสวามีเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุ งเทวทหะอัน เป็ นพระมาตุภูมิเพื่อให้การประสู ติเป็ นไปตามประเพณี นิยมในสมัยนั้น ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิ ในครรภ์พระนางสิ ริมหามายา พระพุทธมารดาได้ทรงพระสุ บินนิมิตว่า ช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่ พระครรภ์ ณ ที่ บรรทม สิ บเดือนหลังจากนั้นก็มีพระประสู ติกาล ระหว่างเสด็จกลับพระมาตุภูมิ พระพุทธมารดาได้ทรงพักผ่อนพระ อิริยาบถใต้ตน้ สาละในสวนป่ าชื่อ ลุมพินี[3] และมีพระประสู ติกาลเป็ นพระโอรสซึ่ งต่อมาจะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิ ญาณ เป็ นพระพุทธเจ้า วันนั้นเป็ นวันศุกร์ ขึ้นสิ บห้าค่่า เดือนวิสาขะ ปี จอ ก่อนพุทธศักราชแปดสิ บปี อนึ่ง ทั้งสวนป่ าลุมพินีและ กรุ งกบิลพัสดุใ์ น ปั จจุบนั อยูใ่ นเขตประเทศเนปาล[4] หลังจากที่มีพระประสู ติกาลแล้วเจ็ดวัน พระพุทธมารดาก็เสด็จ สวรรคาลัย ในปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสกล่าวว่า เป็ นเพราะพระ ครรภ์ของพระพุทธมารดาไม่ควรจะเป็ นที่เกิด ของสัตว์ใดอีก และเมื่อพระพุทธมารดาได้ให้พระประสู ติกาลแก่ พระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่สมควรจะได้ร่วมกามเมถุนอีก จึงเป็ น พุทธมารดาประเพณี ที่จะพระองค์จกั ต้องเสด็จสวรรคาลัย 2 นอกจากนี้ หลังจากมีพระประสู ติกาลแล้วห้าวัน พระเจ้าสุ ทโธนะโปรดให้มีพระราชพิธีเฉลิมพระประสู ติกาลพระ กุมาร ฤๅษีตนหนึ่งนามว่า "อสิ ตะดาบส" ได้เดินทางแต่เขาที่ตนพ่านักมายังพระราชพิธีดว้ ย พระกุมารได้วางพระบาทเหนือ ศีรษะ ฤๅษีอสิ ตะเพื่อให้ชมดูรอยต่าหนิแห่งการก่าเนิด เมื่อพบว่าพระกุมารมีมหาปุริสลักษณะ ฤๅษีจึงท่านายไว้เป็ น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑. ถ้าอยูค่ รองฆราวาสจักได้เป็ นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒. ถ้าเสด็จออกทรงผนวชจักได้ตรัสรู้เป็ นพระสัมมาสัม พุทธเจ้า เป็ นศาสดาเอกของโลกเป็ นแน่ อนึ่ง ในพระราชพิธี พราหมณ์แปดนายซึ่ งได้รับเชิญมา เจ็ดนายในจ่านวนนั้นท่านายเป็ น เสี ยงเดียวกันอย่างค่า ประกาศของฤๅษีอสิ ตะ เว้นแต่พราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะว่าจะเป็ นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ฝ่ ายพราหมณ์ โกณฑัญญะเมื่อเชื่อมัน่ ในค่าท่านายของตนแล้วก็ออกบวชล่วงหน้าเพื่อเตรี ยมตัวเป็ นสาวกของพระกุมารเมื่อได้ทรงเป็ น พระพุทธเจ้าแล้วในอนาคต พระโคตมพุทธเจ้ า

ข้ อมูลทัว่ ไป พระนามเดิม: สิ ทธัตถะ พระนามอื่น: สิ ทธัตถะ, สิ ทธารถ, มหาบุรุษ, สมณโคตม

วันประสู ติ: ขึ้น 15 ค่่า เดือน 6 80 ปี ก่อนพุทธศักราช สถานที่ประสู ติ: ลุมพินีวนั สถานที่บวช: ริ มฝั่งแม่นา้่ อโนมา สถานที่บรรลุธรรม: ใต้ตน้ ศรี มหาโพธิ์ ริ มฝั่งแม่นา้่ เนรัญชรา นิพพาน: ขึ้น 15 ค่่า เดือน 6 สถานที่นิพพาน: กุสินารา เจ้ าชายสื บราชสมบัติ เจ้าชายสิ ทธัตถราชกุมาร ทรงเจริ ญวัยด้วยความสุ ขยิง่ เพราะก่าเนิดในราชตระกูลภายใต้เศวตฉัตร และได้ทรง ศึกษาในส่ านักอาจารย์วศิ วามิศ ซึ่ งเป็ นส่ านักที่มีชื่อเสี ยงที่สุด เจ้าชายได้ทรงศึกษาอย่างรวดเร็ ว และจบหลักสู ตรสิ้ นทุก ประการ คือจบศิลปศาสตร์ ท้ งั 18 สาขาวิชาที่เปิ ดสอน พระเจ้าสุ ทโธทนะ ทรงปริ วติ กต่อค่าท่านายของพราหมณ์หนุ่ม ที่วา่ เจ้าชายจะออกบวชแน่นอน จึงทรงจัดการ เตรี ยมความพร้อมส่ าหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์ พร้อมสร้าง ปราสาท 3 ฤดูให้อยูป่ ระทับ เมื่อพระชมน์ได้ 16 พรรษาได้เข้าสู่ พิธีอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราพิมพา ผูเ้ ป็ นธิดาของ พระเจ้าสุ ปปพุทธะ กษัตริ ยผ์ คู้ รองราชสมบัติ กรุ งเทวทหนคร เจ้าชายสิ ทธัตถะได้เสวยสุ ขกับพระนางตลอดมา จน พระชนมายุได้ 29 พรรษา ก็มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง พระนามว่าราหุ ล ซึ่ งแปลว่า บ่วง เจ้าชายเสด็จออกบวช

เหตุการณ์การออกผนวชจากหลักฐานชั้นอรรถกถา (หลักฐานชั้นรอง แต่งโดยคัมภีราจารย์รุ่นหลังพระไตรปิ ฎก) กล่าวว่า หลังจากเจ้าชายสิ ทธัตถะเจริ ญวัยและอภิเษกสมรสล่วงมาได้ 29 พรรษาแล้ว เจ้าชายสิ ทธัตถะ ทรงเสพสุ ขอยูบ่ น ปราสาท 3 ฤดู มีความสุ ขทางโลกบริ บูรณ์[5] จนวันหนึ่งทรงปรารถนาจะผ่อนคลายความจ่าเจ จึงชวนสารถีทรงรถม้า ประพาสอุทยาน ครั้งนั้นทรงพบเทวทูตทั้ง 4 อันได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงบังเกิดความสังเวชใน พระราชหฤทัย ใคร่ เสด็จออกบรรพชาเป็ นสมณะ ในวันที่เจ้าชายราหุ ลเกิดนั้น เป็ นวันที่เจ้าชายสิ ทธัตถะเสด็จออกบรรพชา ด้วยทรงเบื่อใน เพศฆราวาสอันเต็มไป ด้วยกิเลส จึงทรงเห็นว่าเพศบรรพชาเท่านั้นที่ประเสริ ฐและเป็ นเพศที่สามารถจะหลุดพ้นจากความ ทุกข์ยากทั้งปวงได้ กระทัง่ คืนที่เจ้าชายตัดสิ นพระทัยจะออกบวช ได้เสด็จไปเยีย่ มพระโอรสและมเหสี เมื่อพระองค์เห็น พระนางพิมพาบรรทม หลับสนิทพระกรกอดโอรสอยูท่ รงด่าริ จะอุม้ พระโอรส ขึ้นชมเชยเป็ นครั้งสุ ดท้าย ก็เกรงว่าพระนาง พิมพาจะตื่นบรรทม เป็ นอุปสรรคขัดขวางการเสด็จออกบรรพชา จึงตัดพระทัยระงับความเสน่หาในพระโอรสเสด็จออก จากห้อง เสด็จลงจาก ปราสาทพบกับนายฉันนะ สารถี ซึ่ งเตรี ยมม้าพระที่นง่ั (ม้านามว่ากัณฑกะ)ไว้แล้ว เสด็จออกจากพระ นครในราตรี กาล ทรง เสด็จออกพ้นพระราชวัง เข้าเขตแดน แคว้นโกศลและแคว้นวัชชี ครั้นเวลาใกล้รุ่ง เสด็จถึงฝั่ง แม่นา้่ อโนมานที พระองค์ทรง ม้าข้ามฝั่งแม่นา้่ แล้วเสด็จลงไป ประทับนัง่ บนกองทราย ทรงตัดพระเมาลี ด้วยพระขรรค์

เปลี่ยนชุดทรงกษัตริ ยเ์ ป็ น ผ้ากาสาวพัตร์ แล้วทรงตั้งจิตอธิ ษฐานเพศเป็ นบรรพชิต ณ ริ มฝั่งแม่นา้่ อโนมา เวลาเช้า ตรงกับ วันเพ็ญแห่งเดือนอาสาฬหะ (วันเพ็ญขึ้น 15 ค่่า เดือน 8)จากนั้นทรงส่ งนายฉันนะน่าเครื่ องทรงกษัตริ ยก์ ลับนคร แล้วเสด็จ ล่าพังโดยพระองค์เดียว มุ่ง พระพักตร์ ไปยัง แคว้นมคธ เหตุการณ์ออกผนวชตามนัยพระบาลี (พระไตรปิ ฎก) (ตามนัยอรรถกถา) หลังจากเจ้าชายสิ ทธัตถะหนีออกจากพระราชวัง ทรงตัดพระเมาฬีที่ริมฝั่งแม่นา้่ อโนมา นทีเพื่ออธิษฐาน เพศเป็ นบรรพชิต เหตุการณ์การออกผนวชจากหลักฐานชั้นต้น คือ พระไตรปิ ฎก กล่าวว่า เมื่อเจ้าชาย สิ ทธัตถะอายุได้ 29 พรรษา[6] ได้ทรงปรารภเหตุคือ ความแก่ เจ็บ ตาย ที่มีอยูท่ ุกคนเป็ นธรรมโลก ไม่มีใครจะรอดพ้นไป ได้ แต่เพราะว่ามิได้ฟังค่าสั่งสอน ของผูร้ ู ้ จึงท่าให้มวั แต่มานัง่ รังเกียจเหตุเหล่านั้นว่าเป็ นของไม่ควรคิด ไม่ควรสนใจ ท่าให้ คนเราทั้งหลาย มัวมาแต่ลุ่มหลงอยู่ ในกิเลสทั้งหลายเพราะความเมา 3 ประการ คือ เมาว่าตัวยังหนุ่มยังสาวอยูอ่ ีกนานกว่าจะ แก่ 1 เมาว่าไม่มีโรคอยูแ่ ละโรคคง จะไม่เกิดแก่เรา 1 เมาว่าชีวติ เป็ นของยัง่ ยืน 1 [7] มัวแต่ใช้ชีวติ ทิ้งไปวัน ๆ กล่าวคือ ทรง ด่าริ วา่ ...มนุษย์ท้งั หลายมีความทุกข์เกิดขึ้นครอบง่าอยูต่ ลอดเวลาก็จริ งเกลียดความทุกข์อยูต่ ลอดเวลาก็จริ ง แต่ท่าไมมนุษย์ ทั้งหลายยังมัวแสวงหาทุกข์ร้อนใส่ ตวั อยูต่ ลอดเวลาแล้วท่าไม เราต้องมามัวนัง่ แสวงหาทุกข์ใส่ ตัว (ให้โง่)อยูอ่ ีกเล่า! — สยามรฏฺฐเตปิ ฏกํ ปาลี. ปาสราสิ สุตฺต โอปทฺ ทมวคฺ ค อุปริ . ม. มู. ม. ๑๒/๓๑๖/๓๑๖ บาเพ็ญเพียรเพือ่ การบรรลุธรรม

การบ่ าเพ็ญทุกรกิริยา เมื่อหมดความรู ้ของอาจารย์อาฬารดาบสจึงอ่าลาไป เป็ นศิษย์ในส่ านักอุทกดาบส ซึ่ งมีความรู ้สูงกว่าอาฬารดาบส หนึ่งขั้น คือเป็ นผูบ้ รรลุฌานขั้นที่ 8 ซึ่งพระสมณโคดม ใช้เวลาศึกษาไม่นานก็สิ้นภูมิรู้ของอาจารย์ ในที่สุด จึงอ่าลาไปค้นหา วิมุตติ ธรรม ตามแนวทางของพระองค์ ด้วยทรงประจักษ์วา่ นี่ไม่ใช่หนทางแห่งการตรัสรู ้ พระองค์จึงได้ละทิ้งส่ านักอาจารย์ เหล่านั้นเสี ย พระองค์ได้มุ่งหน้าสู่ ริมฝั่งแม่นา้่ เนรัญชรา ต่าบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ โดยทรงเริ่ มการบ่าเพ็ญเพียรขั้น อุกฤต ที่เรี ยกว่าทุกรกิริยา ซึ่ งนักบวชสมัยนั้นนิยมปฏิบตั ิกนั อาทิการกลั้นลม หายใจเข้าออก จนเหงื่อโทรมกายหูอ้ือตาลาย การนัง่ ตากแดดจนผิวเกรี ยมไหม้ ครั้นฤดูหนาว ก็ลงไปแช่นา้่ จนตัวแข็ง พระองค์ได้ทดลองปฏิบตั ิตามความเชื่ อดั้งเดิมทุก วิถีทาง ก็ยงั ไม่สามารถบรรลุแนวทางค้นพบสัจจธรรมได้ ขณะนั้นมีฤๅษี 5 รู ป ชื่อว่า โกณฑัญญะวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสชิ ตามมาปฏิบตั ิตนเป็ น ศิษย์ ด้วย คาดหวังว่า เมื่อพระสมณโคดม ค้นพบ วิโมกขธรรม จะได้สอนพวกตนให้บรรลุ ด้วย 9 พระสมณโคดม เริ่ มบ่าเพ็ญทุกกรกิริยาขั้นสุ ดท้าย คือเริ่ มลดอาหารที่ละน้อย ๆ จนถึงขั้นอด อาหาร จนร่ างกายซูบ ซี ดผอมแห้ง เหลือแต่หนังและเอ็นหุ ม้ กระดูก ทรงอาตมาบ่าเพ็ญเพียรถึงขั้นอุกฤตขนาดนี้ นับเป็ นเวลาภึง 6 พรรษา ก็ยงั ไม่ สามารถบรรลุวมิ ุตติธรรม ความนี้ทราบถึงท้าวสักกเทวราช ผูเ้ ป็ นจอมเทพแห่งดาวดึงส์ สวรรค์ จึงทรงเสด็จมาเฝ้ า และดีด พิณสามสายให้ทรง สดับ วาระแรกทรงดีดพิณสายที่ 1 ซึ่ งขึ้นสายไว้ตึง พอลงมือดีดสายพิณก็ขาดผึงลง วาระที่ 2 ทรงดีด พิณสายที่สอง ซึ่ งขึ้น สายไว้หย่อน ปรากฏเป็ นเสี ยงที่ยดื ยาดขาดความไพเราะ วาระที่ 3 ทรงดีดพิณสายสุ ดท้ายที่ข้ ึนสายไว้

พอดี เป็ นบทเพลงที่ ไพเราะกังวาน พร้อมกับถวายบังคมลากลับไป พระสมณโคดม ทรงสดับแล้วก็ทรงทราบถึงเหตุแห่ง การมาของท้าวสักกเทวราช จึงได้แนวพระด่าริ วา่ การบ่าเพ็ญ ทุกขกิริยานั้น เป็ นการทรมาณตนให้ล่าบากเปล่า เป็ นข้อ ปฏิบตั ิที่ตึงเกินไปไม่ใช่หนทางแห่งการตรัสรู ้ การบ่าเพ็ญเพียรทาง สมาธิ จิตนั้น ไม่ตึงหรื อหย่อนเกินไป น่าจะเป็ นทางแห่ง การตรัสรู ้ได้ จึงเริ่ มเสวยพระกระยาหารดังเดิมเพื่อให้ร่างกายคลาย เวทนา มีสมาธิ ที่จะบ่าเพ็ญเพียรต่อไป การตรัสรู ้ยงิ่

พญาวัสสวดีมารน่าทัพมารเข้าขัดขวางการตรัสรู ้ของพระสิ ทธัตถะโคดม ทรงประทับนัง่ ขัดสมาธิ ผินพระพักตรสู่ เบื้อง บูรพาทิศ ตั้งจิตแน่แน่วว่าตราบใดที่ยงั ไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิ ญาน จักไม่ลุกขึ้นจากสมาธิ บลั ลังก์ พญาวัสสวดีมาร เข้าท่า การขัดขวางการตรัสรู ้ของพระมหาบุรุษ แต่พา่ ยแพ้ไป ด้วยอ่านาจ บารมี ครั้นพญามารพ่ายแพ้กลับไปแล้ว พระมหาบุรุษ ทรงบ่าเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ตน้ พระศรี มหาโพธิ์ น้ นั ทรงเริ่ มบ่าเพ็ญ สมาธิ ให้เกิดในพระทัย เรี ยกว่าการเข้าฌาน เพื่อเป็ น บาทของวิปัสสนาญาณ จนเวลาผ่านไปพระองค์ได้บรรลุถึงญาณต่างๆ ดังนี้  ยามต้น ทรงบรรลุ ปุพเพนิ วาสานุติญาณ คือ การระลึกชาติในอดีต ทั้งของตนเองและผูอ้ ื่นได้  ยามสอง ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ คือ การรู ้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ท้ งั หลาย  ยามสาม ทรงบรรลุ อาสวักขญาณ คือ รู ้วธิ ี ก่าจัดกิเลส (มาร) ด้วย อริ ยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค)ได้ตรัสรู้ เป็ นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงพบกับความสุ ขสว่างอย่างแท้จริ ง ซึ่ งเรี ยกกันว่าทรงตรัสรู ้ดว้ ยพระองค์เอง ได้เป็ นพระสัมมา สัมพุทธ เจ้า เป็ นศาสดาเอกในโลก ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ณ อุรุเวลาเสนานิคม แขวงเมืองพาราณสี ขณะมีพระชนม์ได้ 35 พรรษา

การแสดงปฐมเทศนา

เสด็จไปโปรดปั ญจวัคคีย ์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และได้แสดงธรรมเทศนากัณฑ์แรก คือธัมมจักกัปปวัตตนสู ตร ณ วัน เพ็ญเดือน 8 คือวันอาสาฬหบูรณมี ซึ่ งกล่าวถึงที่สุด 2อย่าง อันบรรพชิต ไม่ควรปฏิบตั ิ คือการลุ่มหลงมัวเมาในกาม 1 กา รทรมาณตนให้ล่าบากเปล่า 1 มัฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางที่ควรด่าเนิน คืออริ ยสัจจสี่ และมรรคมีองค์แปด 1 ท่านโกณ ฑัญญะ ก็ได้ “ธรรมจักษุ” คือดวงตาเห็นธรรม พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่าอัญญาสิ วตโกณฑัญโญ แปลว่า โกณ ฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า อัญญาโกณฑัญญะ และได้รับการบวชเป็ นพระสงฆ์องค์แรก โปรดชฎิล 3 พี่นอ้ ง คยาสี สะ (หรื อเขาพรหมโยนี ตามต่านานของฮินดู) สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงอาทิตตปริ ยายสู ตรแก่หมู่ภิกษุชฏิล 1,003 รู ปจนส่ าเร็ จพระอรหันต์ท้ งั หมด 12 กลุ่มป่ าไผ่ร่มรื่ น ในกลุ่มโบราณสถานวัดเวฬุวนั มหาวิหาร หลังจากโปรดปัญจ วัคคียเ์ ป็ นกลุ่มแรกแล้ว ก็มีผเู ้ ลื่อมใสเข้ามาขอบวชจนได้พระสาวก 60 รู ป พระองค์ทรงส่ งพระ สาวกเหล่านี้ออกไป ประกาศพระศาสนาตามต่าบลต่างๆ ส่ วนพระองค์เสด็จไปแสดงธรรมโปรดชฎิล 3 พี่นอ้ ง ได้แก่ อุรุ เวลกัสสปะ นทีกสั ส ปะ และคยากัสสปะ พร้อมทั้งบริ วาร 1,000 คน (อุรุเวลฯ 500 คน, นทีฯ 300 คน และคยาฯ 200 คน) ที่ ต่าบลอุรุเวลาเสนา นิคม ซึ่ งเป็ นนักบวชลัทธิ บูชาไฟและเป็ นที่เคารพบูชาของชาวกรุ งราชคฤห์ ในครั้งแรกพระพุทธองค์ทรง แสดงปาฏิหารย์ โดยการปราบพญานาคให้มีขนาดเล็ก ครั้งที่สองทรงแสดงพุทธานุภาพคือมีเทวดามาเข้าเฝ้ า และครั้งสุ ดท้าย ทรงแสดงนิมิต จงกรมกลางน้า่ แต่ถึงอย่างไรอุรุเวลกัสปะก็ไม่เลื่อมใสอยูด่ ีจนพระพุทธองค์ตอ้ งแสดงธรรมโปรด จากนั้น พระพุทธเจ้าทรง แสดงธรรม อาทิตตปริ ยายสู ตร แก่ชฎิลทั้ง 3 และบริ วาร ท่าให้พวกชฎิลทั้งหมดเกิดความเลื่อมใสขอบวช เป็ นพระสาวก และได้บรรลุธรรมเป็ นเวลาต่อมาทุกรู ป โปรดพระเจ้ าพิมพิสาร พระองค์ทรงพาพระอรหันต์จ่านวน 1,003 องค์ ไปยังกรุ งราชคฤห์ และประทับ ณ สวนตาล เมื่อพระเจ้าพิมพิสาร ทรงทราบข่าว จึงได้เสด็จพระราชด่าเนิ นพร้อมด้วยข้าราชบริ พารไปเข้าเฝ้ า เมื่อเสด็จไปสวนตาล พระเจ้าพิมพิสารทรง นมัสการพระพุทธเจ้า ส่ วนข้าราชบริ พารบางส่ วนยังท่าเมินเฉยอยู่ พระพุทธองค์จึงทรงท่าลายทิฐิมานะของข้าราชบริ พาร

เหล่านั้นลง โดยถามพระอุรุเวลกัสสปะถึงเหตุที่เลิกศรัทธา ลัทธิ บูชาไฟ อุรุเวลฯ ตอบว่า ลัทธิ เดิมของตนเป็ นสาวกของ พระพุทธเจ้าในประชาชนทั้งหลายได้ทราบโดยทัว่ กัน พระพุทธเจ้าทรงสังเกตเห็นบรรดาข้าราชบริ พารของพระเจ้าพิม พิสารนั้น ได้คลายทิฐิมานะลงแล้ว จึงทรงแสดงธรรมโปรด พระเจ้าพิมพิสาร ข้าราชบริ พาร และประชาชนทั้งหลาย ผลที่ ได้รับคือ พระเจ้าพิมพิสาร และข้าราชบริ พารส่ วนใหญ่ได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วจึงทรงประกาศตนเป็ น พุทธศาสนิกชน นับ ถือพุทธศาสนาสื บไป แต่งตั้งพระอัครสาวกทั้งสอง ดูเพิ่มที่ พระสารี บุตร ดูเพิ่มที่ พระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกที่ ส่ าคัญของพระพุทธเจ้าคือ พระสารี บุตร และ พระมหาโมคคัลลานะ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ วันมาฆบูชา มีชื่อเรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" เพราะเป็ นวันที่พระพุทธองค์ทรงประทานหลัก โอวาทปาฏิ โมกข์ อันเป็ นหัวใจของพระพุทธศาสนา แก่พระอรหันตสาวกผูเ้ ป็ นเอหิ ภิกขุท้ งั 1,250 องค์ ที่มาประชุมพร้อม กันเข้าเฝ้ า พระพุทธเจ้าโดยมิได้นดั หมายในวันมาฆปุรณมีเป็ นอัศจรรย์ วันมาฆบูชา เป็ นวันที่ระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรง ประทานโอวาทปาฏิโมกข์แก่มหาสังฆสันนิบาตในมณฑลวัด เวฬุวนั มหาวิหาร ซึ่ งในวันนั้นมีเหตุการณ์ส่าคัญเกิดขึ้น 4 ประการคือ 1. พระอรหันต์สาวก 1,250 รู ปที่พระพุทธองค์ได้ส่งไปเผยแพร่ พระพุทธศาสนาตามแว่นแคว้นต่างๆ ได้กลับมา เฝ้ า พระพุทธเจ้า ณ เวฬุวนั มหาวิหาร กรุ งราชคฤห์แคว้นมคธ 2. พระอรหันต์สาวกหรื อพระสงฆ์ท้ งั 1,250 รู ปนี้ลว้ นเป็ น เอหิ ภิกขุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ดว้ ยพระองค์เองทั้งสิ้ น เรี ยกว่าพิธีเอหิ ภิกขุอุปสัมปทา 3. พระอรหันต์สาวกทั้ง 1,250 รู ป นี้ ต่างได้มาประชุมพร้อมเพรี ยงกันโดยมิได้นดั หมาย 4. วันที่พระสงฆ์ 1,250 องค์มาชุมนุมกันโดยมิได้นดั หมายนี้ ตรงกับ วันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันเพ็ญกลางเดือนสาม) ด้วยเหตุการณ์ประจวบกับ 4 อย่าง จึงมีชื่อเรี ยกอีกชื่อหนึ่งว่า "จาตุรงค สันนิบาต"(มาจากศัพท์บาลี จตุ+องฺ ค+สนฺ นิปาต แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสี่ ประการ) โดย ประชุมกัน ณ วัดเวฬุวนั มหาวิหาร เมืองราชคฤห์ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 9 เดือน (45 ปี ก่อนพุทธศักราช) พระพุทธเจ้ าดับขันธปรินิพพาน

พระพุทธเจ้าดับขันธปริ นิพพาน พระองค์ก็ได้เที่ยวสัง่ สอนพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดระยะเวลา 45 พรรษา เพื่อให้ศา สนิกชนได้พบเห็นทางที่ น่าไปสู่ ความสุ ขอย่างแท้จริ ง ได้ประทับจ่าพรรษา ณ เวฬุคามใกล้เมืองเวสาลีแคว้นวัชชี พระองค์ เสวยสุ กรมัททวะ ที่นายจุนทะตั้งใจท่าถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่ าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปริ นิพพาน เมื่อถึงยามสุ ดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ ก็ทรงประทานปั จฉิ มโอวาทว่า “ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย อันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่ อมสลายไปเป็ นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอัน เป็ นประโยชน์ของ

ตน และประโยชน์ของผูอ้ ื่น ให้บริ บูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด” จนกระทัง่ ถึงดับขันธุ์ปริ นิพาน ระหว่างใต้ตน้ รังคู่ ณ แขวงเมืองกุสินารา ณ ปั จฉิ มยามแห่งราตรี วสิ าขปรุ ณมีเพ็ญ เดือน 6 ขณะมีพระชนมายุ 80 พรรษา หลักธรรม คาสอน พระพุทธเจ้าทรงเทศนา สั่งสอนพุทธบริ ษทั เรี ยกว่า พระธรรมวินยั พระธรรม คือค่าสอนในสิ่ งที่เป็ นจริ งของชี วติ เพื่อ พัฒนาคุณภาพชีวิตไปสู่ จุดหมายสู งสุ ด คือ นิพพาน พระธรรมนั้นแบ่งเป็ น 2 ลักษณะคือ ค่าสอนที่เกี่ยวเนื่ องกับ ชีวิตประจ่า วันของ ผูค้ นทัว่ ไป เรี ยกว่าพระสู ตร และ ค่าสอนที่เป็ น หัวข้อธรรมล้วนๆ เช่น ขันธ์ 5 ปัจจยา การ 12 เป็ นต้นเรี ยกว่าพระ อภิธรรม ส่ วนวินยั ส่ าหรับพระ ภิกษุและ ภิกษุณี ได้แก่กฎระเบียบข้อปฏิบตั ิ หลังจากพระพุทธเจ้าปริ นิพพานได้ 7 วัน พุทธ บริ ษทั ได้ ร่ วมกันรวบรวม พระสู ตร พระ อภิธรรมและพระวินยั จัดเข้าเป็ น หมวดหมู่ได้ 84,000 หมวด รวมเรี ยกว่า พระไตรปิ ฎก